ในตอนนี้ ทุกคนก็ปลีกตัวแยกเปิดทาง ภาณินก็เดินออกมาจากข้างในช้าๆ สายตาของเขานิ่งขรึมมองรพีพงษ์อยู่
“เจ้าสำนักภาณิน ไม่ทราบว่าวันนี้คุณสั่งการให้ทหารมาที่นี่มากมายเพื่ออะไรกัน? หรือว่าจะมาเพื่อรอส่งผมกลับงั้นหรือครับ? แต่ว่ามันดูใหญ่โตไปหน่อยนะ ผมรับเกียรตินี้ไม่ไหวหรอกครับ” รพีพงษ์พูดยิ้มๆ
“เหอะ มารอส่งคุณงั้นรึ? คุณคิดมากไปแล้วล่ะ”
“ในเมื่อไม่ได้มารอส่งผม แล้วคุณทำเพื่ออะไรหรือครับ?” รพีพงษ์ผายมือพูด “หรือว่า อยากจะรั้งตัวผมไว้?”
“ถูกต้อง!” ภาณินพูดเสียงเย็น “แต่ว่า ไม่ได้อยากจะรั้งตัวคุณไว้หรอก แต่เอาศพของคุณไว้ที่นี่ต่างหาก!”
“ทำไมล่ะครับ หรือว่าผมไปหาเรื่องคุณงั้นหรือ? ทำไมผมไม่เห็นรู้ตัวเลยล่ะ” รพีพงษ์แกล้งๆ พูดออกไปอย่างไม่สนใจ
ภาณินก็ยิ้มเย็นพูดว่า “ตัวคุณทำอะไรลงไป ตัวคุณเองก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจ เมื่อวานในลานประลอง คุณกล้าหักหน้าผมต่อหน้าคนอื่นๆ คุณรู้ไหม ว่าที่นี่นั้น ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้!ต่อให้เป็นคนที่มาจากโลกภายนอกแล้วอย่างไรล่ะ!”
พอรพีพงษ์ได้ยินดังนั้น สายตาก็นิ่งขรึมขึ้นมา “เจ้าสำนักภาณิน เมื่อวานที่ลานประลอง ผมไม่ได้เสียมารยาทกับคุณ แต่พูดเรื่องหลักการเหตุผลกับคุณ วรันธรและณรงค์เดิมทีก็เกิดมาเป็นคู่กัน ถ้าคุณมีใจที่อยากจะสนองความรักพวกเขา ผมก็เคารพคุณ แต่ว่าตอนนี้ คุณก็เป็นแค่เจ้าสำนักที่วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่ฟังใครเท่านั้นเอง ไม่คู่ควรให้ผมต้องเคารพนับถือ!”
“คุณนี่สมควรตายจริงๆ !” ภาณินพูดเสียงดัง
รพีพงษ์ยืดอกขึ้นมา สายตาก็ไม่กลัวฝั่งตรงข้ามแม้แต่น้อย
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์มีสิทธิ์มากพอที่จะองอาจมากกว่าใครบนโลก ก็แค่เจ้าสำนักของแดนลับเท่านั้น รพีพงษ์ไม่สนใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
“หรือว่าคุณไม่รู้ ว่าตำแหน่งของผมที่นี่คืออะไร!”
ภาณินโมโห คนอื่นๆ ก็คุกเข่าลง ยกเว้นรพีพงษ์ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“ตำแหน่งงั้นหรือ?”
รพีพงษ์มองฝั่งตรงข้ามอย่างดูถูก “โทษทีนะครับ ตำแหน่งของในนี้ สำหรับผมแล้ว มันไม่มีค่าอะไรเลย!”
“นี่มึง!”
สายตาของภาณินเผยรังสีการฆ่า จากนั้นก็หยิบป้ายคำสั่งสีทองออกมาจากหน้าอก
“ดูเหมือนว่า คุณจะลงมือแล้วสินะ” รพีพงษ์พูดเบาๆ สายตานิ่งๆ
เขาหมุนข้อมือข้อเท้าอบอุ่นร่างกาย เสียงกระดูกคอก็ลั่นๆ
ในเมื่อยังมีเวลาอีกสักพักจนกว่าจะได้ออกไปจากแดนลับนี้ จะได้จัดคนพวกนี้ให้หมดเลย แบบนี้ล่ะก็ ตนเองจะได้พาวรันธรและณรงค์ออกไปมีความสุขจากแดนลับนี้ได้อย่างสะดวกๆ
“พวกคุณ ใครจะเข้ามาก่อนดีล่ะ!”
พออบอุ่นร่างกายเสร็จ รพีพงษ์ก็พูดเสียงขรึม
“ณรงค์ ออกมา!”
ภาณินตะโกนเสียงดัง
ณรงค์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เดินออกมา สีหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ เลย ในมือถือหอก และปลายหอกก็ชี้ไปยังฝั่งรพีพงษ์
พอเห็นว่าคนแรกที่ภาณินเรียกออกมาก็คือ ณรงค์ รพีพงษ์ก็รู้สึกผิดคาด
ภาณินมุมปากยิ้มเย็น “ณรงค์ เอ็งคงจำที่กูบอกไว้นะ ฆ่ามันเสีย แล้วกูจะให้ลูกสาวกูแต่งงานกับมึง!”
มุมปากของณรงค์กระตุกเล็กน้อย เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว
รพีพงษ์ก็เข้าใจแผนชั่วของภาณินขึ้นมาได้ ไอ้จิ้กจอกแก่ตัวนี้ เจ้าเล่ห์ไม่เบาเลยนะ
“รพีพงษ์ เมื่อวานในลานประลอง ไอ้โง่ตัวไหนมันก็รู้ว่ามึงตั้งใจออมมือให้กับณรงค์ วันนี้ กูจะดูสิว่าถ้าพวกมึงสองคนสู้กันสุดชีวิต มันจะเป็นอย่างไร!” ภาณินพูดไป ลูกน้องคนหนึ่งก็ยกเก้าอี้เข้ามา เขาก็นั่งลงข้างหน้ารพีพงษ์ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ยิ้มมองด้านล่าง
ในตอนนี้ ณรงค์และรพีพงษ์ก็กำลังเผชิญหน้ากัน
“คุณจะลงมือกับผมงั้นหรือ?” รพีพงษ์ถามนิ่งๆ
ณรงค์ก็กัดปาก ขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่า ในใจของเขาก็ยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย
“ณรงค์ ทำไมเอ็งยังไม่ลงมืออีกล่ะ! หรือว่ามึงจะไม่ฟังคำสั่งของกูแล้วห้ะ?” ภาณินพูดออกมาอย่างทนไม่ไหว
หอกในมือของณรงค์หมุนขึ้น แล้วพูดกับรพีพงษ์ว่า “คุณรพี ขออภัยด้วยครับ!คำสั่งจ้ำนักผมจะขัดไม่ได้!”
พูดจบ เขาก็พุ่งเข้าไปที่รพีพงษ์
“ไอ้หมอนี่ ดูเหมือนว่าจะต้องสั่งสอนกันหน่อยแล้ว!”
รพีพงษ์ด่าในใจ เขาไม่ได้หยิบอาวุธอะไรขึ้นมา แค่เอียงตัวหลบ ก็สามารถหลบการโจมตีจากหอกของณรงค์ได้
แต่ทว่าณรงค์มีความสามารถเหนือกว่าทหารคนอื่นๆ จนได้เป็นหัวหน้าทหาร พลังก็คงจะแข็งแกร่งอยู่เหมือนกัน
พอโจมตีไม่โดน ตอนนี้ตัวของเขาก็ได้มาอยู่ด้านหลังของรพีพงษ์แล้ว
พอเขาหันตัว ท่าโจมตีตลบหลังอย่างสวยงาม จะพุ่งแทงเข้าที่หน้าอกของรพีพงษ์
กระบวนท่าแรกนั้นเป็นการหลอกล่อ แต่กระบวนท่านี้เป็นท่าไม้ตาย
แต่รพีพงษ์ก็เตรียมพร้อมกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
ก็แค่การโจมตีกลับอย่างฉับพลันเท่านั้นเอง รพีพงษ์ฝึกการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ท่าทางแบบนี้ได้จดจำขึ้นใจหมดแล้ว
เขากระตุกปลายเท้ากระโดดขึ้น ร่างกายก็ถอยหลังไปหลายเมตร หลบไปได้อย่างง่ายๆ
ณรงค์ขมวดคิ้ว กระบวนท่านี้เป็นกระบวนที่เขามั่นใจและภูมิใจมาก แต่ไม่คิดเลยว่า รพีพงษ์จะสามารถหลบออกไปอย่างง่ายๆ
“ยังจะสู้อีกไหม?” รพีพงษ์ยิ้มถาม
ณรงค์กำหมัดแน่น มือกำหอกยาวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
“ได้เลย ไอ้หมอนี่ ดูเหมือนว่าเอ็งจะไม่ยอมหยุดนะ วันนี้ก็จะแสดงฝีมือให้เอ็งได้เห็นเสียหน่อยแล้วล่ะ!”
พูดไป รพีพงษ์ก็หมุนตัว แล้วก็หลบการโจมตีของฝั่งตรงข้าม จากนั้น เขาก็มายืนข้างๆ ทหารที่ยืนดูอยู่ข้างๆ
ทหารคนนี้ยังไม่ทันตั้งตัว แต่รู้สึกชาๆที่มือ แล้วหอกในมือก็ถูกรพีพงษ์ช่วงชิงไป
“เดี๋ยวจะแสดงให้เอ็งดู ว่าอะไรคือการโจมตีกลับอย่างฉับพลันของจริง!”
พูดไป หอกในมือของรพีพงษ์ก็กวัดแกว่งไม่หยุด ณรงค์ไม่คิดเลยว่า แม้แต่หอกยาวรพีพงษ์ก็สามารถใช้ได้ดีขนาดนี้ อีกอย่าง พอหอกมาอยู่ในมือของรพีพงษ์แล้ว ก็ราวกับเห็นเงาอะไรอยู่ตลอดเวลา
ณรงค์ได้แต่เข้าไปรับมือโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่นาน เกราะเหล็กอย่างดีบนตัวของเขา ก็เกิดเป็นประกายไฟออกมา ถ้าไม่ได้รับการป้องกันจากเกราะเหล็กไว้อย่างดี เกรงว่าในตอนนี้ณรงค์คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
ตอนที่ณรงค์กำลังรับมืออยู่นั้น ทันใดนั้น เขาก็ตาลาย รพีพงษ์กระโดดลอยสูงขึ้น แล้วข้ามมาด้านหลังของเขา
สู้รบเป็นตายมาหลายปี ทำให้ณรงค์สามารถรับรู้ได้ว่า เอาด้านหลังของตนเองเปิดโอกาสให้ฝั่งตรงข้าม มันเป็นเรื่องที่น่าอันตรายมาก
เขารีบหันกลับไป แต่กระบวนท่าของรพีพงษ์นั้นเร็วมาก
“การโจมตีกลับอย่างฉับพลัน!”
ตัวของรพีพงษ์งอเอนไปด้านหลัง เตรียมจะแทงหอกเข้ามา
ท่าทางแบบนี้มันเท่มาก ในขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับการโจมตีกลับอย่างฉับพลันของณรงค์ มันช่างแตกต่างกันมาก
การโจมตีกลับอย่างฉับพลันของฝั่งตรงข้ามก็เป็นแค่หอกธรรมดาเท่านั้น แต่รพีพงษ์สามารถแทงได้7ครั้งใน1วินาที แถมตำแหน่งของแต่ละครั้งยังไม่เหมือนกันด้วย
ณรงค์ตั้งรับครั้งแรกได้ แต่ต่อจากนั้นอีก6-7ที เขาไม่มีทางตั้งรับได้เลย
และครั้งนี้ มือของรพีพงษ์ก็ใช้เน่ยจิ้งเล็กน้อย ชั่วพริบตา ชุดเกราะของณรงค์ก็ถูกทำลาย ตัวของเขาก็ร่วงลงพื้น
ปลายหอกของรพีพงษ์ชี้ไป จิตวิญญาณการต่อสู้ที่น่าเกรงขามก็เผยออกมา
เป็นการโจมตีกลับอย่างฉับพลันเหมือนกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า การโจมตีกลับอย่างฉับพลันของณรงค์เป็นเหมือนของเด็กเล่น เมื่ออยู่ตรงหน้ารพีพงษ์
กระบวนท่านี้ เป็นท่าไม้ตายของณรงค์แล้ว
“ณรงค์ เอ็งลุกขึ้นมาฆ่ามัน!”
ภาณินตะโกนเสียงขรึม
ณรงค์ใช้หอกค้ำยันที่พื้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“คุณมั่นใจนะว่าจะสู้อีก?” รพีพงษ์มองณรงค์ที่เดินเข้ามาทางตนเองเรื่อยๆ แล้วพูดเสียงขรึมออกไป
ดูเหมือนว่า สุดท้ายแล้วหมอนี่ก็ยังเลือกฝั่งภาณิน เพื่อภาณินแล้ว เขายอมฆ่าตนเองทิ้ง
นี่ก็ทำให้ในใจของรพีพงษ์โมโหมาก
“เมื่อครู่นี้ยังกังวลกับวรันธร แต่ตอนนี้ ผมจะไม่เกรงใจแล้ว!”
สิ้นเสียงพูด ณรงค์ก็บุกเข้าหาตัวรพีพงษ์อีกครั้ง
รพีพงษ์ก็รับรู้ได้อย่างชาญฉลาดว่า ที่ฝั่งตรงข้ามบุกเข้ามาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจหรือฝีเท้า ก็ดูสับสนกว่าก่อนหน้านี้มาก
แม้แต่การจับหอก ก็ดูเหมือนว่าจะจับแน่นน้อยกว่าเมื่อครู่นี้อีก
นี่มันไม่ใช่การบุกโจมตีของคนที่มีประสบการณ์การสู้รบมาหลายปี แต่การบุกโจมตีแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับเข้าไปฆ่าตัวตาย
รพีพงษ์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หอกในมือก็ลอยขึ้นมา แล้วฟาดเข้าไปที่อาวุธในมือของฝั่งตรงข้ามออก จากนั้น ก็แทงออกไปอีก จนฝั่งตรงข้ามล้มลงพื้น
รพีพงษ์ยืนอยู่ข้างหน้าเขา แสงแดดที่อบอุ่นก็ส่องมายังใบหน้าของเขาพอดี ในตอนนี้ รพีพงษ์ก็เหมือนกับเห็นว่า มุมปากของณรงค์จะแฝงรอยยิ้มอยู่
“รพีพงษ์ คุณฆ่าผมเถอะ”
ณรงค์พูดอย่างช้าๆ “ฆ่าผมเถอะ ผมจะได้ถูกปลดปล่อย”
รพีพงษ์จับหอกในมือแน่น ในตอนนี้ เขาก็อึ้งๆ ไป แต่ทว่า ตอนที่เขาเห็นใบหน้าที่นิ่งๆ ของณรงค์แล้วนั้น ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้