“ดูแลคุณหนูให้ดี เดี๋ยวผมจัดการพวกนี้เอง”
รพีพงษ์บอกไป แล้วมือก็คว้าคนใกล้ๆ ตรงนั้น โยนลอยออกไป
จากนั้น เขาก็คว้าดาบในมือของทหารคนหนึ่งมา จากนั้นก็ออกแรงยกคนคนนั้นขึ้น แล้วโยนออกไปนอกฝูงชน
“รพีพงษ์ ประตูของแดนลับจะเปิดแค่10นาทีเท่านั้น คุณรีบไปเถอะ!”
วรันธรพูดเสียงดัง
“10นาที ก็เพียงพอแล้ว”
รพีพงษ์พูดเบาๆ เน่ยจิ้งในกายก็พลุ่งพล่าน
จากนั้น เขาก็สู้ออกไปเหมือนกับเทพสงคราม ต่อยไปหมัดละคน
ไม่มีใครรับพลังหมัดของเขาได้ ต่อให้เป็นทหารสวมเกราะทั้งตัวก็รับไม่ไหว
คนพวกนี้ก็ถูกต่อยลอยออกไปในอากาศทีละคนๆ แล้วร่วงหล่นที่พื้นอย่างหนัก
แต่ที่รพีพงษ์ชื่นชมก็คือ ต่อให้พลังของตนเองแข็งแกร่งขนาดนี้ ทหารพวกนี้ก็ยังบุกเข้ามาโจมตีตนเองอย่างไม่หวาดกลัว ราวกับไม่เสียดายชีวิตตนเองเลย
ถ้าทหารพวกนี้อยู่ที่โลกภายนอกล่ะก็ ขอเพียงฝึกหนักกว่าเดิมหน่อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับการรบในแบบปัจจุบัน ก็คงจะเป็นกองกำลังที่น่ากลัวเลยทีเดียว
รพีพงษ์คิดในใจ ส่วนร่างกายก็ยังออกกระบวนอย่างไม่หยุดหย่อน
“ฆ่ามัน!”
ภาณินตะโกนเสียงดัง
เขาเคยคิดไว้ว่ารพีพงษ์มีฝีมือร้ายกาจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะน่ากลัวถึงขนาดนี้
ทหารของตนเองนับพันคน แต่ไม่มีใครโจมตีถึงตัวรพีพงษ์ได้เลยสักคน แม้แต่จะเข้าใกล้ตัวยังทำไม่ได้
ในตอนนี้ รพีพงษ์เห็นทหารพวกนี้บุกเข้ามาอย่างกับสายน้ำไหล เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้ตายเถอะ ดูเหมือนว่าต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเสียแล้ว!”
พูดไป เขาก็ไม่ออมแรงอีก พร้อมออกหมัดต่อยหน้าอกทหารคนหนึ่งออกไป
ทหารที่แต่งตัวด้วยชุดเกราะเต็มยศ ถูกต่อยลอยออกไปหลายสิบเมตร ปากก็กระอักเลือดออกมา ล้มไปที่พื้นลุกขึ้นมาไม่ได้อีก
“ใครกล้าเข้ามาอีก ก็จะมีจุดจบเหมือนคนนั้น!”
รพีพงษ์พูดเสียงดัง
ทหารพวกนี้ก็ขมวดคิ้ว จากนั้น ทหารหลายสิบคนก็บุกเข้ามาอีกครั้ง
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ถึงแม้ฝั่งตรงข้ามจะมีพลังไม่พอ แต่มีจำนวนคนมาก
รพีพงษ์คิดในใจ จะต้งหาวิธีหยุดพวกนี้ให้ได้ถึงจะถูก
ในตอนนี้เอง ทหารพวกนี้ก็แยกกำลังออก อ้อมตัวรพีพงษ์ไป แล้วไปโจมตีวรันธรและณรงค์
ในเมื่อภาณินได้บอกไว้ว่า ใครที่เข้ามาขวางฆ่าได้ไม่เว้น ดังนั้น ทหารที่จงรักภักดีต่อภาณิน ก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก บุกไปอย่างเดียว
“พวกมึงจะเป็นศัตรูกับกูจริงๆ ใช่ไหม?”
ณรงค์ขวางอยู่ข้างหน้าวรันธร ทหารพวกนี้ล้วนเป็นพี่น้องที่ฝึกด้วยกันมา แต่วันนี้กลับต้องมาฆ่าฟันกันเอง
“หัวหน้า ไปยอมรับผิดกับเจ้าสำนักเสีย แล้วพวกเราจะทำร้ายหัวหน้า” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นมา
ณรงค์ก็กำมือแน่น วรันธรก็พูดขึ้นมาข้างๆ ว่า “ตามหาความสุขของตัวเองมันผิดนักหรือไง?”
“ใช่ กูก็ตามหาความสุขของกู มันผิดด้วยหรือ?”
ณรงค์ก็เหมือนตื่นขึ้นจากความคิดเก่าๆ แล้วพูดกับคนตรงหน้าว่า “พวกมึงเข้ามาเลย ต่อให้วันนี้กูต้องตัวตาย มันก็คุ้มแล้ว”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อย่าโทษพวกเราก็แล้วกัน!”
พูดไป ทหารพวกนี้ก็บุกเข้าโจมตี
ณรงค์ก็มีฝีวิชาการต่อสู้โดดเด่นกว่าคนพวกนี้ ถ้าสู้กันหนึ่งต่อหนึ่งล่ะก็ ในหมู่ทหารพวกนี้ก็คู่ต่อกรยาก
แต่ตอนนี้ พวกนี้มันบุกเข้ามาพร้อมกัน ต้องเผชิญหน้าพับทหารมากมาย ณรงค์ก็รับมือยากอยู่เหมือนกัน
“คุณหนู รีบหลบไปข้างหลังผม ผมจะดูแลคุณหนูเอง!” ณรงค์กล่าว
วรันธรไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่เลวร้อยแบบนี้ ในตอนนี้เธอก็หน้าขาวซีด แต่ทว่า พอเธอเห็นท่าทางอันหาญกล้าของชายตรงหน้าแล้วนั้น ก็เริ่มรู้สึกเบาใจขึ้นมาไม่น้อย
“ณรงค์ นายได้สู้สุดกำลังแล้ว ถ้านายสู้จนตัวตาย ฉันก็จะไม่ขออยู่ตัวคนเดียว” วรันธรตะโกนอยู่ด้านหลัง
ในตอนนี้ หอกในมือของณรงค์ก็กวัดแกว่งไม่หยุด 5คนแรกที่บุกเข้ามาก็ถูกโจมตีจนร่นถอยออกไป
แต่จากนั้น มี2-3คนกระโดดสูงขึ้นมา แล้วใช้กระบี่แทงมาทางฝั่งณรงค์
ณรงค์หลบไม่ทัน แต่โชคดีที่ชุดเกราะบนตัวช่วยเขาไว้
ต่อให้เป็นแบบนั้น เขาก็ถูกโจมตีจนล้มลง แต่เขาจะมัวคิดอะไรมากไม่ได้ ก็เลยรีบลุกขึ้นมา
“ณรงค์ หยุดขัดขืนเถอะ ไปยอมรับผิดกับเจ้าสำนักเสีย ไปยอมรับโทษจากท่านเสีย!”
ทหารคนนั้นพูดขึ้นมาอีก
ณรงค์เช็ดเลือดที่มุมปาก ในตอนนี้ เขาบาดเจ็บภายใน แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ เขาก็ยังพูดว่า “พวกมึงเข้ามาพร้อมกันเลย ในเมื่อคุณหนูก็ได้กล้าหาญขนาดนี้ กูก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
พวกทหารก็มองหน้ากัน อาวุธในมือก็ขยับ แล้วบุกเข้าโจมตีอีกครั้ง
ณรงค์กัดฟัน ด้านหลังตนเองก็เป็นหญิงสาวที่ตนรักมาก ตอนนี้เขาไม่มีทางถอยแล้ว
ทางฝั่งนี้ รพีพงษ์ก็รับรู้ได้ว่าทางด้านหลังตนเองนั้น พวกณรงค์กำลังเป็นอันตราย
แต่คนที่มาล้อมตนเองไว้มีตั้ง6-7คน ต่อให้รพีพงษ์ต่อยไปคนละหมัด แล้วรีบเข้าไปช่วย เกรงว่าณรงค์คงจะทนต่อไปไม่ไหว
ในตอนนี้เอง จากช่องว่างของเหล่าทหาร รพีพงษ์ก็เห็นภาณินยืนอยู่ไม่ไกลออกไปหลายสิบเมตร
จะจับโจรต้องจับหัวหน้ามัน!จะต้องเสี่ยงกันหน่อยแล้ว
พอคิดๆ ไป รพีพงษ์ก็แย่งชิงดาบยาวเล่มหนึ่งมาจากมือทหารคนหนึ่ง จากนั้น ก็โยนดาบไปทางฝั่งภาณิน
ดาบพุ่งไปเร็วมาก และมีพลังแรงมากด้วย
ภาณินเห็นดังนั้น กว่าเขาจะตอบสนองได้มันก็สายไปแล้ว
ดาบนี้ของรพีพงษ์ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของภาณิน เพียงแค่เล็งไปทางข้างลำตัวเท่านั้น จุดประสงค์ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็น ว่าถ้าตนเองจะเอาชีวิตเขาล่ะก็ มันง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
แต่ทว่า ภาณินไม่ได้สนใจอะไรมาก หลังจากเห็นว่าอันตราย เขาก็จะหลบตัวไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ
แต่การกระโดดครั้งนี้ ดาบยาวที่พุ่งเข้ามาก็ตรงกับตำแหน่งหน้าอกเขาพอดี
สถานการณ์คับขัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของวรันธร
ในตอนนี้เอง บอดี้การ์ดข้างกายภาณินสองคนก็เข้ามาขวางตัวของภาณินไว้โดยไม่ลังเล
รพีพงษ์ที่ใช้พลังวิเศษเสน ดาบเล่มนั้นก็บาดเข้าไปที่ชุดเกราะ จากนั้นก็แทงเข้าไปในหน้าอกของฝั่งตรงข้าม
ภาณินมีสายตาตกใจ ถ้าไม่ได้บอดี้การ์ดสองคนนี้มาขวางไว้ แค่ดาบเล่มนี้ ตนเองก็คงจะมีตัวแยกกับหัวออกจากกันเสียแล้ว
ทุกคนก็อึ้งไปหลายวินาที แต่มันก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น กลับทำให้รพีพงษ์ได้โอกาส
เขากระดิกปลายเท้าลงพื้น แล้วตัวก็กระโดดสูงขึ้น จากนั้น เท้าข้างหนึ่งก็ไปเหยียบที่หัวไหล่ของทหารคนหนึ่ง แล้วกระโดดออกไปอีกครั้ง
แบบนี้ เพียงไม่กี่ก้าว ตนเองก็ได้มาถึงฝั่งของวรันธรและณรงค์แล้ว
ณรงค์ในตอนนี้ ก็มีแผลเต็มตัว ชุดเกราะของเขามีบางส่วนที่ถูกทำลายไปแล้ว พังจนเห็นผิวหนังด้านในและรอยเลือด
“พวกคุณยังจะสู้อีกหรือ?”
รพีพงษ์พูดเสียงดัง
คนพวกนั้นก็หยุดฝีเท้าลง พวกเขารู้ดี พอรพีพงษ์มาที่นี่ ตนเองก็คงไม่มีโอกาสสู้อะไรเลย
แต่ว่า โทเค็นโกลเด้นได้ออกคำสั่งมาแล้ว พวกเขาจะต้องปฏิบัติตาม
หลังจากนั้นเพียง3วินาที พวกเขาก็บุกโจมตีอีกครั้ง
รพีพงษ์ก็ด่าอยู่ในใจ แล้วก็คาดการว่า เวลามันน่าจะผ่านไปแล้วประมาณ5นาที เส้นทางที่จะออกไปจากแดนลับ เหลืออีก5นาทีเท่านั้น
รพีพงษ์เตะพวกทหารนั้นออกไป แล้วพูดเสียงดังว่า “เจ้าสำนักภาณิน ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้บอดี้การ์ดของคุณสองคนมาขวางไว้ ตอนนี้คุณคงตายไปแล้ว”
ภาณินก็ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ เขาก็พูดเสียงต่ำตอบกลับไป “นั่นก็เพราะว่าลูกน้องกูมันภักดี”
“ไม่เลวเลยนี่”
รพีพงษ์พูดอยู่ทางนี้ไปด้วย มือก็ต่อยเปิดทางไปด้วย ด้านหลังเขาก็มีณรงค์และวรันธรตามอยู่ติดๆ
“ในเมื่อลูกน้องของคุณภักดีกับคุณขนาดนี้ แล้วทำไมตอนนี้คุณจะต้องฆ่าแกงกันให้ตายด้วยเล่า? อีกอย่างทุกคนมีสิทธิ์ที่จะวิ่งตามหาและไขว่คว้าความสุขของตนเอง เจ้าสำนักภาณิน ผมไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้คุณจะเป็นที่เลือดเย็นแบบนี้!”
รพีพงษ์พูดเสียงดัง
ภาณินก็เจ็บจี๊ดในใจ กล้ามเนื้อบนหน้าเขาก็กระตุกเล็กน้อย
รพีพงษ์มือซ้ายถือหอก แล้วมองไปรอบๆ
ในตอนนี้ พวกของรพีพงษ์อยู่ห่างจากตัวของภาณินไม่เกิด10เมตร และห่างจากเส้นทางออกไปจากแดนลับอีกไม่ถึง15เมตร
“เจ้าสำนักภาณิน ระยะใกล้ขนาดนี้ ผมมีวิธีที่จะฆ่าคุณนับร้อยวิธี แต่ที่ตอนนี้ยังไม่ลงมือ ก็เพราะว่าเห็นว่าคุณเป็นพ่อของวรันธรก็เท่านั้น”
“นี่มึง!”
“จำไว้ว่า ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นขี้ข้าใคร บอกได้แค่ว่า ชีวิตของคุณดีกว่าคนอื่น แต่ไม่อาจจะไปดูถูกคนอื่นเขา” รพีพงษ์กล่าว
“วางมือลงให้หมด!”
ในตอนนี้เอง ภาณินก็พูดเสียงดังขึ้นมา ทหารทุกคนก็หยุดมือลงพร้อมกันทั้งหมด
ภาณินเห็นรพีพงษ์ที่ยังมีเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านเหมือนเดิม แล้วก็วรันธรที่พยุงณรงค์อยู่ เขาก็พูดเสียงต่ำว่า “รันตอนนี้พ่อขอถามหน่อย แกจะยอมอยู่ที่นี่กับพ่อ หรือว่าจะออกไปจากที่นี่!”
“เหอะ ภาณิน คุณพูดพวกนี้มันมีประโยชน์อะไร? คุณวาวตกลงกับผมไว้แล้ว ว่าวันนี้จะต้องพาพวกเขาสองคนไปด้วย” รพีพงษ์กล่าว
ใครจะรู้ ภาณินในตอนนี้ น้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมา “รันแม่แกจากพ่อไป ตอนนี้แกก็ยังจะทิ้งพ่อไปอีกหรือ?”
“แต่ว่า…..พ่อคะ หนูกับณรงค์นั้น” วรันธรกัดปาก จากนั้นก็พูดอย่างตั้งมั่นว่า “พ่อคะ หนูตัดสินใจแล้ว หนูจะอยู่กับณรงค์ ใครก็มาขวางไม่ได้ ในเมื่อพ่อไม่อนุญาต จะปล่อยพวกเราไปก็ปล่อย ถ้าไม่ปล่อยหนูก็จะยอมตายพร้อมกับณรงค์ตรงหน้าพ่อนี่แหละ”
“รัน!”
ภาณินตะโกนเสียงดัง ทันใดนั้น เขาก็นั่งลงที่เก้าอี้อย่างโศกเศร้า สายตาไร้สติ “ช่างเถอะ ในเมื่อแกก็บอกแบบนี้แล้ว งั้นเรื่องของแกกับณรงค์ พ่อก็ยอมรับก็แล้วกัน”
“จริงหรือคะพ่อ? พ่อ…….ยอมรับแล้วใช่ไหมคะ?” วรันธรได้ยินแล้ว ก็หน้าตาดีใจ แม้แต่ณรงค์ที่เป็นเสือยิ้มยาก ก็ยังยิ้มออกมา