พอเดินออกจากโซนของเล่นไป รพีพงษ์ก็พาหนูลินมายังศูนย์อาหาร
“พวกเรามาผ่อนรอแม่กันที่นี่ดีไหมลูก?” รพีพงษ์ถาม
หนูลินพยักหน้า แล้วก็เล่นของเล่นในมือ
รพีพงษ์ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่ออารียาสักพัก แล้วก็ไปสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว และซื้อน้ำส้มมาให้หนูลินด้วย
ไม่นาน ไกลออกไปรพีพงษ์ก็เห็นหญิงสาวหอบหิ้วถุงน้อยใหญ่เดินมา
แค่พักเดียว พวกเธอได้ของไม่น้อยเลยนะ
“รพีพงษ์ ทำไมคุณไม่มารับหน่อยล่ะ ทนเห็นสาวๆ อย่างเราเหนื่อยขนาดนี้ได้หรือ?” ฝนสุดาพูดกับรพีพงษ์
“สุดา เธอน่ะยังไม่เข้าใจเขา เขาน่ะเป็นผู้ชายมากๆ พวกเราอย่าไปสนใจเขาเลย” อารียาพูดเบาๆ จากนั้นก็เอาถุงข้าวของในมือวางลงบนโต๊ะ
พูดไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่คนฟังนั้นเก็บเอาไปใส่ใจ
พอได้ยินอารียาพูดแบบนี้ ฝนสุดาก็อึ้งๆ ไป
บอกว่าตนเองไม่เข้าใจเขา มันก็หมายถึงว่าตนเองอยู่กับรพีพงษ์ไม่นานเท่ากับอารียางั้นหรือ?
จะว่าไปมันก็จริงอยู่ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเช้าเย็น ความเข้าใจกันคงมากกว่าตนเองมาก
ฝนสุดาก็เอาถุงในมือวางลงบนโต๊ะเหมือนกัน เธอยิ้มพูดว่า “หนูลินจ๊ะ ตุ๊กตาตัวนี้น่ารักจังเลย พ่อซื้อให้ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ไม่ใช่ค่ะพี่สาว หนูได้มันมาเองค่ะ” หนูลินพูดอย่างค่อนข้างภูมิใจ
“เก่งจังเลย”
พูดไป ฝนสุดาก็เอามือลูบหัวของหนูลิน ใบหน้าก็ยิ้มๆ “หนูลินน่ารักมาก อิจฉาพวกคุณสองคนจริงๆ ที่มีลูกน่ารักแบบนี้”
“สุดา เธอก็ไม่เบานะ เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมแบบนี้ น่าจะมีคนมาตามจีบไม่น้อยนะ” อารียากล่าว
พอฝนสุดาได้ยินดังนั้น ก็หันไปมองรพีพงษ์ ปากเธอก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเข้าตาฉันสักคน ถ้าอยากจะแต่งงานกับฉัน อย่างน้อยต้องเหมือนกับรพีพงษ์”
“เดี๋ยวนะคุณ พูดแบบนี้ผมไม่เห็นด้วยนะ ทำไมหรือ ผมแย่มากเลยหรือ?” รพีพงษ์พูดตัดบทเอาสนุก
ฝนสุดาก็มองรพีพงษ์ แล้วก็ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก ในใจก็ชื่นชม ผู้ชายดีๆ แบบนี้ ต่อให้ตามหาทั้งประเทศญี่ปุ่นก็หาไม่เจอ ทำไมผู้ชายที่ฉันชอบต้องมีเจ้าของแล้วด้วยนะ?
พอเห็นใบหน้าของฝนสุดาเศร้าๆ รพีพงษ์และอารียาก็มองหน้ากัน แล้วก็ไม่พูดอะไร
“พี่สาวคะ กินมันฝรั่งทอดสิคะ” หนูลินพูดออกมาทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียด แล้วก็ยื่นมันฝรั่งทอดให้กับฝนสุดา
ในตอนนี้เอง ห้องโถงในห้างก็ครึกครื้นขึ้นมา
ผู้คนเริ่มเข้าไปมุงดูเวทีกลางของห้าง
“นี่จะทำอะไรกัน?” ฝนสุดาถามอย่างสงสัย
เธออยู่บนชั้นสอง แล้วก็ลุกขึ้นมอง
“ไม่รู้เหมือนกัน ทางห้างอาจจะเรียกลูกค้าเพื่อโฆษณาสินค้าล่ะมั้ง” รพีพงษ์พูดๆ ออกไป เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องที่เกิดในกลางห้างเท่าไรนัก
“งั้นหรือ? ฉันว่าไม่ใช่” ฝนสุดาพูดนิ่งๆ
เห็นว่า บทกลางเวทีชั่วคราวนั้น มีคนยืนอยู่หนึ่งคน
คนนั้นอายุยังน้อยอยู่ ท่าทางดูโดดเด่นกว่าใคร
เพียงแต่ สิ่งที่ไม่เหมือนกับคนหมู่บ้านนี้ก็คือ หนุ่มคนนี้สวมชุดคลุมจีนโบราณ ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นนักแสดงจำอวด
“ทุกท่าน ผมคือศิษย์ใหญ่ของสำนักเทพยาเซียน ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักจิรภัทร!”
ประโยคแรกที่พูดขึ้นมา ก็ดึงดูดความสนใจของรพีพงษ์และอารียาสำเร็จ
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงไปมองที่กลางห้องโถง หนุ่มบนเวทีคนนั้น ปากก็บ่นพึมพำว่า “ไอ้หมอนี่ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย?”
“เจ้าจิรภัทรมีศิษย์ใหญ่แบบนี้ด้วยหรือ? รพีพงษ์ คุณรู้ไหม?” อารียาถาม
อารียาส่ายหัว “ผมอยู่ที่สำนักเทพยาเซียนหลายวัน ผมรู้จักคนในสำนักเทพยาเซียนทั้งหมด แต่ไม่เคยเห็นหมอนี่เลย”
“แสดงว่า คนนี้จะเป็นพวก………นักต้มตุ๋นงั้นหรือ?” อารียากล่าว
รพีพงษ์ก็เอามือลูบสันจมูก แล้วก็จูงมือหนูลิน “ไป พวกเราไปดูกันหน่อย ถ้าไอ้หมอนี่รู้จักหยุดก็แล้วไป แต่ถ้ามาทำให้ชื่อเสียงของเจ้าจิรภัทรเสียหายล่ะก็ ผมคงจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้”
พูดไป แล้วทุกคนก็เดินลงไปข้างล่าง
“ทุกท่าน ผมเดินทางออกมาจากสำนักวันนี้ เนื่องจากได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ให้มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แล้วตามหาคนที่มีพรสวรรค์ เพื่อเข้าไปร่ำเรียนในสำนักเทพยาเซียน ไปเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ผม ดังนั้น ครั้งนี้ ผมจะขอรับศิษย์แทนอาจารย์เอง!” หนุ่มคนนั้นยิ้มพูดอย่างมั่นใจ
คนที่เข้ามามุงดูมีจำนวนมาก พอได้ยินดังนั้น ก็พากันตื่นเต้น
แถบนี้อยู่ใกล้สำนักเทพยาเซียนอยู่แล้ว เคยได้ยินเรื่องราวความอัศจรรย์ของสำนักเทพยาเซียนอยู่แล้ว ในใจคนหมู่บ้านนี้คิดว่าเจ้าสำนักจิรภัทรเป็นดั่งเทพเซียนเลยทีเดียวเชียว
คนที่เข้าตาของเจ้าจิรภัทร แล้วได้กลายเป็นลูกศิษย์นักกลั่นยา นี่มันเป็นเรื่องที่คนมากมายอยากจะได้รับ!
“ผมอยู่ที่หมู่บ้านนี้มา20กว่าปี เพิ่งเคยเห็นว่าเจ้าจิรภัทรจะรับลูกศิษย์ พ่อหนุ่ม เอ็งมาหลอกพวกเราหรือเปล่า” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนขึ้นไปบนเวที
“ผมน่ะหรือจะมาหลอกคุณ?” ชายบนเวทีสาดสายตาโมโหออกมา แต่ไม่นานก็เปลี่ยนสายตาไป แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาของรพีพงษ์ไปได้
“ดูสิว่าไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหน” รพีพงษ์คิดในใจ
“คุณอาท่านนี้คงจะยังไม่ทราบสินะครับ ที่ผมลงเขามารับศิษย์แทนอาจารย์ในครั้งนี้ ผมได้โน้มน้าวอาจารย์อยู่นาน เพราะถึงอย่างไรสำนักเทพยาเซียนของเรา มีใจทำเพื่อสรรพชีวิต อยากจะช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือครับ?” หนุ่มคนนั้นกล่าว
“ใช่ หนุ่มคนนี้พูดถูก”
“เห็นท่าทางเขาไม่ธรรมดา และพูดจามีหลักการ ต้องเป็นคนของสำนักเทพยาเซียนแน่ๆ”
……
ผู้คนเริ่มคุยกัน ใบหน้าหนุ่มคนนั้นก็ยิ้มอย่างได้ใจ
“แน่นอนครับ ลงเขาครั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเปิดรับรักษาคน” ชายหนุ่มยิ้มพูด “ไม่ทราบว่ามีท่านไหนมีอาการป่วยไหม ถ้ามีล่ะก็ ก็เชิญขึ้นมาบนเวทีได้เลย ให้ผมตรวจดูหน่อย”
พูดไป ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ คนพวกนี้มาดูด้วยความสนใจอยู่แล้ว อีกอย่างความอัศจรรย์ในยาเม็ดของสำนักเทพยาเซียน พวกเขาแค่ได้ยินกันมาเท่านั้น แต่ยังไม่เคยมีใครได้เห็นกับตาตนเอง
“น้องชาย คือผม…..ช่วยผมตรวจดูหน่อยได้ไหม”
ในตอนนี้เอง ด้านล่างเวทีก็มีชายคนหนึ่งพูดขึ้นมา
สายตาของทุกคนก็มองไปยังชายคนนั้น คนนี้น่าจะอายุประมาณ40ปี หนวดเคราเต็มหน้า บนตัวใส่เสื้อผ้าขาดๆ ในมือก็ถือไม้เท้าอันหนึ่ง
“พี่ชายท่านนี้ รีบขึ้นเวทีมาเลยครับ มีอาการป่วยอะไร บอกผมได้เลย” ชายหนุ่มกล่าว
ชายคนนี้ส่งสายตาไป แล้วพูดไม่ค่อยถนัด “ผมไม่ได้ป่วยอะไรหรอก เพียงแต่ ครั้งก่อนขาถูกรถชนมา ก็ต้องเดินค้ำไม้เท้าตลอด ไม่รู้จะรักษาให้หายได้ไหม”
“เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่มีปัญหาแน่นอน เชิญขึ้นมาบนเวทีเลย” ชายหนุ่มพูดเชิญ
แต่ทว่า ชายด้านล่างเวทีก็พูดอย่างลำบากใจว่า “ช่างเถอะๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณนะ แต่ปกติแล้วผมเป็นคนเก็บขยะ เป็นคนยากจน ต่อให้คุณรักษาขาผมจนหาย ผมก็ไม่มีเงินให้คุณหรอก ช่างมันเถอะ”
“เดี๋ยว พี่ชาย อย่าเพิ่งไป”
ชายหนุ่มยิ้มพูด “ในฐานะที่ผมเป็นศิษย์ใหญ่ของเจ้าสำนักสำนักเทพยาเซียน ลงเขารักษาโรคครั้งนี้ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ก็จะไม่รับเงินแม้แต่แดงเดียว วางใจได้เลยครับ”
“ไม่คิดเงินจริงๆ หรือ?”
ชายด้านล่างพูดอย่างแปลกใจ
“แน่นอนครับ คนมากมายอยู่ที่นี่ ผมพูดคำไหนคำนั้น” ชายหนุ่มกล่าว
“งั้นผมขึ้นไปเลยนะ ขอบคุณมากจริงๆ”
ชายอายุ40คนนี้ ท่าทางชักช้า เดินกะเผลกถือไม้เท้า ชายหนุ่มต้องเข้ามาพยุงตัว ถึงสามารถขึ้นเวทีได้
“พ่อคะ ลุงคนนั้นน่าสงสารจังเลยค่ะ หวังว่าพี่ชายคนนั้นจะรักษาให้หายได้นะ” หนูลินกล่าว
รพีพงษ์ก็ยิ้มๆ แล้วลูบหัวของหนูลิน
ตอนนี้ ชายหนุ่มบนเวทีก็เอาตัวของคนป่วยนอนลง จากนั้นก็เดินเข้าไปครึ่งก้าว แล้วก็บิดๆ ขาของผู้บาดเจ็บ
บิดไปแต่ละครั้ง ชายอายุ40ก็กัดฟันแน่นทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดอย่างมาก
“นี่ แกรักษาหายได้ไหมน่ะ?”
“นั่นสิ รักษาได้ไหมน่ะ ถ้ารักษาไม่ได้ล่ะก็ ก็อย่ามาทรมานคนที่นี่สิ”
……
คนที่รักความเป็นธรรมทางด้านล่างพูดขึ้นมา
ชายหนุ่มลุกขึ้นมา แล้วพูดกับทุกคนว่า “ทุกท่านวางใจได้ เมื่อครู่ผมได้ตรวจสอบอาการของพี่ชายท่านไปแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่า อาการบาดเจ็บของพี่ชายท่านนี้ น่าจะมีอายุประมาณอย่างน้อยเป็น10ปีมาแล้ว ผมพูดถูกไหมครับ?”
“ใช่ๆ” ชายอายุ40บนเวทีกัดพูดออกมา “ถูกต้อง 10ปีเต็มๆ คุณนี่เก่งจริงๆ แค่นี้ก็สามารถดูออกแล้ว!”
พอได้ยินคนบาดเจ็บยืนยัน สายตาของผู้คนด้านล่างเวทีก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือต่อชายหนุ่มคนนั้น
“ความอัศจรรย์ของสำนักเทพยาเซียนยังไม่หมดเพียงเท่านี้”
พูดไป ชายหนุ่มก็หยิบยาเม็ดสีทองออกมาจากหน้าอก