พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1252 เหมือนสินค้าทั่วไป

บทที่ 1252 เหมือนสินค้าทั่วไป

“คุณคือรพีพงษ์คนที่มาจากเกียวโต”

ดวงตาของจั๋วเยว่ประหม่า กล่าวในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า

ตั้งแต่รพีพงษ์เดินเข้ามาในห้องโถงนี้ รัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวเขา ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา

สิ่งนี้ไม่ใช่คนระดับอย่างจั๋วเยว่จะต้านทานได้

รพีพงษ์เหล่มองไปที่จั๋วเยว่ จากนั้นก็ไม่สนใจไยดีเขา ในทางกลับกันสำหรับฐปนีย์ที่อยู่ข้างจั๋วเยว่ สายตาของเขาจับจ้องอยู่บนตัวเธอเป็นเวลาสามวินาที

“ทำไม? เห็นคนสวย ก็เลยไม่อาจละสายตาได้หรือ”

ฐปนีย์ยิ้ม ความงามของเธอร่ำลือกันทั่วทั้งเมือง

การแสดงออกของรพีพงษ์เย็นชา จากนั้นก็กล่าวว่า “สินค้าทั่วไป”

“ไอ้สารเลว แก!”

ฐปนีย์ขมวดคิ้วจนเป็นปม ผู้หญิงมักจะสนใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น เธอที่สวยงดงามมาก แต่ไม่คิดว่ารพีพงษ์จะบอกว่าเธอเป็นสินค้าทั่วไป แบบนี้คือตั้งใจทำให้เธอโมโหใช่ไหม?

“หน้าตาหญิงสาวไม่ได้ขี้เหร่ แต่หัวใจของเธอเลวทรามมาก เธอขาดการอบรมสั่งสอน” รพีพงษ์กล่าวด้วยความโกรธ

“ฮึ่ม เพราะฝีมือพวกเขาไม่เก่งเท่าคนอื่น แล้วคุณจะมาโทษฉันหรือ” ฐปนีย์กล่าวอย่างไม่แยแส

“นั่นก็หมายความว่า ขอแค่ผมมีพลังแข็งแกร่งกว่าคุณ ผมสามารถควบคุมความเป็นความตายของบุคคลได้ตามต้องการ?”

รพีพงษ์ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว รัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาแกร่งขึ้นเล็กน้อย

ฐปนีย์หุบยิ้ม แล้วมองไปที่รพีพงษ์ และกล่าวเบา ๆ ว่า “โดยหลักการแล้ว มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น”

รพีพงษ์มองไปที่อีกฝ่าย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แววตาเช่นนี้ถึงได้ดูคุ้นเคยนัก

“หรือว่าผมจำสับสนหรือเปล่า?”

รพีพงษ์รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่พบกันจริง ๆ

“พี่รพีพงษ์! จิลลาจะไม่ไหวแล้ว คุณรีบไปดูเธอเถอะ!”

ขณะนี้ เสียงของชุติเดชดึงรพีพงษ์ออกมาจากภวังค์

รพีพงษ์หันไปมอง เห็นจิลลาพิงอยู่ที่มุมผนัง กระตุกไปทั้งตัว และตอนนี้ริมฝีปากซีดของเธอเปลี่ยนเป็นสีม่วงจาง ๆ

“คุณสองคน ห้ามออกไปเด็ดขาด!”

หลังจากรพีพงษ์ทิ้งคำพูดประโยคนี้ให้ฐปนีย์กับจั๋วเยว่เสร็จ เขาก็รีบเดินไปหาจิลลาทันที

สายตาของจั๋วเยว่เคียดแค้น แล้วกล่าวว่า “อะไรน่ะ ไอ้หมอนี้มีความแค้นกับสมาคมการเล่นแร่แปรธาตุของพวกเรา คิดหรือว่าผมจะฟังคำสั่งของคุณ? ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ดูสิว่าคุณจะทำอะไรผมได้!”

“ถ้าไม่อยากตาย ก็ให้ยืนตรงนี้อย่าขยับ! มิเช่นนั้น ฉันรับประกันความปลอดภัยของคุณ”

ฐปนีย์กล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม

เมื่อเห็นเช่นนี้ จั๋วเยว่จึงรีบถอยฝีเท้าที่เพิ่งก้าวออกไปเมื่อสักครู่กลับมา

“จิลลา คุณเป็นอะไรไป?”

รพีพงษ์ถาม

“รพีพงษ์ คุณกลับมาก็ดีแล้ว คุณบอกได้ไหมว่าภายในป่าหมอกเป็นอย่างไร? ไม่คิดว่าคุณจะปลอดภัย คุณช่างน่าทึ่งมาก!”

ปยุตกล่าวอย่างตื่นเต้น

“เรื่องนี้ผมจะเล่าให้พวกคุณฟังภายหลัง ตอนนี้สิ่งสำคัญคือช่วยชีวิตจิลลา” รพีพงษ์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ใช่ ผมเลอะเลือนเอง”

ปยุตกล่าวอย่างรวดเร็ว “ขณะที่จิลลากลั่นยาชั้นเลิศเธอไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการกลั่นยา ดังนั้นเธอจึงถูกยาเม็ดเฉียนสิงแว้งกัด!”

“นี่คือการแว้งกัดเหรอ?”

มองจิลลาที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด รพีพงษ์รีบถาม “ถ้าเช่นนั้น มีวิธีใดที่จะสามารถช่วยเธอได้บ้าง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ สายตาของผู้คนที่เหลือก็หันไปที่เจ้าจิรภัทร

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ตรงนี้ จิรภัทรเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด แต่ถ้าหากเขาพูดว่าไม่มีวิธีทางแล้ว จิลลาก็คงจะสิ้นหวังจริง ๆ

ใบหน้าของจิรภัทรเต็มไปด้วยความกังวลเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวว่า “ที่จิลลาเป็นเช่นนี้ เพราะพลังจิตของเธอถูกยาชั้นเลิศดูดไป และพลังจิตของเธอก็แตกซ่าน ดังนั้นแม้ว่าเธอจะโชคดีสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ต่อไปเกรงว่าเธอจะเป็นคนที่ไร้ความคิด”

“อะไรน่ะ!”

ทุกคนตกใจ ชุติเดชกับพี่น้องหลายคนร้องไห้ออกมา

“พี่จิลลา คุณต้องไม่เป็นอะไรน่ะ ถึงแม้ว่าปกติคุณจะชอบรังแกพวกเราเสมอ แต่พวกเราทุกคนก็ชอบคุณมาก”

“ใช่ จิลลา คุณรีบตื่นมาเถอะ เมื่อคุณหายแล้ว เรื่องทุกอย่างของคุณพวกเราจะรับผิดชอบเอง”

ทุกคนกล่าว เพราะการที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ทำให้ลูกศิษย์พวกนี้มีความรู้สึกผูกพันกัน

“พวกคุณอย่าร้องไห้! จิลลาเป็นลูกศิษย์ของผม ผมจะกลับไปหาตำราโบราณ อย่าลืมว่าที่นี่คือสำนักเทพยาเซียน ไม่มียาวิเศษอะไรที่ไม่สามารถกลั่นได้?”

ปยุตกล่าวด้วยความโมโห กำลังเตรียมตัวจะไป

“ไม่ทันแล้ว”

จิรภัทรกล่าวว่า “การแว้งกัดเช่นนี้ อย่างน้อยต้องใช้ยาชั้นเลิศหนึ่งเม็ดถึงจะได้ ตามความสามารถในระดับปัจจุบันของคุณ ไม่พูดถึงอัตราความสำเร็จ แค่จะกลั่นยาก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงแล้ว”

“คุณคิดว่า จิลลาสามารถทนได้อีกนานแค่ไหน?” จิรภัทรถาม

ปยุตถอนหายใจ “อย่างนี้ก็ไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่ได้ ไอ้จิรภัทร คุณคิดว่าพวกเราจะทำอะไรได้อีก หรือว่าคุณจะปล่อยให้จิลลาตายต่อหน้าต่อตา? ”

จิรภัทรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “วิธีใช่ว่าจะไม่มี ถ้ามีคนสามารถโอนพลังจิตของตนเองไปยังร่างกายของจิลลา เพื่อเติมเต็มพลังจิตให้แก่จิลลา ก็จะทำให้จิลลาปลอดภัย”

เมื่อปยุตได้ยินว่าจิลลามีโอกาสรอดได้ เขาก็กระตือรือร้นที่จะทดลอง

“เอาล่ะ งั้นผมจะลอง พลังจิตของผมแข็งแกร่งที่สุดในสำนักเทพยาเซียน ถึงผมเก็บพลังจิตไว้มันก็ไร้ประโยชน์”

จิรภัทรใช้ปลายลิ้นแตะเพดานปาก แล้วกล่าวว่า “คุณจะถ่ายทอดพลังจิตให้ผู้อื่น คุณทำได้หรือ? ”

“ผม……”

ปยุตไม่รู้จะทำอย่างไร แน่นอนว่าวิธีการดังกล่าว ตนเองนั้นทำไม่เป็น

“พูดไปพูดมา ก็ไม่มีทางช่วยพี่จิลลา” ชุติเดชกล่าวเสียงเศร้า

ขณะนี้ ฝ่ามือกว้างถูกกดลงบนไหล่ของชุติเดช รพีพงษ์มองไปที่จิรภัทรและปยุต กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ หรือไม่ ให้ผมลองดู”

“คุณ?”

จิรภัทรเบิกตากว้าง

“ใช่!” รพีพงษ์พยักหน้า “พลังจิตวิญญาณเทพของผมแข็งแกร่งกว่าพลังจิต พวกคุณสองคนลืมเรื่องที่ผมใช้พลังจิตวิญญาณเทพควบคุมพวกคุณในวันนั้นแล้วหรือ?”

จิรภัทรและปยุตตบศีรษะของตนเอง นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่ศาลาในวันนั้น

วันนั้นรพีพงษ์ใช้พลังจิตวิญญาณเทพเพื่อควบคุมพวกเขาทั้งสองได้อย่างง่ายดาย

“พลังจิตวิญญาณเทพของผมสามารถใช้ได้ตามต้องการ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำของผม ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะถ่ายโอนไปยังร่างกายของจิลลา”

รพีพงษ์กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

“โอเค!” จิรภัทรกล่าว “ยังไม่สายเกินไป ชุติเดช พวกคุณรีบไปเตรียมน้ำเย็นหนึ่งถังและห้องไว้หนึ่งห้อง”

“ครับ!”

พวกชุติเดชกล่าว

รพีพงษ์รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ทำไมต้องทำเช่นนี้ เรื่องเตรียมห้องผมสามารถเข้าใจได้ แต่จะเอาน้ำเย็นไปทำอะไร? ”

“ถึงเวลาคุณก็จะรู้เอง”

จิรภัทรกล่าว “รพีพงษ์คุณเริ่มได้เลย”

รพีพงษ์พยักหน้า จากนั้นใช้มืออุ้มจิลลาขึ้นมาเบา ๆ

ขณะนี้จิลลาหมดสติไม่รู้สึกตัวแล้ว ร่างกายของเธอก็อ่อน ไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงนิทรา

รพีพงษ์ควบคุมจิตวิญญาณเทพของตัวเอง แล้วถ่ายโอนไปยังร่างกายของจิลลาอย่างระมัดระวัง

ด้วยเกรงว่าจิตวิญญาณเทพของตนเองที่มีพลังมากเกินไป รพีพงษ์จึงระมัดระวังในทุกขั้นตอนเป็นอย่างมาก โดยสังเกตปฏิกิริยาของจิลลาเป็นครั้งคราว

“ไอ้จิรภัทรดูนั่นสิ!”

ปยุตกล่าวอย่างตื่นเต้น

จิรภัทรมองไป แก้มของจิลลากลายเป็นสีแดงระรื่น สีม่วงบนริมฝีปากของเธอก็หายไปทั้งหมดแล้ว

“ช่างมหัศจรรย์ ช่างมหัศจรรย์มาก!”

จิรภัทรกล่าวด้วยความประหลาดใจ สายตาที่มองไปที่รพีพงษ์ มีความชื่นชมและเลื่อมใสศรัทธา!

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขา แต่สำหรับรพีพงษ์แล้วมันง่ายดายมาก

ภายในเวลาไม่ถึงนาที จิลลาก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา

เธอเงยหน้าขึ้น และเห็นรพีพงษ์อยู่ข้าง ๆ

เพียงแต่ ท่าทางการกระทำในตอนนี้มันทำให้เธอรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย

เนื่องจากความอ่อนแอทางร่างกายของตนเองก่อนหน้านี้ เพื่อความสะดวกในการดำเนินการ รพีพงษ์ก็เลยใช้แขนของตนเองโอบอีกฝ่ายเบา ๆ

ขณะนี้ จึงดูเหมือนว่ารพีพงษ์กำลังกอดจิลลาจากด้านหลัง

ช่วงเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา จิลลาไม่เคยถูกโอบเช่นนี้มาก่อน ทั้งประหม่าและอาย จิลลาไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกประหลาดใจหรือรู้สึกคาดหวัง

“จิลลา ในที่สุดคุณก็ตื่น”

จิรภัทรกล่าวอยู่ด้านข้าง ในฐานะลูกศิษย์ที่รักที่สุดของเขา ขณะนี้จิรภัทรเห็นจิลลาเป็นเช่นนี้ เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก จนน้ำตาเอ่อล้นอยู่ในดวงตา

“เจ้าสำนัก ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว”

จิลลากล่าว “เพียงแต่ ไม่รู้ว่าทำไม ร่างกายของฉันรู้สึกร้อนมาก”

“ร้อนก็ดีแล้ว”

จิรภัทรพยักหน้า แล้วสั่งลูกศิษย์หญิงสองคน“พวกคุณทั้งสองคนช่วยพยุงจิลลาไปที่ห้อง หลังจากถอดเสื้อผ้าแล้วแช่ในน้ำเย็น”

“ค่ะ!”

ลูกศิษย์หญิงสองคนกล่าว

“เจ้าสำนัก ฉันเป็นอะไรไป?”

จิลลาถามด้วยความสงสัย

“คุณรวบรวมพลังพวกจากภายนอกเข้ามาในร่างกาย แล้วยิ่งพลังนี้มาจากจิตวิญญาณเทพที่บริสุทธิ์ของรพีพงษ์ ตอนนี้ร่างกายของคุณยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับมันได้ชั่วคราว ดังนั้นถึงได้เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ต้องกังวล แช่ในถังน้ำเย็นสักสองชั่วโมงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

จิรภัทรอธิบาย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

จิลลากัดริมฝีปากตนเอง และมองกลับไปที่รพีพงษ์ และกล่าวเบา ๆ ว่า “พี่รพีพงษ์ ขอบคุณมาก”

“ไม่เป็นไร กลับไปพักผ่อนเถอะ”

รพีพงษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็ยืนขึ้น และหันไปเผชิญหน้ากับฐปนีย์กับจั๋วเยว่

“ตอนนี้ พวกคุณควรจะชดใช้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นใช่ไหม!”

หลังจากกล่าวจบ รพีพงษ์เปล่งพลังออกมา ทำให้ใบหน้าของจั๋วเยว่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก!

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท