พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1572 ศักดิ์ศรีของนรเทพ

บทที่ 1572 ศักดิ์ศรีของนรเทพ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขารู้สึกว่าชีวิตกำลังจะพังทลาย ไม่คาดคิดว่ามาที่นี่คราวนี้จะตกไปอยู่ในมือของนราธิป

ในสายตาของเขารอยยิ้มของนราธิปดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ย เขากล่าวว่า “คุณคิดว่าคุณสามารถกักขังผมได้หรือ? ผมจะออกไปจากที่นี่ในไม่ช้า และเมื่อถึงเวลานั้นผมฆ่าคุณแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นราธิปก็ถอนหายใจ และบอกว่านรเทพมองข้ามความหวังดีของคนอื่น ถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันอีกหรือ?

ทั้งรพีพงษ์และบวรวิทย์ก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่มีพรสวรรค์อยู่อีกหนึ่งคน เขาคิดว่าตนเองมีความสามารถมากนักหรือ?

นราธิปไม่แยแส แล้วกล่าวว่า “ผมมาที่นี่เพื่อบอกคุณว่า ถ้าตอนนี้คุณสามารถกลับตัว ผมก็จะปล่อยคุณไป คุณได้ทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมาย และตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่คุณต้องรับผลกรรมแล้ว”

“ผมเป็นผู้ประเสริฐสุดเพียงคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะคนถ่อยอย่างพวกคุณใช้กลอุบายไร้ยางอายเช่นนี้ ผมจะถูกกักขังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“ขอแค่สามารถเอาชนะคุณได้ ขอแค่ผมสามารถหัวเราะไปจนถึงสุดท้าย ผมก็เป็นผู้ชนะ การทหารไม่เบื่อหน่ายกลอุบายไม่ใช่หรือ?”

ขณะที่นราธิปกำลังพูด เขาก็มองเข้าไปในถ้ำ ตอนนี้นรเทพไม่กล้าที่จะเดินแม้แต่ก้าวเดียว เขากลัวว่าถ้าตนเองเดินแค่ก้าวเดียว และตนเองไม่รู้ว่าจะเหยียบถูกค่ายกลอะไร?

สถานที่เช่นนี้สามารถทำให้คนหวาดกลัว นรเทพยังคงมองนราธิปด้วยความสงสัย “ผมรู้จักคุณ คุณไม่ใช่คนที่มีความสามารถขนาดนั้น ต้องมีคนคอยช่วยเหลือคุณอยู่ข้างหลังใช่ไหม?”

“คุณยังถือว่าฉลาด คุณคิดไม่ถึงหรอกว่า ตอนนี้คนที่สามารถกักขังคุณด้วยค่ายกลคือคุณชายปริตรคนที่คุณอยากได้คัมภีร์ลับของเขา”

นราธิปตั้งใจมาที่นี่ เพื่อให้เขารู้ว่า เขาที่มักจะหยิ่งจองหอง แต่ตอนนี้เขาถูกทำลายด้วยมือของเด็กคนหนึ่ง

สำหรับนรเทพแล้วนี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่มากกว่าการฆ่าเขา นรเทพมองไปที่นราธิปด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ และกล่าวว่านราธิปจงใจปกปิดคนที่มียอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังคนนั้น

เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคุณชายปริตร เพราะคนของเขาจับคุณชายปริตรไว้แล้ว คนที่สามารถจับได้ง่าย ๆ จะเก่งเช่นนี้ได้อย่างไร?

ขณะที่พูด นราธิปก็หัวเราะเยาะว่าเขาไร้เดียงสาเกินไป ปริตรจะถูกจับง่ายได้อย่างไร แต่ถ้าปริตรเต็มใจที่จะถูกจับ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นรเทพรู้ว่าปริตรและรพีพงษ์หนีไปต่อหน้าต่อตาเขา เขาก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และตอนนี้เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเขาก็ร้อนรุ่มด้วยความโกรธและดวงตาก็กลายเป็นสีแดงก่ำ

นราธิปยิ้มจาง ๆ และกล่าวว่า “ที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ เรื่องที่ทำให้คุณประหลาดใจยังอยู่ข้างหลัง ถ้าคุณรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือคนที่คุณไปทำร้ายเขาที่บนโลก คุณจะไม่รู้สึกประหลาดใจ เขามาที่นี่ก็เพื่อล้างแค้นคุณ วันนี้คุณอยู่ในมือของพวกเรา ถึงแม้ว่าผมจะปล่อยคุณไป แต่รพีพงษ์จะไม่ปล่อยคุณไปแน่นอน ฆ่าคุณเท่านั้นถึงจะทำให้ลูกสาวของรพีพงษ์หายเป็นปกติได้”

จะฆ่านรเทพมันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นราธิปกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อต้องการทำให้นรเทพโกรธ

ขอแค่นรเทพโกรธ จะทำให้เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องต่าง ๆ มากนัก

“ผมเดาว่าเป็นไอ้เด็กคนนั้น แต่ไม่คิดว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้ มันไม่เห็นมีอะไรน่าพูดเลย เพราะยังไงเขาก็เคยพ่ายแพ้ให้ผมมาก่อน”

“คำพูดนี้ไม่ควรพูดเร็วเกินไป ตอนที่คุณอายุเท่าเขา คุณอาจจะเก่งไม่เท่าเขา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณถูกคุมขังแล้ว คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจนรเทพมากที่สุด นรเทพพุ่งไปที่นราธิปด้วยความโกรธ และนราธิปรีบหลบทันที

นราธิปหัวเราะเยาะความสามารถของนรเทพ นราธิปไม่เคยคิดที่จะฆ่านรเทพ เพราะเขารู้ว่าไม่สามารถฆ่านรเทพได้

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ตนเองมีผู้ช่วยมากมายอยู่รอบตัว ดูเหมือนการฆ่าเขานั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หลังจากที่นราธิปจากไป เขาก็ตรงไปยังสถานที่ที่ปริตรอยู่ เมื่อปริตรเห็นนราธิป ก็ยิ้มอย่างสุภาพ

“ตอนนี้สติของนรเทพไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ถึงข้างนอกจะมีคนของเขา แต่เข้ามาไม่ได้มันก็ไร้ประโยชน์”

“ค่ายกลของคุณสามารถต้านได้นานเท่าไร?”

“อีกหนึ่งชั่วโมง ค่ายกลทั้งหมดจะไม่มีผล ในช่วงเวลานี้ พวกคุณต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

ขณะที่ปริตรกำลังพูด เขามองนรเทพที่อยู่ในค่ายกล และรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตนเองแค่พยายามอีกนิด ก็จะสามารถก้าวขึ้นไปอีกระดับได้

“เจ้าหนู อนาคตของคุณนั้นต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน และหากถึงตอนที่คุณเกือบจะต้านไม่ไหวแล้วก็รีบบอก รพีพงษ์และคนอื่น ๆ กำลังรอจะเข้ามา”

“อาจารย์ธิป ที่ผมบอกว่าหนึ่งชั่วโมงพอดีไม่มากไม่น้อย ในเวลานั้นเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดที่พวกคุณจะเข้ามา ห้ามปล่อยให้คนของนรเทพตามเข้ามาได้ เพราะตอนที่เขามานั้นได้พาลูกน้องมาไม่น้อย”

เขากล่าวกับนราธิปว่า ไม่เพียงแต่ไม่สามารถปล่อยให้คนของนรเทพเข้ามาได้เท่านั้น และถ้าอยู่ต่อหน้านรเทพก็ต้องบอกเขาว่าตอนนี้คนของเขาตายเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงตัวเขาเองที่จะต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว

เมื่อรู้ความหมายของประโยคนี้ นราธิปยิ้มจางๆ และเดินออกไปจากที่นี่

เมื่อรู้ว่านรเทพถูกขังอยู่ในค่ายกลแล้ว เทวเทพคิดว่าไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอีก เขาก็ออกมาทันที ขณะที่กำลังมองค่ายกลในกระจก เขาก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าใคร

ไม่คิดว่าคุณชายปริตรจะใช้ค่ายกลเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนบวรวิทย์ที่มีความสามารถอะไร คนอื่นก็รู้หมด

นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือที่หลบซ่อนอย่างแท้จริง ส่วนรพีพงษ์นั้นไม่เคยละสายตาจากค่ายกล เขากำลังคิดว่าถ้าสามารถนำค่ายกลกับมนตร์สะกดรวมกันได้ ก็จะไร้คู่ต่อกรแน่นอน

ค่ายกลนี้ทำให้นรเทพแยกทิศทางไม่ออก หากมีมนต์สะกด คราวนี้นรเทพคงตายแน่นอน

แต่น่าเสียดายที่คุณชายปริตร ผู้รู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ปัณฑาที่นั่งอยู่บนไหล่ของรพีพงษ์ กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าไม่ช้าเป้าหมายของพวกเราก็จะสำเร็จ แต่ฉันไม่คิดว่าคุณชายที่ธรรมดาจะเก่งเช่นนี้ ทำให้รู้ว่ามองคนนั้นไม่สามารถมองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกได้”

ปัณฑามองเข้าไปข้างใน และบอกว่าตนเองรู้จักค่ายกลนี้ เธอบอกว่าค่ายกลนี้มาจากโลก ที่เทวโลกไม่มีค่ายกลนี้

รพีพงษ์เคยได้ยินแต่ผู้คนกล่าวเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นมันกับตา หลังจากได้ยินคำพูดของปัณฑา เขาก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

“คุณหมายความว่าคุณชายปริตรมีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์หรือ?”

“ฉันไม่ได้พูดเช่นนั้น บางทีค่ายกลนี้อาจจะแพร่มาสู่เทวโลก ว่ากันว่าหลู่ปานจะคัดเลือกลูกศิษย์ด้วยตนเอง ไม่แน่บางทีคุณชายปริตรอาจเป็นลูกศิษย์ของหลู่ปานก็ได้”

รพีพงษ์มองไปที่เทวเทพ และเทวเทพก็กล่าวว่า “ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลเยอซอจะใช้ค่ายกลเป็น ไม่รู้ว่าความสามารถในการซ่อนดี หรือมีเหตุผลอื่น”

ไม่น่าแปลกใจถ้าพวกเขาจะสามารถซ่อนได้ดี ถ้าพวกเขาซ่อนโดยไม่มีอะไรมันก็ดี แต่ถ้าไม่ใช่แล้วค่ายกลนั้นมาจากไหน

สายตาของรพีพงษ์ยังคงจ้องมองไปในถ้ำและไม่เคยมองไปทางอื่น เขาเห็นว่านรเทพนั้นวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่บนโลก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท