รพีพงษ์ขมวดคิ้ว ไอ้หมอนี่ เอายาอะไรออกมาก็ไม่เอา ดันเอายาเม็ดสีทองออกมา รู้ไหมว่า ยาเม็ดสีทอง มันคือยาเม็ดระดับเทพเซียน!
“ยาเม็ดนี้ เป็นยาที่ผมทำสำเร็จในสำนักเทพยาเซียน มีสรรพคุณสร้างกระดูกต่อเส้นเอ็นใหม่”
“อัศจรรย์แบบนี้เลยหรือ?” คนด้านล่างเวทีถาม
“แน่นอน”
พูดไป ชายหนุ่มก็มองไปทางผู้บาดเจ็บ “พี่ชายท่านนี้ ถ้าคุณเชื่อผมล่ะก็ ก็สามารถกินยานี้ลงไปได้เลย”
“เชื่อสิ ผมเชื่อคุณแน่นอน”
ชายบาดเจ็บคนนี้ก็รีบรับเอายาจากมือของฝั่งตรงข้ามมา “เพราะถึงอย่างไรหลายปีมานี้ ก็รักษาไม่หายอยู่แล้ว”
พูดไป ก็กลืนยาเม็ดลงไปด้วย
ผู้คนด้านล่างก็มองบนเวทีอย่างรอคอย
ชายหนุ่มคนนี้ก็พูดว่า “พี่ชายท่านี้ ลองลุกขึ้นยืนดูสิครับ”
“เอ่อ….มันจะได้ผลจริงหรือ?” คนบาดเจ็บถาม
ชายหนุ่มก็พยักหน้า “เชื่อผมสิ คุณทำได้แน่นอน”
ชายบาดเจ็บอายุ40กว่าปีคนนี้ มีความกังวลและแปลกใจ แล้วก็ค่อยๆ ลุกจากพื้นอย่างเซไปเซมา จากนั้น เขาก็ยืนตัวตรงอยู่บนเวที ใบหน้าก็มีความดีใจ
“ผมหายแล้ว ผมหายแล้ว ผมหายดีแล้ว!ช่างเป็นหมอเทวดาจริงๆ ยาเม็ดของสำนักเทพยาเซียนช่างอัศจรรย์จริงๆ !”
พูดไป ชายบาดเจ็บคนนั้นก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนเวที วิ่งไปกระโดดไป
คนด้านล่างเวทีเห็นดังนั้นก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่า คนที่ขาเป๋มาเป็นสิบปี จะหายเป็นปกติได้ภายในไม่ถึง10วินาที
เรื่องแบบนี้มาเกิดขึ้นตรงหน้า ใครเห็นก็ต้องเชื่อ
เพียงแต่ พวกเขาไม่รู้ว่า เรื่องบางเรื่องต่อให้มาเกิดขึ้นตรงหน้า ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง
“การแสดงมันดูเกินจริงไป ยังห่างจากรางวัลออสก้าตุ๊กตาทองอีกไกลนัก” รพีพงษ์พูดเบาๆ แล้วหันกลับมามอง ให้ได้อย่างนี้สิ ฝนสุดากลับร้องไห้น้ำตาคลอ
“คุณเป็นอะไรไป? ฝุ่นเข้าตาหรือ?” รพีพงษ์ถาม
ฝนสุดาส่ายหัว แล้วมองไปยังบนเวที “คิดไม่ถึงว่า ยาเม็ดของสำนักเทพยาเซียนจะอัศจรรย์แบบนี้ อีกอย่างหนุ่มคนนี้ก็มีคุณธรรมสูงส่ง ไม่รังเกียจที่คนป่วยเป็นคนยากจน เรื่องแบบนี้จะทำให้ฉันไม่ซาบซึ้งได้ไงล่ะ? ”
รพีพงษ์ก็หน้าแหย ฝนสุดานั้นเป็นลูกสาวตระกูลใหญ่โต ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกรพีพงษ์เห็นรูปที่ไม่ควรเห็นไปนั้น เธอน่าจะเป็นคนที่มีความรู้มาก ทำไมตอนนี้ถึงเป็นคนที่ไร้เดียงสาจนโง่แบบนี้ล่ะ?
“สุดา เธอมองไม่ออกหรือ? พวกเขาสองคนกำลังแสดงจำอวดกันอยู่” อารียาพูดเตือนสติอยู่ข้างๆ
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้หญิงของรพีพงษ์ เทคนิคแค่นี้ มาอยู่ตรงหน้าอารียา มองแวบเดียวก็ดูออกแล้ว
“จำอวด? มันคืออะไร?” ฝนสุดาเป็นคนประเทศญี่ปุ่น เธอยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาท้องถิ่นแบบนี้
“หมายความว่า พวกเขากำลังแสดงละครกันอยู่” รพีพงษ์พูดตอบเบาๆ
“แสดงละครงั้นหรือ?” ฝนสุดาทำตาโต แล้วมองไปบนเวทีอย่างไม่เชื่อความจริง
“รพีพงษ์ แคลร์พวกเธอสองคนมองออกกันหมดเลยหรือ?”
“แน่นอน”
ทั้งสองคนพยักหน้ายิ้มพร้อมกัน
ฝนสุดาก็หน้าแดง เอาเถอะ ดูเหมือนว่าจะมีแต่ตนเองคนเดียวที่มองไม่ออก
“ไอ้หมอนี่ มันกล้ามาหลอกพวกเรา เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปสั่งสอนเสียหน่อย” ฝนสุดาทำท่าจะเข้าไป แต่ถูกรพีพงษ์รั้งไว้
“รอเดี๋ยวค่อยจัดการก็ยังไม่สาย ดูสิว่าต่อไปเขาจะทำอะไรต่อ” รพีพงษ์ยิ้มพูด แล้วก็มองไปยังบนเวทีอีกครั้ง
หลังจากเรื่องมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย สายตามากมายก็มองไปยังชายหนุ่มคนนั้นอย่างเชื่อถือในความสามารถ
“ทุกท่าน ใครยังมีโรคอะไรก็บอกได้เลย เพียงแต่ วันนี้ผมลงเขาอย่างรีบร้อน เตรียมยาเม็ดมาไม่เยอะ แต่ก็ไม่เป็นไร ทุกท่านบอกอาการกับผมมา เดี๋ยวผมจะจดไว้ เดี๋ยวหลังจากนี้15วัน ผมจะเตรียมยามาให้เพียงพอ และจะไม่รับเงินสักแดงเดียว!” ชายหนุ่มกล่าว
ทุกคนก็ตื่นเต้น ยาเม็ดของสำนักเทพยาเซียน แค่เอามาในตลาดสักเม็ด ก็มีราคาดั่งอัญมณี ตอนนี้มีเรื่องดีๆ แบบนี้ ชายคนนี้ช่างมีจิตใจดีอะไรแบบนี้
ชายหนุ่มอมยิ้ม พอเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ก็สะบัดมือบอกทุกคนว่า “ทุกท่านครับ ต่อจากนี้ เรื่องที่สองที่ผมลงเขามา ก็คือการรับศิษย์แทนอาจารย์”
“ทุกท่านต่างรู้กันดี อาจารย์ของผมเจ้าจิรภัทร เป็นมีเมตตาธรรมสูงส่ง ฝีมือการกลั่นยาก็ไม่มีใครเทียบ วันนี้ผมได้มีโอกาสลงเขามารับศิษย์แทนอาจารย์ท่าน ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก อีกอย่างทุกคนก็รู้ดี ว่าถ้าสามารถเรียนกลั่นยาได้ แล้วสิ่งที่รอท่านอยู่มันจะเป็นอะไรล่ะ ไม่ต้องให้ผมพูดเลย ทุกท่านล้วนรู้ดี”
ทุกคนก็ตาลุกวาว ถ้าตนเองได้เรียนวิธีกลั่นยาล่ะก็ หลังจากนี้ก็กลั่นยาออกมาขายเอง รายได้คงจะเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
“ดังนั้น โอกาสแบบนี้หาได้ยากมาก ไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์จะรับศิษย์ครั้งหน้าล่ะก็ จะต้องรอนานแค่ไหน”
ชายหนุ่มมองคนด้านล่างเวที
ชายบาดเจ็บที่เพิ่งอาการดีขึ้น ก็พูดกับชายหนุ่มว่า “เอ่อคุณครับ ไม่ทราบว่าผมพอจะมีพรสวรรค์ไหม แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจผมล่ะก็ รับผมเป็นศิษย์ด้วยได้ไหม?”
ชายหนุ่มก็มองฝั่งตรงข้าม แล้วยิ้มพูดว่า “เอ่อคือว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ก็เหมือนกับที่คุณพูด ก่อนอื่นผมจะต้องดูก่อนว่าคุณมีพรสวรรค์หรือไม่”
“แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะดูออกล่ะ?” ชายอายุ40กว่าถามชายหนุ่ม
“ง่ายมาก ต้องจับกระดูก”
“จับกระดูกงั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มแปลกๆ คนด้านล่างเวทีก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ
“ถ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ กระดูกจะมีความชัดเจน และในเส้นชีพจรลมปราณจะมีชี่แท้อยู่ด้วย เพียงแต่ชี่แท้แบบนี้ พวกคุณไม่สามารถรับรู้มันได้ แต่ในฐานะที่ผมเป็นศิษย์ใหญ่ของสำนักเทพยาเซียน สามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มอธิบายให้กับทุกคนฟัง
ทุกคนก็พยักหน้า ความอัศจรรย์ของสำนักเทพยาเซียนนั้น พวกเขาก็เคยได้มาบ้าง สำหรับเรื่องของชี่แท้และจุดชีพจรลมปราณแล้วนั้น พวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด
“มา ให้ผมได้ลองจับกระดูกดูหน่อย ว่าได้ไหม?”
ชายหนุ่มกล่าว
“ได้เลย” ชายวัยกลางคนตอบกลับ แล้วยืนขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มมองคนตรงหน้า แล้วยื่นมือออกไปจับแขนทั้งสองข้างของเขา ตั้งแต่ตนแขนจรดปลายแขน แล้วหลับตาทำท่าจับกระดูกอย่างจริงจัง
คนด้านล่างก็มองบนเวที ผ่านไป10วินาที ทันใดนั้น ก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น
เห็นว่าตอนที่ชายหนุ่มลูบคลำร่างกายของชายวัยกลางคนอยู่นั้น บนตัวของชายวัยกลางคนก็มีไอพลังสีขาวๆ ไหลออกมาปกคลุมตัวไว้บางๆ
ทุกคนก็ตกใจไปตามกัน สถานการณ์แบบนี้ มันเหมือนกับเล่นมายากลเลย!
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น แล้วมองฝั่งตรงข้ามพร้อมพูดว่า “พี่ชายท่านนี้ คุณมีโครงกระดูกที่ดีแต่กำเนิด ชี่แท้ในร่างกายก็พลุ่งพล่าน เอามาใช้กับการกลั่นยา มันจะเหมาะสมมากเลย!”
“อะไรนะ คุณหมายความว่า?”
ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ
“ผมหมายความว่า ถ้าคุณยินยอม คนมีพรสวรรค์แบบคุณ สามารถเข้าร่วมสำนักเทพยาเซียนของพวกเราได้!” ชายหนุ่มยิ้มพูด
“จริงหรือนี่? ผมเข้าได้จริงๆ ใช่ไหม? ”
ชายวัยกลางคนอึ้งไปก่อน จากนั้นก็พูดอย่างดีใจว่า “ดีมากเลย ในที่สุดผมก็ไม่ต้องไปเก็บของเก่าแล้ว ผมได้เข้าไปอยู่สำนักเทพยาเซียน จะได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเจ้าจิรภัทรแล้ว!”
คนด้านล่างเวทีต่างก็ชื่นชม พวกเขาล้วนรู้ดีว่า การที่ได้เข้าร่วมกับสำนักเทพยาเซียน สำหรับคนคนหนึ่งที่ทำงานเก็บของเก่าแล้วนั้น มันเหมือนกับได้ร่ำรวยข้ามคืนเลยทีเดียว!
“เพียงแต่…….” ชายหนุ่มมองฝั่งตรงข้าม
“แต่อะไร?” ชายวัยกลางคนถาม
“เพียงแต่ ก่อนที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักเทพยาเซียนอย่างเป็นทางการนั้น คุณจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นก่อน ค่าใช้จ่ายไม่สูง หนึ่งพันหยวนก็พอแล้ว หนึ่งก็เพื่อเอามาใช้จ่ายประจำวันในสำนักเทพยาเซียน สองก็เพื่อแสดงถึงความจริงใจของคุณ” ชายหนุ่มกล่าว
“ฉากเด็ดเริ่มมาแล้ว” รพีพงษ์ที่อยู่ด้านล่างเวทีพูดเสียงเบาออกมา ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เขาและอารียาที่ดูออก แม้แต่ฝนสุดาก็ดูออกชัดเจนเหมือนกัน
“ไอ้หมอนี่ หน้าไม่อายเลยจริงๆ” ฝนสุดาพูดอย่างโมโห