จริงๆ แล้วเธอวางแผนไว้แล้ว โตขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยรักใคร ในเมื่อตอนนี้ชอบรพีพงษ์ ไม่ว่าในใจของรพีพงษ์จะมีตนเองหรือไม่ ขอเพียงได้อยู่ข้างกายรพีพงษ์ ก็ถือว่ามากพอแล้ว
แม่ของผลินได้ยินดังนั้น ในใจก็ไม่พอใจ
“ความคิดแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานกับรพีพงษ์ได้ งั้นก็ต้องไปหาผู้ชายสักคนแล้วแต่งงานเสีย แม่ไม่ยอมตายโดยไม่ได้เห็นหลานหรอกนะ ลูกจะมัวไปคิดแต่จะอยู่ข้างๆ รพีพงษ์ไม่ได้ รู้ไหม”
คนที่มีอายุมาก ก็มักจะคิดแบบนี้ จะรู้จักพลังรักอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน ไปอยู่กับคนที่ตนเองไม่รักนี่สิ ถึงเป็นความทรมาน
ถ้าไม่ชอบแม่แต่ใบหน้าของฝั่งตรงข้าม แล้วจะให้มีลูกกันได้อย่างไร ผลินยังไม่ได้พูดออกมา
ชื่อเสียงของนรเทพนั้น ในเทวโลกไม่มีใครไม่รู้ ครั้งนี้พวกของรพีพงษ์มาต่อกรกับนรเทพ คงจะมีจุดจบที่ไม่ดีแน่
ในใจของผลินรู้ดีว่าพวกของรพีพงษ์ต้องมีเรื่องร้ายมากกว่าดีแน่ๆ ถ้ามีสักวัน ชีวิตของตนเองสามารถแลกกลับชีวิตของรพีพงษ์ได้ล่ะก็ ตนเองก็จะไม่ลังเลเลย
ในใจคิดไปแบบนั้น พลังสายหนึ่งก็มาผลักตัวเธอกับแม่ออกมา พริบตา พวกเธอก็มาถึงยังตำหนักของภูเขาสองกระบี่
นราธิปมองผลินและแม่ของผลิน แล้วก็มองรพีพงษ์อย่างสงสัย หรือว่าไอ้หมอนี่คิดจะเอาสองแม่ลูกคู่นี้ไว้ที่นี่?
“ไอ้หนู นี่มันอะไรกัน?”
“ไม่มีปกป้องพวกเธอได้ ผมคิดดูแล้ว มีเพียงสถานที่ของอาจารย์ธิปเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด ต่อให้นรเทพมา ก็คงไม่ลงไม้ลงมืออะไร” รพีพงษ์พูดเสียงขรึม
นราธิปก็มองรพีพงษ์ “คุณก็คิดได้นะ สิ่งที่นรเทพต้องการ ไม่เคยหลุดมือเลยสักครั้ง นี่คุณกำลังจะผลักผมลงหลุมไฟอยู่หรือเปล่า?”
“อาจารย์ธิป ตอนที่คุณช่วยพวกเรานั้น พวกเราทุกคนก็เหมือนกับฝูงมดเดินบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว คุณมีจิตใจดีดั่งพระโพธิสัตว์ คงจะช่วยเหลือแน่นอน”
ในเมื่อพาคนมาแล้ว งั้นก็แสดงว่าเขามีความมั่นใจเพียงพอ เทวเทพก็ดูอยู่ข้างๆ รพีพงษ์เดินเข้าไปใกล้เทวเทพ แล้วยิ้มเบาๆ
เทวเทพเห็นว่าเขายิ้มแปลกๆ ก็ขมวดคิ้ว
“ไอ้หมอนี่ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
“เปล่า แต่อาจจะหาเรื่องคุณเสียหน่อย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ผมคงจะสนใจอะไรมากไม่ได้”
พอได้ยินดังนั้น เทวเทพก็งง นราธิปก็กลับยิ้มๆ ออกมา แล้วก็ไม่ได้พูดเรื่องอื่น
บอกให้บวรวิทย์และพวกของรพีพงษ์รีบไปยังเมืองแฟรี่ ไม่ถึงอาทิตย์ตกวันพรุ่งนี้ ห้ามกลับมา
บวรวิทย์และรพีพงษ์จะต้องไป นราธิปเอาปริตรไว้ที่นี่ ปริตรรู้ดีว่าบนตัวของตนเองไม่มีอะไรที่สู้ได้ อาวุธจริงๆอยู่ตรงหน้า ตนเองไปก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ สรุปแล้วก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับแผนการนี้
รพีพงษ์และบวรวิทย์รีบไปยังเมืองแฟรี่ ระหว่างทาง รพีพงษ์สัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย คือนรเทพ นรเทพกำลังมาทางนี้
“งั้นพวกเราไปใช้ทางเล็กเถอะ รับซ่อนพลังเทพในตัวเสีย ไม่ให้คนอื่นพบเห็นได้”
บวรวิทย์ก็มองรพีพงษ์ “เกิดอะไรขึ้น ทางหลักเดินทางเร็วกว่าไม่ใช่หรือไง?”
“คนของนรเทพกำลังเข้ามา ถ้าไม่อยากตายเร็ว ก็ฟังผม”
พอได้ยินดังนั้น บวรวิทย์ก็หุบปากทันที เขาถามว่า “ทำไมคุณถึงคุ้นเคยกับนรเทพดีขนาดนี้ คุณไม่ใช่คนของเทวโลกเสียหน่อย ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนรเทพดีเท่าคุณเลย”
“ถ้าผมบอกคุณ ว่าผมเคยตายในเงื้อมมือของนรเทพมาก่อน คุณจะเชื่อไหม?”
บวรวิทย์ก็มองรพีพงษ์อย่างไม่เชื่อ ในใจก็สับสน ระหว่างนรเทพและรพีพงษ์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่รู้จักกันมานาน ถึงว่ารพีพงษ์ถึงได้ตอบสนองดีแบบนี้
ในคำพูดของรพีพงษ์นั้น เขาฟังออกในอีกแบบหนึ่ง แล้วก็พูดว่า “คุณหมายความว่า ต่อให้ไม่เกิดเรื่องมังกรดำ คุณและนรเทพก็อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้งั้นหรือ?”
รพีพงษ์ก็มองบวรวิทย์ แล้วก็ยิ้มเบาๆ “ผมไม่เคยเห็นมาก่อนว่าคุณจะมีเวลาที่คิดละเอียดแบบนี้ด้วย”
เขาก็เลยเล่าเรื่องของหนูลินให้บวรวิทย์ฟัง บวรวิทย์นอกจากจะมีสีหน้าตกใจแล้ว เขาก็ยิ่งคิดไม่ถึงว่า รพีพงษ์จะเป็นคนที่มีถรรยาและลูกแล้ว
เรื่องของรพีพงษ์นั้น เขาไม่ค่อยสนใจมากนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่ยอมร่วมมือกับรพีพงไยดี แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะต้องร่วมมือกันทั้งสองคนถึงจะมีโอกาสรอด
บวรวิทย์เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี จะให้เป็นยอมสิโรราบต่อนรเทพเหมือนกับตระกูลพิมพ์สารล่ะก็ เขาทำมันไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งสองคนเดินทางในเส้นทางเล็ก ไม่ไกลนั้น เห็นเงาของนรเทพ นรเทพไม่ได้สนใจรอบๆ จุดประสงค์ของเขาคือ ภูเขาสองกระบี่
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พลังของทั้งสองคน ต่อให้ปิดกั้นพลังเทพไปแล้ว เขาก็คงจะรับรู้ได้
นรเทพพาลูกน้องมาหลายคน หนึ่งในนั้นมีชเนศ การตายของพ่อบ้านเตชิตและปริตรตัวปลอมที่อยู่ในคุก ทำให้เขาจำเป็นต้องไปยังภูเขาสองกระบี่
สถานที่แบบนี้ นราธิปสามารถอยู่ได้ สำหรับนรเทพแล้วมันอัศจรรย์มาก
พอถึงภูเขาสองกระบี่ นราธิปก็รอพวกเขาอยู่นานแล้ว นรเทพยิ้มเย็น “ข้อตกลงระหว่างผมกับคุณเมื่อหลายปีก่อน ว่าเราจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ทำไมวันนี้ถึงได้มาขัดขวางผม?”
ระหว่างพูด สายตาก็เผยรังสีการฆ่าออกมา ไม่ถึงที่สุดเขาก็ไม่อยากหาเรื่องอะไรกับนราธิปเหมือนกัน
เพราะถึงอย่างถ้านราธิปร่วมมือกับเขา ทั้งเทวโลกก็เหมือนอยู่ในกำมือแล้ว
“ไม่ใช่เพราะผมจะขัดขวางคุณ คุณเข้ามาที่นี่ได้ ก็คงจะได้ยินข่าวลือต่างๆ นานาด้านนอกแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ได้ยินมันไม่เหมือนกับสิ่งที่ตนเองเห็นหรอก จะมาหาเรื่องเพื่อนเก่าถึงที่นี่ มันไม่เหมาะนะ”
เทวเทพและผลินกับแม่ ได้ถูกนราธิปจัดการให้ไปซ่อนตัวที่มิดชิดแล้ว ต่อให้นรเทพพลิกภูเขาสองกระบี่ค้นหา ก็หาพวกเขาไม่พบ
ข่ายอาคมที่เขาสร้างขึ้นมา มีเพียงเขาคนเดียวที่เปิดได้ คนอื่นถ้าคิดอยากจะเปิด ต้องรอให้เขาตายเท่านั้น
“ไม่มีมูลหมามันไม่ขี้หรอก คุณพูดถูก ตอนที่ผมมาที่นี่ ก็พอได้ยินอะไรมาบ้าง แต่ว่าก็ไม่เห็นว่าจะเป็นข่าวลือเสียทั้งหมด ผมมีความคิดหนึ่ง ขอเพียงคุณมาร่วมมือกับผม เรามาควบคุมเทวโลกนี้กัน เรื่องเด็กพวกนั้นก็ไม่สำคัญแล้ว ทุกอย่างจบกันไป ดีไหม?”
“หลายปีก่อนคุณได้พูดไว้แล้ว ในเมื่อตอนนั้นผมไม่ได้รับปากคุณ ตอนนี้ก็คงไม่ยอมรับเหมือนเดิม ถ้าคุณยังเห็นผมเป็นเพื่อน ก็อย่ามารบกวนความสงบของผมเลย หลายปีมานี้เราต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจโลกภายนอก ตอนนี้คุณมาที่นี่กระทันหัน ผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน”
นราธิปพูดเสียงเย็น
ทั้งสองล้วนเป็นคนฉลาด รู้ว่าฝั่งตรงข้ามกำลังพูดอ้อมค้อมอยู่ นรเทพมาที่นี่แต่ไม่เห็นคนที่อยากเจอ ในใจก็ไม่ยอม
หลายปีมานี้ เขาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ห้าหมื่นปีก่อน สู้เสมอกันกับนราธิป แต่ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาดูดกินพลังทิพย์มาไม่น้อย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองแน่
เขามองไปรอบๆ แล้วก็ยิ้มๆ “คนที่ผมตามหาไม่อยู่ที่นี่ ถ้าผมอยากจะหาให้เจอ คุณจะทำอะไรได้?”
“ที่ผมพูดไป ไม่โกหกแน่ แต่ถ้าคุณอยากจะหาให้ละเอียด ด้วยที่เราเป็นเพื่อนกันหลายปี ผมก็ยอมทำใจคุณหวังก็แล้วกัน”
นรเทพก็รีบส่งสายตาให้กับชเนศ ชเนศก็พาคนไปยังระหว่างหุบเขา……..