พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1244 เข้าสู่ป่าหมอก

บทที่ 1244 เข้าสู่ป่าหมอก

สามารถที่จะอยู่ร่วมยุคสมัยกับคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ สำหรับนักบำเพ็ญตนอย่างจิรภัทรแล้ว เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่มาก

“โอเค ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ารอเลย ข้าจะให้ของบางอย่างกับคุณ”

พูดแล้ว จิรภัทรก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก

ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที จิรภัทรก็เดินกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้ ในมือของเขาก็มีแผ่นกระดาษสีเหลืองเก่าๆติดมือมาด้วย

“นี่คือ?”

“นี่เป็นแผนที่ที่ปรมาจารย์ของข้าวาดมาจากความทรงจำ หนึ่งเดือนก่อนที่จะเสียชีวิตลง อาจจะช่วยเหลือเจ้าได้” จิรภัทพูดกล่าว

“ขอบคุณมากเจ้าจิรภัทร!”

รพีพงษ์พูดกล่าว พร้อมรับแผนที่มาแล้ว

จะว่าไปแล้ว แผนที่ค่อนข้างที่จะละเอียดมาก ที่ไหนมีภูเขามีแม่น้ำ ที่ไหนมีลำธารในหุบเขา ได้ทำการหมายเหตุไว้อย่างชัดเจน

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ปรมาจารย์ของจิรภัทรในตอนนั้น ก็ได้ทำสัญญาลักษณ์บอกถึงจุดที่เป็นอันตรายในป่าหมอกไว้ด้วย

เพียงแค่ มองแล้ว แผนที่ฉบับนี้ไม่ค่อยครบถ้วนสักเท่าไหร่ เหมือนว่าจะขาดหายไปเยอะ

“ตอนนั้นปรมาจารย์ยังไม่ทันได้เข้าไปสู่ใจกลางของป่าหมอก ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว เพราะงั้น สำหรับป่าหมอก ทั้งหมดที่เขารู้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ” รพีพงษ์พูดกล่าว

“ยาผงหลิงซี จะได้มาอย่างไร” รพีพงษ์พูดถาม

“เห็นตรงนี้หรือไม่”

จิรภัทรชี้ไปยังที่ที่หนึ่งบนแผนที่ ที่แห่งนั้นอยู่ใกล้กับใจกลางป่าหมอก

เมื่อรพีพงษ์มองไป ก็เห็นแค่เพียงตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดเท่านั้น

“หุบเขาหลิงซี ในนั้นมีสัตว์เซียนที่ชื่อแรดโบราณ ยาผงหลิงซียังคงเป็นตัวยาชั้นดีที่ช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางยาได้ ที่ซ่อนอยู่บนตัวของมัน ”

รพีพงษ์พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่า ยาผงหลิงซีน่าจะเอามาจากบนนอของแรดโบราณแล้วแหละ

“หน้าที่ยุบเข้าไปครึ่งหนึ่งของปรมาจารย์ ก็เกิดจากการถูกแรดโบราณตัวนี้ทำร้าย เจ้าดูนี้สิ!”

พูดแล้ว จิรภัทรก็พลิกแผนที่ไป

รพีพงษ์มองเข้าไป ที่หลังของแผ่นที่ก็ยังคงเขียนตัวหนังสือหนึ่งบรรทัดเช่นเดียวกัน

เมื่อเทียบกับหนี่งบรรทัดก่อนหน้านี้ บรรทัดนี้สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่า คนที่เขียนหนังสือมีพลังเลือดไม่เพียงพอ น่าจะเขียนตอนที่กำลังจะตาย

ไม่เข้าสู่แดนเทพ อย่าริอาจเหยียบเข้าไปในป่าหมอก!

“นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายของปรมาจารย์ของเรา หลังจากที่เขียนประโยคนี้จบ ชายชราเขาก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว” จิรภัทรพูดอย่างสะเทือนอารมณ์

รพีพงษ์นิ่งเงียบ แผ่นที่ใบนี้เป็นความพยายามทุ่มเทอย่างหนักของปรมาจารย์จิรภัทร แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นการเตือนสติคนรุ่นหลัง อันตรายที่อยู่ในป่าหมอก ให้พวกเขาเอาสิ่งนี้เป็นอุทาหรณ์ กระทำการอย่างระมัดระวัง

“แผ่นที่ใบนี้เป็นสมบัติล้ำค่าของปรมาจารย์เจ้า เจ้าเก็บไว้ให้ดีเถอะ” รพีพงษ์พูดกล่าว : “ครั้งนี้เข้าไปตามหายาผงหลิงซี อันตรายมาก ถ้าหากเกิดความเสียหาย งั้นข้าก็คงรับผิดชอบไม่ไหว”

“ไม่ รพีพงษ์ เจ้ารับมันไปเถอะ ในป่าหมอกมีหมอกปกคลุมหนามาก มันก็อาจจะช่วยเจ้าได้บ้าง” จิรภัทรพูดกล่าว

“ไม่ต้องแล้ว ข้าได้จดจำแผ่นที่ทั้งหมดไว้แล้ว” รพีพงษ์ตอบกลับ

จิรภัทรมองไปยังรพีพงษ์อย่างไม่พูดไม่จา เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถจดจำทั้งหมดในแผ่นที่ได้แล้ว

แต่ว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวของรพีพงษ์ จิรภัทรไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

เพราะว่า พรสวรรค์อันน่าทึ่งของรพีพงษ์ แสดงอยู่เบื้องหน้าของจิรภัทรตั้งนานแล้ว

“เพียงแค่ ข้ายังมีอีกหนึ่งข้อสงสัยที่อยากจะถามเจ้า”

รพีพงษ์เอ่ยถามต่อ : “ป่าหมอกอยู่ติดกับสำนักเทพยาเซียน ตามที่เจ้าพูดมาทั้งหมด สัตว์เซียนที่อยู่ในนั้นมีพลังกำลังที่แข็งแกร่งมาก งั้นทำไมเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเจ้าทั้งสองถึงไม่เคยเกิดความขัดแย้งขึ้นมาก่อนล่ะ ?”

“เรื่องนี้……พวกข้าก็ไม่มีคำตอบมาโดยตลอด”

จิรภัทรพูดตามตรงว่า : “พูดแล้วก็แปลกนะ หลายร้อยปีก่อน สัตว์เซียนทั้งหลายไม่เคยเหยียบย่ำออกมายังป่าหมอกแม้แต่ครึ่งก้าว ขอเพียงแค่คนของสำนักเทพยาเซียนไม่เข้าไปคุกคาม พวกเขาก็จะไม่ออกมาโจมตีพวกข้า เพราะงั้น ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ”

“นี่มันก็ค่อนข้างแปลกจริงๆนะ”

รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ขี้เกียจจะไปคิดพิจารณาอะไรเยอะแยะ

ตอนนี้ ต้องเอายาผงหลิงซีมาให้ได้ นำมากลั่นเป็นยาเม็ดไป่หลิงถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“วันนี้ก็ขอบคุณเจ้าจิรภัทรมาก พรุ่งนี้เช้า ข้าก็จะเข้าไปยังป่าหมอก ” รพีพงษ์พูดกล่าว

“โอเค ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว งั้นข้าก็จะไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว” พูดแล้ว จิรภัทรก็ถอยออกไป

เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส

จิรภัทรพารพีพงษ์ไปยังป่าหมอกด้วยกัน เบื้องหลังของพวกเขา ก็เป็นลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนักเทพยาเซียนติดตามมาด้วย

และหนึ่งในนั้นก็ยังรวมถึงจิลลาและปยุต

ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว สุดท้ายก็มีคนกล้าบุกเข้าไปในป่าหมอกอีกครั้ง

จิรภัทรมีท่าทีที่จริงจัง และรพีพงษ์ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ตัวเองก็เป็นเสินจิ้งครึ่งก้าว แม้ว่าจะพูดไม่ถึงแดนเทพ อย่าริอาจเหยียบย่ำเข้าป่าหมอก แต่ว่ามีการปลุกเสกของคาถา รพีพงษ์ก็มีพละกำลังของเสินจิ้งขั้นกลาง

เขาคาดเดาว่า พละกำลังแบบนี้ เพียงพอที่จะทำให้เขาถอนตัวได้เมื่อเผชิญกับอันตราย

“ประมุกรพี ข้างหน้าก็คือป่าหมอกแล้ว เราก็มาส่งเจ้าถึงตรงนี้นะ” จิรภัทรหยุดก้าวเดินพร้อมพูดกล่าว หยิบยาเม็ดสีเหลืองอ่อนๆออกมาหนึ่งเม็ด

“ชื่อยานี้ก็คือยาเม็ดกู้เสิน มีการยกระดับสูงขึ้นเพียงเวลาสั้นๆด้วยจิตวิญญาณเทพ เป็นยาชั้นเลิศที่ข้ากลั่นออกมาเมื่อหนึ่งปีก่อน หวังว่าจะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้”

หลังจากที่รพีพงษ์รับยาไป ยิ้มพร้อมพูดว่า : “ขอบคุณเจ้าจิรภัทรที่มอบให้ ทุกท่านกลับไปเถอะ”

พูดแล้ว รพีพงษ์ก็เตรียมที่ก้าวเข้าไปยังป่าหมอกแล้ว

“พี่รพี!”

ในเวลานี้ จิลลาก็เดินก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้ามีธุระอะไรเหรอ?” รพีพงษ์เอ่ยพูดอย่างเนิบๆ

“ครั้งนี้เจ้าจะเข้าไปยังป่าหมอก ประมาณกี่วันเหรอ”

“ข้าได้ดูแผนที่แล้ว ถ้าหากทุกอย่างราบรื่น ภายในสามวัน จะต้องกลับมาแน่นอน” รพีพงษ์พูดกลับ

“อื้ม”จิลลาพยักหน้าเบาๆ ทันใดนั้นก็ยิ้มพร้อมพูดว่า : “ฉันเชื่อว่าพี่รพีจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน นี่คือเสบียงกรังที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าค่ะ เวลาที่เจ้าหิวก็สามารถกินรองท้องได้”

พูดแล้ว จิลลาก็เอาถุงผ้าออกมา อยากจะมอบเข้าไปในมือของรพีพงษ์

“ไม่จำเป็นนะ ถ้าหิว ก็หาผลไม้เหล่านั้นในป่ากินก็ได้แล้ว”

รพีพงษ์ตอบปฏิเสธกลับไป

นั่นเป็นเพราะว่า เขาเหลือบมองไปไม่ไกล ปยุตส่งสายตาให้กับตัวเอง พร้อมทั้งทำมือโบกปัดๆไปเล็กน้อย

ฝีมือการทำอาหารของจิลลาสำหรับปยุตแล้วคือฝันร้ายยังไงอย่างนั้น

ไม่รู้จริงๆว่ายัยเด็กคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้มั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง

“พี่รพี เจ้ารับไว้หน่อยเถอะ ข้า……”จิลลารู้สึกน้อยใจเล็กน้อย คิดว่ารพีพงษ์ยังคงโกรธเคืองกับความอำมหิตของเธอก่อนหน้านี้

“พอแล้ว จิลลา”

จิรภัทรเดินก้าวขึ้นมาพูดว่า : “ที่รพีพงษ์พูดก็ถูกนะ นำเสบียงกรังเหล่านี้เข้าไปในป่าหมอก ถึงอย่างไรก็เป็นภาระ”

“อ้อ ”จิลลาทำปากมุ่ย ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

พระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่รพีพงษ์บอกลาทุกคนแล้ว ก็หันหลังเข้าไปในป่าหมอก

“ทุกคนฟังคำสั่ง!”

หลังจากที่รพีพงษ์เข้าสู่ป่าหมอกไปแล้ว รพีพงษ์พูดเสียงดังว่า : “ข้าขอสั่ง ให้ศิษย์ในสำนัก ผลัดกันเฝ้าชายป่าหมอกตลอด 24 ชม ห้ามเกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด!”

“รับทราบ!”

ลูกศิษย์ทุกคนตอบกลับ

จิรภัทรมองยังป่าหมอกที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด

รพีพงษ์ เจ้าจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอให้เจ้าไปทำให้สำเร็จนะ

……

ข้างนอกอากาศแจ่มใส หลังจากที่เข้าไปยังป่าหมอกแล้ว เป็นอย่างที่จิรภัทรบอกเลย ทันใดนั้นฟ้าก็มืดลงทันที

กิ่งก้านที่สูงตระหง่านปกคลุมฟ้า บดบังแสงแดดจากรอบนอก

ภายในป่าหมอก หมอกปกคลุมหนาแน่น เหมือนดั่งแดนสวรรค์ แต่มันก็มีความแปลกๆอยู่บ้าง

รพีพงษ์เดินทางอย่างรวดเร็วเข้ามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

ตลอดทาง กลับว่าไม่ได้เจอเรื่องที่เป็นอันตรายเลย ในทางกลับกัน ได้เข้ามายังป่าหมอกแล้ว รพีพงษ์เพียงแค่รู้สึกว่า ในอากาศ รายล้อมด้วยปราณทิพย์ แม้แต่หายใจเข้าออกก็สะดวกราบรื่นขึ้นเยอะเลย

“ที่นี่เป็นสวรรค์แห่งการหลบเข้ามาพักผ่อนจริงๆ!”

รพีพงษ์พูดชื่นชม

ตามแผนที่ที่จดจำมาได้ ข้างหน้าที่อยู่ไม่ไกล มีแนวภูเขาและสายน้ำลำธาร

เร่งฝีเท้าผ่านป่าเข้าไปอย่างรวดเร็ว รพีพงษ์ก็รู้สึกค่อนข้างกระหายน้ำแล้ว

งั้นก็ดื่มน้ำใสๆกลางภูเขาก่อน แล้วค่อยมุ่งหน้าเข้าไปสู่ข้างในป่าหมอก

คิดแล้ว รพีพงษ์ก็เร่งฝีเท้าเข้าไปถึงลำธารนั่นแล้ว

“ใสสะอาดเลยจริงๆ!”

รพีพงษ์พูดชื่นชม ก้มตัวลง ดื่มไปหนึ่งอึกแล้ว

รสชาติของน้ำในลำธารนำมาซึ่งความหวานจางๆ แก้กระหายได้มาก อร่อยกว่าน้ำแร่ภูเขาตราหนงฟูในเมืองเยอะเลย

หลังจากที่ดื่มไปอีกสามสี่อึก รพีพงษ์ก็พึงพอใจมาก ดูเหมือนว่า ภายในลำธารนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณทิพย์ ทำให้คนเกิดปฏิกิริยารับรู้ได้ไวทันที

ตอนที่รพีพงษ์กำลังเช็ดปาก เตรียมจะออกเดินทางต่อไป

ทันใดนั้น ใต้ก้นของกระแสน้ำลำธาร ก็แพร่ซ่านเสียงดังใหญ่โต

รพีพงษ์ตื่นตัวขึ้นมาทันที ภายใต้จิตวิญญาณที่ทรงพลัง เขาถอยลงไปไกลกว่าสิบเมตรทันที

ตามมาด้วย กระแสน้ำลำธารที่เดือดขึ้นมาอย่างกับถูกต้มยังไงอย่างนั้น เดือดขึ้นมาแล้ว

“นี่คือ……”

รพีพงษ์มองไปยังทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น มีฟองอากาศใหญ่มากเข้ามา มีงูยักษ์ทะยานขึ้นจากน้ำ!

พูดถึงงูยักษ์ตัวใหญ่มาก ไม่ถือว่าเว่อร์เกินจริงแม้แต่นิดเดียว

ในความทรงจำของรพีพงษ์ งูยักษ์ตัวนี้ใหญ่กว่างูหลามยักษ์ในสวนสัตว์ซาฟารีเกียวโตหลายสิบเท่า!

งูยักษ์คายลิ้นออกมาเหมือนเสื่อยังไงอย่างนั้น หัวเชิดสูงขึ้น แววตาจ้องเขม็งไปยังรพีพงษ์

“นี่……คือสัตว์เซียนเหรอ?”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท