พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1266 ให้เป็นอาหารสุนัข

บทที่ 1266 ให้เป็นอาหารสุนัข

“คุณว่าผม?”

ชายสวมแว่นพูดด้วยความหงุดหงิด “เอาสิ งั้นคุณลองเล่ามาสิ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะรู้จักข้าวสารจิ่งหยาง!”

ฝนสุดากับอุเอสึงิ ฮารุก็ตั้งตารอฟังเช่นกัน พวกเธอรู้ว่าการที่รพีพงษ์จงใจให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมานั้น เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน

รพีพงษ์มองไปที่ชายทั้งสามและพูดว่า “ได้สิ วันนี้ผมจะให้บทเรียนพวกคุณสักครั้ง ผมจะให้คนประเทศญี่ปุ่นได้รู้เกี่ยวกับดินแดนและทรัพยากรอันกว้างใหญ่ของประเทศจีน อีกอย่างสุนัขขายชาติอย่างคุณสองคนจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง!”

“คุณ!”

ทั้งสองโกรธจนลุกเป็นไฟ

รพีพงษ์พูดต่ออย่างเฉยเมย “ข้าวสารจิ่งหยางสามารถปลูกได้เพียงแค่สองหมู่บ้านในอำเภอจิ่งหยางของประเทศจีนเท่านั้น เพราะสภาพที่ดินต้องเป็นที่ชุ่มชื้น ต้องใช้น้ำเย็นและต้องเป็นน้ำธรรมชาติ อีกอย่างเก็บเกี่ยวได้ปีละครั้งและมีพื้นที่ปลูกข้าวชนิดนี้เพียงแค่ร้อยกว่าไร่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าผมจำไม่ผิดราคาจะอยู่ที่แปดพันห้าต่อครึ่งกิโลกรัมนะ”

ชายทั้งสามได้แต่ยืนผงะอยู่กับที่จนเวลาผ่านไปสักพัก ชายแว่นดำถึงตอบเขา “เถ้าแก่ เขาพูดถูกไหม?”

“คุณผู้ชายท่านนี้พูดถูกต้องที่สุดเลยครับ แถมยังรู้รายละเอียดมากกว่าผมอีกด้วย”

เจ้าของร้านพูดต่ออย่างพอใจ “ราคาประมาณแปดพันห้าต่อกิโลกรัมจริงๆ นะครับ แต่ถ้าบวกค่าขนส่งและค่าแรง เราจึงขายครึ่งกิโลเก้าพัน คงไม่แพงไปหรอกนะครับ”

50 กิโลเก้าแสน!

นี่ต้องเป็นข้าวที่แพงที่สุดที่ทุกคนในห้องนี้เคยกินมาอย่างแน่นอน

ชายสวมแว่นและเพื่อนๆ รู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้กินข้าวสวยให้มากกว่านี้

ก่อนหน้านี้พวกเขายังหาว่ารพีพงษ์เป็นพวกบ้านนอก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาเองที่เป็นเช่นนั้น

“โคบายาชิซัง ข้าว 50 กิโลนี้ถ้าคุณไม่อยากให้ผมก็ไม่เป็นไรนะ แต่ช่วยจำไว้อย่างหนึ่ง คุณอย่ามองคนแค่ภายนอก สิ่งที่คุณไม่รู้คุณอย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้”

รพีพงษ์พูดอย่างใจเย็น

ความจริงเขาไม่ได้สนใจข้าวสารจิ่งหยาง 50 กิโลกรัมนี้

เพราะปกติอยู่ในตระกูลลัดดาวัลย์ที่เกียวโตเขาก็กินข้าวชนิดนี้เช่นกัน เพียงแต่เหตุผลที่เขากินไปสองถ้วยเมื่อกี้นี้ ก็เพราะเขาได้ความรู้สึกที่กินข้าวอยู่ในบ้านอีกครั้ง

โคบายาชิจุนอิจิยังคงพูดอย่างดูถูก “ชาวประเทศญี่ปุ่นอย่างเราให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือมากที่สุด และเราไม่ได้ฉลาดแกมโกงเหมือนพวกคุณ ในเมื่อผมรับปากแล้วผมก็ต้องทำตามที่พูด”

จากนั้นเขาหยิบการ์ดสีเงินออกมาแล้วยื่นให้กับเจ้าของร้าน “เอาไปรูดซะ”

“นี่มัน……บัตรของธนาคารโลก?”

เจ้าของร้านร้านนี้เคยเจออะไรมามากมายเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเคยเห็นบัตรธนาคารแบบนี้

“ใช่ คุณก็ใช่ย่อยนะที่รู้จักบัตรธนาคารโลก นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะมีได้นะ และมันก็เป็นรองแค่การ์ดสีดำเท่านั้นด้วย” ชายสวมแว่นพูด

โคบายาชิจุนอิจิยืดตัวตรงและรู้สึกภาคภูมิใจมาก “ครอบครัวตระกูลโคบายาชิของผมไม่ได้จะเป็นแค่แนวหน้าของประเทศญี่ปุ่นในการประกอบกิจการร้านอาหาร แต่เราจะเป็นแนวหน้าของโลกด้วย ดังนั้นผมเชื่อว่าอีกไม่เกินสิบปีผมจะมีการ์ดสีดำใบนั้นไว้ครอบครอง!”

ชายสวมแว่นกับเพื่อนอีกคนแทบจะลุกขึ้นมาปรบมือให้เขา แต่รพีพงษ์กับสาวสวยทั้งสองได้แต่นั่งเงียบๆ และรู้สึกขำในใจ

“คนประเทศญี่ปุ่นของคุณเป็นคนตลกแบบนี้กันหมดไหมนะ?” รพีพงษ์กระซิบถามฝนสุดา

“พูดไปเรื่อย คุณดูฉันเหมือนพวกเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฝนสุดาทำหน้าบึ้งใส่

เธอไม่รู้จะใช้คำพูดอะไรแล้ว เพราะรพีพงษ์เป็นคนถ่อมตัวและแน่วแน่ขนาดนี้ ส่วนคนประเทศของเธออย่างโคบายาชิจุนอิจิกลับหยิ่งผยองและหยาบคายอย่างไม่รู้ยางอาย

ทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกที่จะเข้าข้างใคร

แต่สำหรับฝนสุดาแล้ว คนที่รักเธอแต่เธอไม่ได้รักเขา ส่วนคนที่เธอรักนั้นก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว

จากนั้นสักพัก เงินเก้าแสนก็ถูกหักไป

“คุณผู้ชายครับ บัตรธนาคารของคุณครับ” เจ้าของร้านพูด

โคบายาชิจุนอิจิพยักหน้าแล้วมองไปที่รพีพงษ์ “พี่ชาย กินข้าวมื้อหนึ่งใช้เงินผมไปเก้าแสน ผมจะจำคุณไว้ให้ดี หวังว่าวันหลังเราจะได้พบกันอีกนะครับ”

รพีพงษ์ยิ้มจางๆ “ผมต้องขอขอบคุณสำหรับข้าวสารที่ให้ผมนะครับ”

มุมปากของโคบายาชิจุนอิจิกระตุก และนัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

ตั้งแต่เริ่มทานอาหารมาจนถึงเวลานี้เขาถูกล้อเลียนมาตลอด ซึ่งก็ทำให้คนหยิ่งจองหองอย่างเขาสุดจะทนจริงๆ เพียงเพราะเห็นแก่ฝนสุดาเขาถึงไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา

“ถ้าทุกท่านไม่มีอะไรให้ช่วยผมขอตัวก่อนนะครับ”

เจ้าของร้านพูดด้วยความเคารพแล้วค่อยๆ ถอยออกไป

“เดี๋ยวก่อนครับ!”

ในขณะนี้ รพีพงษ์ก็เรียกเจ้าของร้านอีกครั้ง

“คุณผู้ชายมีอะไรให้ผมช่วยครับ?” เจ้าของร้านถาม

รพีพงษ์มองไปที่ชายทั้งสามแล้วยิ้มพูด “ผมอยากถามคุณหน่อยครับ ร้านคุณมีข้าวสารเยว่กวางของประเทศญี่ปุ่นไหมครับ?”

“ข้าวสารเยว่กวาง? มีอยู่ครับ” เจ้าของร้านตอบ

เมื่อได้ยินรพีพงษ์พูดถึงข้าวสารเยว่กวาง ทั้งสามคนที่อยู่ตรงข้ามก็เกิดความสนใจขึ้นมา

“พี่ชาย ดูเหมือนว่าคุณไม่ต่างอะไรกับพวกเราเลยนะ เมื่อกี้ยังชมข้าวสารของประเทศจีนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับถามหาข้าวสารเยว่กวาง”

“นั่นสินะ พูดจากลับคำไปมาแบบนี้ ดูเหมือนจะแย่กว่าพวกเราซะอีก”

ชายสวมแว่นพูดตามน้ำ

รพีพงษ์มองไปที่ทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “แสดงว่าพวกคุณยอมรับตัวเองแล้วสินะ”

จากนั้นเขาหันไปคุยกับเจ้าของร้านต่อโดยที่ไม่สนใจทั้งสอง “แล้วมีเยอะไหมครับ”

“น่าจะมีประมาณสี่ห้าร้อยกิโลครับ คุณต้องการเหรอครับ?”

รพีพงษ์พยักหน้าตอบ “ใช่ งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ คุณเอามาให้ผมทั้งหมดเลยนะ”

“คุณผู้ชายน่าจะเปิดร้านอาหารเองใช่ไหมครับ ถึงได้ซื้อข้าวสารไปเยอะขนาดนี้” เจ้าของร้านยิ้มพูด

“ผมไม่ได้เปิดร้านอาหารหรอกครับ ผมเพิ่งเห็นว่ามีสุนัขจรจัดมากมายแถวตีนดอย ดูแล้วน่าสงสารครับ ผมเลยอยากเอาข้าวของประเทศญี่ปุ่นไปให้สุนัขจรจัดพวกนั้นกินครับ” รพีพงษ์พูดอย่างเฉยเมย

“ไงนะ? ให้……ให้หมากิน?”

คนอื่นๆ ถึงกับอึ้งไปสักพัก และสีหน้าของโคบายาชิจุนอิจิก็เปลี่ยนไปทันที

ก่อนหน้านี้เขายังบอกว่าข้าวสารเยว่กวางของประเทศญี่ปุ่นอร่อย ถ้าแบบนี้ แสดงว่าเขาเป็นเหมือนสุนัขจรจัดสินะ?

“พี่ชาย คุณจะมากเกินไปแล้วนะ!”

ชายสวมแว่นทุบโต๊ะแล้วลุกขึ้นด่า

คนอื่นๆ ก็พูดอย่างไม่พอใจ “นั่นสิ ทำไมคุณต้องหาว่าพวกเราเป็นหมาด้วย!”

รพีพงษ์หยิบถ้วยชาขึ้นมาอย่างใจเย็น “ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณเป็นสุนัขนะ แต่พวกคุณคิดไปเอง ผมช่วยไม่ได้”

“แก!”

“บากา!”

โคบายาชิจุนอิจิตะคอกใส่ทั้งสองและทำให้ทั้งสองเงียบไป

จากนั้นเขามองไปที่รพีพงษ์แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ชาย ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าคุณจะเอาข้าวของประเทศญี่ปุ่นของเราไปให้สุนัขกิน ข้าวสารเยว่กวางของเราแม้จะไม่แพงเท่าข้าวสารจิ่งหยางของพวกคุณ แต่มันก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถซื้อได้นะครับ”

จากนั้นเขาหันไปพูดกับเจ้าของร้านด้วยสายตาข่มขู่ “เถ้าแก่ ข้าวสารเยว่กวางสี่ร้อยกิโลกรัมเท่าไหร่ครับ ผมว่าคุณแจ้งราคาให้เขาก่อนจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะเสียเวลาเปล่านะครับ”

เจ้าของร้านจึงพูดกับรพีพงษ์ “เนื่องจากมีค่าขนส่งด้วย ดังนั้นข้าวสารเยว่กวางอาจจะแพงกว่าที่ประเทศญี่ปุ่นหน่อยนะครับ ราคาจะอยู่ที่ห้ากิโลกรัมต่อหนึ่งร้อยครับ ถ้าสี่ร้อยกิโลกรัมก็จะอยู่ที่แปดหมื่นครับ”

“อ้อ” รพีพงษ์พยักหน้าตอบ

“ไงนะ แค่……แค่ร้อยเดียวเองเหรอ?” ชายสวมแว่นแปลกใจมาก ไม่คิดเลยว่าข้าวสารของประเทศญี่ปุ่นที่เขาคุยโม้ไว้จะถูกขนาดนี้

“ข้าวสารเยว่กวางของผมเป็นเกรดที่ดีที่สุดแล้วนะครับ คุณผู้ชายต้องรู้ว่าสิบอันดับข้าวสารที่ดีที่สุดของโลก ข้าวสารของประเทศจีนของเราจะอยู่ในอันดับหนึ่งถึงเจ็ดเลยนะครับ ส่วนข้าวสารของประเทศญี่ปุ่นหรือของใครๆ ร้านอื่นไม่มีขายด้วยซ้ำครับ”

เจ้าของร้านพูด

“เอาล่ะๆ คุณหยุดพูดได้แล้ว ผมจะคอยดูว่าไอ้หมอนี่มันจะมีเงินแปดหมื่นจ่ายคุณไหม”

ชายสวมแว่นพูดอย่างดูถูก

โคบายาชิจุนอิจิพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณสุดาครับ ถึงแม้คุณจะเป็นเพื่อนเขา แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นของที่เขาจะซื้อเองเขาก็ควรจ่ายเอง คุณว่าไหมครับ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ช่วยเขาจ่ายแน่”

ฝนสุดาพูดเบาๆ

ไม่ได้เป็นเพราะเธอไม่เต็มใจที่จะช่วย แต่เงินแปดหมื่นสำหรับรพีพงษ์ที่ใช้เงินหลายสิบล้านเป็นว่าเล่นนั้นมันเป็นเรื่องเล็กเกินไป

“คุณผู้ชายครับ คุณผู้ชาย……ชำระเงินก่อนได้ไหมครับ?” เจ้าของร้านพูด

รพีพงษ์ลุกขึ้นแล้วยิ้มจางๆ “ผมให้คุณหนึ่งแสน คุณช่วยหาคนไปหุงข้าวแล้วเอาข้าวไปให้สุนัขจรจัดบนดอยกินนะ”

“เอาเงินหนึ่งแสนไปซื้อข้าวสาร อะไรมันจะโง่ขนาดนี้”

“นั่นสิ คนโง่ถึงจะใช้เงินมากมายขนาดนี้ไปซื้อข้าวสารไง”

ชายใส่แว่นกับเพื่อนอีกคนกระซิบพูด

“บากา! พวกคุณสองคนพูดอะไรกัน!”

โคบายาชิจุนอิจิที่เพิ่งใช้เงินเก้าแสนซื้อข้าวสารรู้สึกโกรธมาก

เขาจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างดุเดือด และเขาคิดในใจว่าคนอย่างรพีพงษ์ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ให้ใช้เงินหนึ่งแสนซื้อข้าวสารแล้วไปให้เป็นอาหารสุนัขมันจะไม่เกินกำลังไปหน่อยหรือ

รพีพงษ์ยิ้มมองเจ้าของร้าน จากนั้นหยิบบัตรธนาคารออกมาใบหนึ่ง

“เอาไปรูดเลยครับ!”

บัตรธนาคารสีดำที่แสดงถึงศักดิ์ศรีได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า!

“นี่……นี่มันบัตรธนาคารโลกสีดำ?”

โคบายาชิจุนอิจิมองรพีพงษ์ด้วยความตกใจ บัตรธนาคารใบนี้เป็นความฝันของเขาและเป็นสิ่งที่เขาทะเยอทะยานมาตลอดได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

รพีพงษ์ยิ้มอย่างเฉยเมย

“ผมถามหน่อย คุณเป็นใครมาจากไหน?” โคบายาชิจุนอิจิถาม

“รพีพงษ์ จากเกียวโต!”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท