พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1477 ก้าวเข้าประตู

บทที่ 1477 ก้าวเข้าประตู

พอมายืนตรงสุดทางเดินข้างๆหน้าต่าง ฝนสุดาก็หันหลังไปมองรพีพงษ์

“นี่ พี่สาว มีอะไรก็รีบว่ามาเลย พรุ่งนี้เช้าก็จะไปที่สำนักเทพยาเซียนแล้ว ผมน่ะไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่พวกคุณต้องพักผ่อนมากๆ ไม่งั้นล่ะก็ ทางขึ้นเขามันสูงชัน เดินทางยากกว่าปกติ ถ้าพวกคุณไม่พักผ่อนให้เพียงพอล่ะก็ พอถึงตอนนั้นก็อย่างหวังว่าผมจะแบกคุณแล้วกัน”

รพีพงษ์แกล้งหัวเราะพูด แต่ไม่ได้แกล้งพูดให้ตกใจกลัวอะไร

“ช่างเถอะน่า ฉันคิดว่า ฉันในตอนนี้ยังต้องให้คุณมาแบกอีกหรือไง?” ฝนสุดาพูดเสียงขรึม

รพีพงษ์ก็มองเธอ “ดูความจำผมสิ เกือบลืมไปเลย ตอนนี้คุณเป็นถึงนักฝึกวิชาระดับแดนดั่งเทพแล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จะจัดการกับนทีนทจนหมอบได้อย่างไร”

“ช่างเถอะ จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ได้คุณพาไอ้3คนหน้าไม่อายนั้นเข้ามา ต่อให้ฉันพูดอะไรไป พวกคนดูก็ไม่มีทางเชื่อฉันหรอก”

สุดาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว เข้าไปใกล้รพีพงษ์มากขึ้น

“นี่คุณ คุณจะทำอะไร เข้ามาใกล้ขนาดนี้ ไม่ค่อยเหมาะนะ” รพีพงษ์ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว

“รพีพงษ์ ทำไมคุณทำอะไรต้องเก่งไปหมดเลย ทำไมถึงแก้ปัญหาอะไรก็ง่ายไปเสียหมดเลย? คุณมีพลังมารอะไรกันแน่ ฉันก็เห็นคนเก่งในโลกนี้มามาก แต่แบบคุณ ไม่เคยเห็นเลย” ฝนสุดาพูดเสียงต่ำ

รพีพงษ์ก็ยิ้มเขินๆ จะว่าไปแล้ว ในหมู่ผู้หญิงที่ตนเองรู้จัก ฝนสุดาก็ได้ทำให้เขารู้สึกที่แปลกไปเหมือนกัน

แต่รพีพงษ์รู้ดีว่า ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เชิงชู้สาว แต่เป็นความรู้สึกซาบซึ้งมากกว่า

“ถ้าจะพูดถึงเสน่ห์ จะมีใครมีเสน่ห์มากกว่าคุณสุดาล่ะ มองแค่แวบเดียวก็ทำให้นทีนทใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” นทีนทยิ้มพูด

“ช่างเถอะ ฉันสามารถหลอกล่อผู้ชายทั้งโลกนี้ได้ แต่ยกเว้นคุณ” ฝนสุดาพูดออกมาตามตรง สายตาก็มองชายตรงหน้า

ตั้งแต่ที่เกลียดกันจนรู้จักกัน ฝนสุดาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นอะไรไป ถึงได้ชอบผู้ชายประเทศจีนขึ้นมา

“สุดา ฟังผมนะ” รพีพงษ์พูดกับเธอว่า “ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่พูดแล้วต้องทำตามคำพูด ก่อนหน้านี้ที่แต่งงานกับแคลร์ ผมได้สาบานต่อหน้าทุกคนไว้ว่า ชีวิตนี้จะไม่ผิดต่อเธอ แต่สำหรับคุณ ผมก็ไม่ใช่คนโง่ ผมรู้ว่าคุณคิดอย่างไร สำหรับก่อนหน้านี้ที่คุณดูแลผมเป็นอย่างดี ผมซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้คุณก็คงไม่มีรพีพงษ์ในวันนี้”

ฝนสุดาก็มองรพีพงษ์ “ที่ฉันดูแลคุณ ไม่ใช่เพราะอยากให้คุณมาตอบแทนฉัน แต่ฉันยินยอมทำมันเอง”

“ผมรู้ แต่ก็อภัยให้ผมด้วย ต่อจากนี้ผมจะพาแคลร์ไปฝึกวิชา ผมเชื่อว่ายังมีเวลาอีกมากมายที่รอให้ผมและแคลร์ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่มีประโยคหนึ่ง เมื่อครู่คุณพูดผิดไป”

รพีพงษ์กล่าว

“ฉันพูดผิดงั้นหรือ? คำว่าอะไร? ”

หว่างคิ้วของรพีพงษ์มีความเศร้าเล็กๆ เป็นสีหน้าที่สุดาไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน

“ผมไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง ผมก็ช่วงที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยอมให้คนที่ผมเคารพตายไปต่อหน้าต่อตาหรอก”

รพีพงษ์พูดไป ก็นึกถึงตอนที่ท่านผู้อาวุโสธีรพัฒน์ได้สละชีพอยู่ในทวีปโอชวิน จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืม

“การไปฝึกวิชาในสำนักเทพยาเซียนครั้งนี้ ผมเชื่อว่าจะมีนักฝึกวิชาที่มีพรสวรรค์ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น คุณจะได้เห็นคนที่เก่งเหมือนผม บางทีตอนนั้นคุณอาจจะได้เจอคนที่คุณควรไปรักเขา เหมือนกับที่ผมได้เจอกับแคลร์” รพีพงษ์มองฝนสุดาแล้วพูด

สุดาก็กัดปากมองรพีพงษ์ จากนั้นยิ้มพูดว่า “ดูคุณพูดเข้าสิ พูดอย่างกับฉันจะไม่มีใครเอาเสียอย่างนั้นแน่ะ ฉันไม่สนคุณละ”

พูดไป เธอก็หันหลังจะจากไป แต่ตอนที่เธอหันตัวไปนั้น ก็เห็นว่าด้านหลังยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย

“อ้าวแคลร์?” ฝนสุดาพูดอย่างตกใจ

“อ๋อ คือฉันเพิ่งเข้ามาที่นี่น่ะ ไม่ได้มาขัดจังหวะพวกคุณใช่ไหม หนูลินจะให้รพีพงษ์กลับไปเล่านิทานให้เธอฟังเสียให้ได้เลย ฉันก็เลยเดินออกมาที่นี่” อารียาพูดนิ่งๆ

“ผมบอกแล้วไง หนูลินสนิทกับผมที่สุด งั้นผมจะไปเล่านิทานให้เธอฟังเดี๋ยวนี้เลย”

พูดไป รพีพงษ์ก็เดินยิ้มไปทางอารียา

สองคนเดินคู่กันกลับไปห้องชุดสุดหรูนั้น บนทางเดิน เหลือเพียงแค่ฝนสุดาคนเดียว

“รพีพงษ์ ที่คุณพูดไปเมื่อครู่นี้ ฉันได้ยินหมดแล้วนะ” อารียาพูดเบาๆ

รพีพงษ์ก็อมยิ้ม เพราะว่ามือของเขาได้ถูกอารียาจับไว้จนแน่นแล้ว

เช้าวันต่อมา ทั้งสี่คนก็เดินทางไปยังสำนักเทพยาเซียน

ทางขึ้นเขายากลำบาก แต่คนที่รู้สึกเหนื่อยที่สุดก็คืออารียา

“ดูไม่ออกเลยนะ หนูลิน หนูเก่งจริงๆ เลยนะ” ฝนสุดาพูดกับหนูลินอย่างสนุก

คิดไม่ถึงว่า ยัยหนูนี่อายุเพียงเท่านี้ แต่ร่างกายแข็งแรงกว่าผู้ใหญ่ปกติเสียอีก

รพีพงษ์ก็คิดในใจ หนูลินมีพรสวรรค์มากกว่าตนเอง ดูเหมือนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับพลังจิตวิญญาณเทพในตัวเธอ

เพียงแต่ ตอนนี้หนูลินยังเด็กอยู่ ต่อให้บอกเธอไป เธอก็ไม่เข้าใจหรอกว่าพลังจิตวิญญาณเทพคืออะไร

“ให้หนูลินโตอีกสัก10ปี อายุประมาณ15ปี ค่อยพาเธอมาฝึกวิชาด้วยกัน”

รพีพงษ์คิดในใจ พอถึงตอนนั้น มีคนเก่งระดับโลกอย่างตนเองถ่ายทอดวิชาให้ ด้วยพรสวรรค์อันแข็งแกร่งในตัวตนเอง พลังวิชาของหนูลินจะต้องแข็งแกร่งอย่างรวดเร็วแน่นอน!

“แคลร์ เดี๋ยวผมแบกคุณเอง” รพีพงษ์พูดกับอารียา

เดิมทีแคลร์อยากจะทนหน่อย แต่ร่างกายไม่ไหวจริงๆ

“พวกคุณไม่เหนื่อยกันหรือ?” อารียามองรพีพงษ์และคนอื่น

“พอไหวอยู่” ฝนสุดายิ้มพูด “แคลร์ ถ้าเธอได้ฝึกวิชากับรพีพงษ์ล่ะก็ ทางขึ้นเขาแค่นี้ทำอะไรคุณไม่ได้หรอก”

อารียาก็พยักหน้าเบาๆ ดูเหมือนว่ามีพลังวิชาในตัว จะมีข้อดีหลายอย่างเหมือนกัน

รพีพงษ์ย่อตัวลง แล้วแบกอารียาขึ้นขี่หลัง

ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของร่างกายรพีพงษ์ อารียาก็แนบอยู่ที่แผ่นหลังของเขา

“พักกันหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวคุณตื่นมา พวกเราก็ถึงแล้วล่ะ” รพีพงษ์พูดเบาๆ

“หนูลิน แข่งกับพี่ไหม ดูสิว่าใครจะถึงก่อนกัน ที่นี่มีคนแอบพลอดรักกัน พี่ทนดูไม่ได้น่ะ”

ฝนสุดายิ้มพูด แล้วพาหนูลินเดินนำไป

“พวกเธอช้าๆ กันหน่อย!” อารียาพูดอย่างเป็นกังวล

“วางใจเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก”

รพีพงษ์ก็ยิ้มพูด ที่นี่คือสำนักเทพยาเซียน จะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นสถานที่ของตนเอง และตอนนี้ฝนสุดาก็มีพลังระดับแดนดั่งเทพ คนธรรมดาหรือเรื่องธรรมดาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก!

ขณะที่ค่อยๆ เดินไปยังสำนักเทพยาเซียนนั้น ระหว่างทาง ก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ดอกไม้หอมกรุ่นตลอดทาง

เพิ่งเข้ามาด้านใน อารียาก็ถูกทิวทัศน์ด้านหน้าสะกดไว้

“ที่นี่สวยจริงๆ เลย ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งเลย” อารียาชื่นชม

“เป็นไง สามีของคุณเลือกสถานที่ฝึกวิชาให้ ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ” รพีพงษ์พูดอย่างภูมิใจ

อารียาพยักหน้าเบาๆ คุ้นเคยกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่เสียนาน พอมาถึงที่นี่ อารียาก็เหมือนกับเจอที่ที่ตนเองตามหามานาน จิตใจก็เหมือนได้ชำระให้สะอาดขึ้น

หลังจากนั้นสองชั่วโมง รพีพงษ์ก็มาถึงยังหน้าประตูของสำนักเทพยาเซียน

ถึงแม้จะแบกแคลร์อยู่ แต่รพีพงษ์ก็ไม่ได้มีความเหนื่อยอะไรเลย

อีกอย่าง ครึ่งทางมานี้ รพีพงษ์ตั้งใจเร่งฝีเท้า เพื่อที่จะได้ตามฝนสุดาและหนูลินมาถึงสำนักเทพยาเซียนพร้อมกัน

ด้านนอกห้องโถง พอจิรภัทรรู้ข่าว ก็พาคนของสำนักเทพยาเซียนออกมาต้อนรับ

ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีคนที่คุ้นเคยอีกมากมาย

“หงส์ คุณก็มาหรือ” รพีพงษ์ยิ้มทักทาย

หนูลินก็ไปยืนข้างหงส์อย่างดีใจ “พี่คะ ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่ที่นี่ด้วย พาหนูไปเล่นหน่อย ได้ไหมคะ?”

“หนูลิน หิวแย่แล้วใช่ไหมล่ะ อยากกินขนมที่พี่ทำใช่ไหมล่ะ” หงส์ยิ้มพูดกับหนูลิน

พอถูกเดาใจออก หนูลินก็แลบลิ้นออกมาเล่น แล้วแกล้งทำหน้าผี แกล้งให้ทุกหัวเราะออกมา

“ธมกร คุณก็มากับเขาด้วยหรือเนี่ย ตอนนั้นผมจำได้ว่า คุณบอกว่าจะอยู่ที่กลุ่มสิงโตไม่ใช่หรือ” รพีพงษ์พูดกับธมกร

หนูตะกายฟ้าก็เขินจนยิ้มๆ “เดิมทีผมก็อยากอยู่ที่กลุ่มสิงโตแหละ แต่ว่า………”

“แต่อะไร?”

รพีพงษ์ถาม แต่ก็เห็นว่าสายตาของธมกรเหลือบมองไปทางหงส์ตลอดเวลา

รพีพงษ์ก็เข้าใจขึ้นมาทันที ไอ้หมอนี่ ดอกรักผลิบานเสียแล้ว รักหงส์เข้าเสียแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่จะมีวาสนานั้นไหมนะ หงส์เป็นผู้หญิงเย็นชาเสียด้วยสิ คิดอยากจะคว้าหัวใจเธอ มักยาก!

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท