รพีพงษ์ก็ยิ้มๆ มือซ้ายก็รีบยื่นออกไปคว้าคอเสื้อฝั่งตรงข้ามเอาไว้ แล้วปล่อยมือดันออกไป ฝั่งตรงข้ามก็หลุดลอยขึ้นเวทีไปเหมือนกันว่าวที่ขาดออกจากเชือก
นทีนทตัวแข็งทื่อ หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่ ทำไมถึงมีคนเก่งซ่อนตัวอยู่เยอะแบบนี้ แถมยังเป็นคนที่มีพลังสูงส่งกว่าตนเองด้วย
“นี่คุณ……คุณเป็นใคร?” นทีนทชี้หน้ารพีพงษ์
รพีพงษ์ก็ยิ้มๆ แล้วก็กระโดดขึ้นเวทีไปเบาๆ
สุดาก็มองรพีพงษ์ ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย ขอเพียงมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วย ก็จะไม่มีเรื่องไหนที่จัดการไม่ได้
รพีพงษ์ขึ้นมาบนเวที แต่ไม่ได้มองไปทางนทีนท กลับกันเขาชี้ไปยังคนที่ล้อมดู แล้วพูดว่า “พวกคุณยังมีใครอยากจะจับโครงกระดูกอีกไหม เดี๋ยวผมช่วย”
“คุณก็ทำเป็นหรือ?”
“หรือ คุณก็คือคนของสำนักเทพยาเซียน?”
……
รพีพงษ์ยิ้มๆ “ผม…….ก็ถือว่าใช่อยู่ เจ้าจิรภัทรเป็นเพื่อนของผม ในสำนักเทพยาเซียนมีคนชื่อว่าปยุต เขาเป็นอาจารย์ที่สอนให้ผมกลั่นยาเป็น”
“เออใช่ ในเมื่อคุณบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของสำนักเทพยาเซียน แล้วรู้จักปยุตไหม?” รพีพงษ์ถามขึ้นมา
นทีนทมีสีหน้าอึ้งไป จากนั้นรีบพูดว่า “รู้จักๆ ปยุตโตมาพร้อมกับผมเลย พวกเราเคยเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก เพียงแต่วิชาการกลั่นยาของเขาสู้ผมไม่ได้”
“งั้นหรือ?” รพีพงษ์ยิ้มเยาะ “ปแฟชั่นเป็นคนแก่อายุมากแล้วนะ คุณกลับบอกว่าโตมาด้วยกัน แล้วปยุตก็เป็นศิษย์น้องของเจ้าจิรภัทร เป็นผู้อาวุโสของสำนักเทพยาเซียน ถ้าคุณเป็นศิษย์ใหญ่ของสำนักเทพยาเซียนจริงๆล่ะก็ จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!”
“คือผม……..” นทีนทพูดไม่ออก สายตาก็เผยความเกลียดออกมา
ไอ้หมอนี่ ขุดหลุมให้ตัวเองตกลงไปเองแท้ๆ !
ผู้คนทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็เผยสายตาแปลกใจออกมา อยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มมาพูดจาอย่างจริงจัง แต่ว่าดูไปแล้วนทีนทก็ตอบมาไม่ค่อยตรงเท่าไร
“มา คุณอยากจะจับกระดูกดูไม่ใช่หรือ เดี๋ยวผมช่วย”
ยังไม่ทันให้ใครพูด รพีพงษ์ก็จับชายวัยกลางคนเข้ามา
เขาเอาทั้งสองมือวางไว้บนตัวของฝั่งตรงข้าม แล้วพูดว่า “ก็แค่ไอพลังสีขาวเท่านั้นเอง เดี๋ยวทำให้”
พูดจบ รพีพงษ์ก็ปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาจากมือ เขาปล่อยออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็เข้มข้นมาก ราวกับเมฆสีขาวบนท้องฟ้าเลย
ทุกคนก็อึ้งไป “นี่มัน เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“ไอ้นทีนท ไหนบอกมาสิ ว่าคุณผู้ชายท่านนี้มีพรสวรรค์ในการกลั่นยาหรือเปล่า” รพีพงษ์ถาม
“เอ….” นทีนทกัดปากแน่น เขารู้ดีว่า วันนี้เจอคนเก่งเข้าให้แล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้จะผ่านไปยากเสียแล้ว
“ไม่บอกใช่ไหม งั้นผมก็จะทำให้คุณยอมแพ้ทั้งกายใจ”
พูดจบ เขาก็มองไปยังด้านล่างเวที แล้วตะโกนว่า “พวกคุณสามคนจะรอช้าทำไม รีบขึ้นมา!”
พอพูดไปดังนั้น ทุกคนก็มองไปยังด้านล่างเวที
ห่างออกไปไม่ไกล มีคนสามคนเดินเข้ามาอย่างกลัวๆ
“อ้าวนี่ไม่ใช่คนเก็บขยะนั่นหรอกหรือ?”
“แล้วก็ลูกเศรษฐีนั่นอีก ที่บอกว่าจะให้เงินเป็นหมื่นนั่นน่ะ!”
“ไอ้คนใส่ชุดสูทผมรู้จัก เป็นผู้จัดการของห้างนี้!”
……
ขณะพูด ทั้งสามคนก็ได้เดินมาถึงบนเวทีแล้ว พวกเขามองไปมา เห็นรพีพงษ์ก็เหมือนเห็นผี สีหน้าเผยความกลัวออกมา
ที่แท้ เมื่อครู่นี้ หลังจากที่รพีพงษ์ออกไปจากอารียา เพื่อรีบตามตัวคนเก็บขยะและลูกเศรษฐี แล้วใช้เข็มทิ่มกระดูกแทงพวกนั้นไป จากนั้นรพีพงษ์ก็ไปหาตัวผู้จัดการของห้าง แล้วใช้วิธีเดียวกันควบคุมตัวมา
“พวกคุณกลับมาได้อย่างไร ผู้จัดการด้วย มาทำไมกัน?”
คนแถวนั้นถาม
“พูดมาเถอะ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ออกมาให้หมด” รพีพงษ์พูดเสียงเย็น
“ผมเล่า ผมเล่าเอง”
ชายขาเป๋ก่อนหน้านี้ชี้ไปยังนทีนทที่นอนอยู่บนพื้น “เอ่อ…..จริงๆ แล้วผมนัดกับเขาไว้ก่อนแล้ว ให้แกล้งทำเป็นขาเป๋ จากนั้นก็มาแกล้งว่าเขารักษาผมหาย พอสำเร็จเขาจะแบ่งเงินให้ผมห้าพันหยวน”
“ผมก็เหมือนกัน ให้ร่วมกันแสดงกับเขา จุดประสงค์ก็เพื่อให้พวกคุณเชื่อว่าเขาเป็นคนของสำนักเทพยาเซียนจริงๆ ไม่โลภในเงินทอง” ลูกเศรษฐีพูดอย่างอ่อนแอ
ส่วนชายสวมชุดสูท ที่เป็นผู้จัดการคนนั้นก็พูดขึ้นว่า “เมื่อไอ้หมอนี่มาหาผม บอกว่าจะขอยืมสถานที่ตั้งเวที แล้วจะให้ผมแสนหยวน ผมก็เลยตอบรับไป”
พอได้ยินทั้งสามคนพูดดังนั้น ทุกคนก็ตอบสนองกลับมาได้
“หน็อยแน่ะ เป็นพวกหลอกลวงจริงๆ !”
“แม่งเอ้ย ยังมาบอกว่ากูมีพรสวรรค์อีก ทำให้กูตื่นเต้นเล่นๆ กูจะฟ้องเอาค่าเสียขวัญ!”
“นั่นสิ เอาเงินคืนพวกเรามาเลย!”
……
ทุกคนเข้าไปล้อมนทีนทไว้
นทีนทก็เหงื่อออกเต็มหน้า แต่ว่า คนพวกนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว จะบุกฝ่าวงล้อมไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ที่ยากจริงๆ ก็คือ รพีพงษ์ไม่ให้เขาทำแบบนั้นได้แน่
พอคิดไป ไม่ถึงวินาที รพีพงษ์ก็ผนึกเน่ยจิ้งในตัวเขาไว้แล้ว
นทีนทลองกวัดแกว่งกำปั้นออกไป แต่ไม่มีพลังอะไรเลย
ทุกคนลุมประทืบไปคนละเท้าสองเท้า นทีนทก็หน้าเขียวกำเดาไหล น่าอนาถจนดูไม่ได้
“ทุกท่าน สำนักเทพยาเซียนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังทิพย์ เรื่องการกลั่นยาจะมาบีบบังคับกันไม่ได้” รพีพงษ์พูดกับทุกคน “ไอ้หมอนี่มาหลอกใช้ความคิดของทุกคน ก็เลยทำออกมาเป็นแบบนี้ วันหลังทุกท่านต้องระวังตัวให้มาก”
“ขอบคุณน้องชายมากที่ช่วยเตือน”
มีลุงคนหนึ่งยกมือคำนับพูดขึ้น
ทันใดนั้น ในฝูงชนก็มีคนพูดขึ้นว่า “เอ่อ ไม่ทราบว่านี่ใช่ประมุกรพีไหม?”
พอพูดออกไปดังนั้น ทุกคนก็มองไปแบบอึ้งๆ แล้วก็มีคนหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดหารูป
“ใช่แล้ว เขาก็คือคุณชายรพีพงษ์ ก่อนหน้านี้ที่เคยช่วยพวกเราในหมู่บ้านไว้ ผมเคยเห็นเขา!”
“ถึงว่าล่ะ คำพูดของล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น”
……
พริบตา ผู้คนก็เข้าไปห้อมล้อมรพีพงษ์ไว้ ในใจของพวกเขา นายน้อยตระกูลลัดดาวัลย์เป็นถึงสุดยอดบุคคลของประเทศจีนเลย
“แม่คะ พ่อดังขนาดนี้เลยหรือคะ” หนูลินถาม
อารียาก็ยิ้มเบาๆ “แน่นอนสิจ๊ะ พ่อของหนูน่ะ เป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลยล่ะจ่ะ”
หนูลินเงยหน้าน้อยๆ ของตนเองขึ้นไปมองพ่อตนเองที่ถูกฝูงชนห้อมล้อมอยู่บนเวที ถึงแม้เธอจะยังเด็ก และไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้สนับสนุนพ่อตนเองขนาดนี้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ พ่อของตนเองนั้น ได้เป็นผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในใจของเธอแล้ว
นทีนทที่อยู่บนเวทีก็เจ็บหนัก เดินอิดโรยออกไปจากที่นี่
“ไป สาวๆ ทั้งสองคน แล้วก็หนูลินผู้น่ารักของเรา พวกเรากลับโรงแรมกันเถอะ”
รพีพงษ์พูดกับทั้งสามคน
อารียาและฝนสุดาก็พยักหน้า แล้วกลับไปโรงแรม
ไม่คิดเลยว่า วันนี้แค่ออกมาเดินเล่นในห้างเฉยๆ จะเจอเรื่องมากมายแบบนี้
รพีพงษ์ก็เบื่อตัวเอง ตนเองไม่ใช่คนชอบหาเรื่อง แต่มักจะเรื่องมาหาตนเองเสียนี่
อยากจะกลับไปป่าหมอกในสำนักเทพยาเซียนเสียจริงๆ ภายใต้การห้อมล้อมของหุบเขาและสายน้ำ จะได้พาแคลร์ไปฝึกวิชาอย่างเงียบๆ
พอกลับมาถึงโรงแรม รพีพงษ์สามคนพ่อแม่ลูกก็เข้าห้องมาเตรียมจะปิดประตู ไม่คิดว่าฝนสุดาจะยืนอยู่ที่หน้าประตู
“ทำไมหรือ ยังมีอะไรหรือเปล่า?” รพีพงษ์ถามอย่างสงสัย
สุดาก็มองห้องชุดสุดหรูห้องนี้
ไม่นานก่อนหน้านี้ ตนเองก็เคยอยู่ในห้องนี้ ใส่ชุดนอนบางๆ อยู่ในห้องกับรพีพงษ์
ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้รพีพงษ์มีสมาธิมาก ข้าวสารก็คงกลายเป็นข้าวสุกไปแล้วล่ะ
แต่ว่าตอนนี้ ห้องนอนห้องเดียวกัน การตกแต่งก็เหมือนกัน แต่ผู้หญิงในห้องได้กลายเป็นอารียาแล้ว
“รพีพงษ์ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณออกมาหน่อยได้ไหม?” สุดาถาม
รพีพงษ์ก็มองเธอ แล้วก็หันไปส่งสายตามองให้กับอารียา
“จะมองฉันทำไม คุณไปเถอะ” อารียาพูดไปโดยไม่คิดอะไร
“วางใจได้ เดี๋ยวผมรีบกลับมา”
พูดจบ รพีพงษ์ก็ตามฝนสุดาออกไป