พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1579 ยืมกระบี่สยบเซียน

บทที่ 1579 ยืมกระบี่สยบเซียน

ขณะที่เธอพูดประโยคนี้ ผลินยังคงมีอารมณ์โกรธอยู่ และแม่ก็ขอให้เธอไปเก็บผักกาดขาวจากสวนด้านข้าง

หลังจากที่ผลินเดินไปแล้ว เธอเดินไปที่ป้ายวิญญาณของพ่อของผลิน จากนั้นก็จุดธูปแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ลูกสาวโตแล้ว และเวลาก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว และฉันก็แก่ชราแล้ว ตาแก่ ไม่ว่าคุณอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

แล้วเธอก็บอกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเหงาและโดดเดี่ยวเดียวดาย ถ้าไม่ใช่เพราะผลิน ชีวิตของเธอคงเหมือนตายทั้งเป็น

ตอนนี้ผลินได้พบกับคนที่เธอรักแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ดี ไม่ว่าอะไรเธอก็จะทำให้ผลินสมปรารถนา

ตอนนี้เรื่องราวพัฒนาไปในทิศทางที่เธอไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถให้ผลินอยู่เคียงข้างรพีพงษ์ได้

ถ้าหากรพีพงษ์ไปแล้ว ผลินอยู่บ้านก็ต้องคิดถึงด้วยความทุกข์ทรมาน

รพีพงษ์และปัณฑาอยู่ในห้อง ปัณฑามองรพีพงษ์ที่ขมวดคิ้ว และถามด้วยความระมัดระวัง “ฉันทำให้คุณลำบากใจหรือเปล่า? ”

“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าจะไม่ยอมให้ผลินสองแม่ลูกกลับมาที่เมืองแฟรี่กับพวกเรา แต่ด้วยนิสัยของผลินก็อยู่ที่นั่นไม่ได้หรอก”

ปัณฑาถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลัวว่ารพีพงษ์จะตำหนิตนเอง เพราะรพีพงษ์ก็มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ

ผลินเรียกพวกเขามากินข้าว ขณะที่ทานอาหารค่ำ แม่ของผลินขอให้รพีพงษ์พักที่บ้านหนึ่งคืน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ความรู้สึกของผลินที่มีต่อรพีพงษ์ควรจะมีข้อสรุป นี่คือสิ่งที่แม่ของผลินกล่าว

รพีพงษ์นั้นก็ไม่ควรใจร้ายเกินไป เขาแค่รู้สึกว่าสถานะของตนเองไม่เหมาะสม แต่คำพูดของแม่ผลินก็มีเหตุผลเช่นกัน อย่างที่พวกเธอพูด ถ้าตนเองไปจากที่นี่แล้ว ถ้าไม่มีความตั้งใจ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก

ไม่สามารถเป็นคู่สามีภรรยากับผลินได้ แต่เป็นพี่น้องคงจะได้

ปัณฑาบ่นพึมพำ ไม่รู้ว่าแม่ของผลินกำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดนี้มีความหมายราวกับว่าเธอกำหนดว่ารพีพงษ์ต้องเป็นลูกเขยของตนเอง

ปัณฑาไม่ต้องการให้รพีพงษ์อยู่กับผลินจริง ๆ เพราะมันจะเป็นการผิดต่ออารียา

แต่เธอไม่ได้พูด และรพีพงษ์นั้นก็เป็นคนฉลาด บางอย่างนั้นตนเองไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

วันรุ่งขึ้น เมื่อรพีพงษ์ตื่น ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว เขาได้ยินเสียงร้องไห้ก้องอยู่ในหู

เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของผลิน เกิดอะไรกับผลิน เมื่อคืนนี้ก็ยังดีอยู่

สีหน้าของปัณฑาไม่สู้ดีนัก รพีพงษ์ตรงไปหาผลินทันที แล้วเห็นแม่ของผลินหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมแขนของผลิน

“คุณป้า เป็นอะไรไป?”

แม่ของผลินยื่นมือออกมา แล้วรพีพงษ์ก็ยื่นมือไปจับชีพจรให้เธอ

เธอดื่มยาพิษเข้าไป เขาไม่เข้าใจ จึงถามว่า “คุณป้า ทำอะไร?”

รพีพงษ์ไม่สามารถช่วยได้แล้ว ถ้าเป็นหนึ่งชั่วโมงก่อนยังสามารถช่วยได้ แต่ตอนนี้หมดทางเยียวยาแล้ว เธออดทนเหมือนกับว่ากำลังรอตนเองอยู่

แม่ของผลินมองไปที่รพีพงษ์ น้ำตาไหลนองหน้า และกล่าวว่า “รพีพงษ์ ฉันมีแค่ลูกสาวคนนี้คนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอฉันคงไม่สามารถยืนหยัดจนถึงทุกวันนี้ได้ ฉันคงตายตามพ่อของเธอไปนานแล้ว ตอนนี้เธอได้พบคุณ ถึงฉันจะตายก็หมดห่วง ฉันขอฝากเธอไว้กับคุณ ฉันหวังต่อไปว่าคุณจะดูแลเธอแทนฉัน ฉันคิดถึงพ่อของเธอตลอดเวลา และในที่สุดฉันก็สามารถไปพบกันเขาที่ยมโลกได้แล้ว”

รพีพงษ์ไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี

เขากัดริมฝีปากเพื่อต้องการพูดอะไรบางอย่าง แม่ของผลินกล่าวว่า “ฉันรู้ว่า คุณมีภรรยาแล้ว คุณแต่งงานกับลูกสาวของฉันไม่ได้ คุณก็คิดเสียว่าเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ฉันอายุเยอะแล้วคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก ไม่ช้าก็เร็วฉันก็ต้องตายจากเธอไป คุณช่วยหาผู้ชายที่ดีให้เธอแต่งงานแทนฉันด้วย แล้วฉันอยู่ยมโลกก็จะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก”

รพีพงษ์ลังเล แม่ของผลินไอหลายครั้ง ปัณฑาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงกล่าวว่า “รพีพงษ์ คุณรับปากเถอะ”

ผลินมองไปที่รพีพงษ์ ร้องไห้และกล่าวว่า “รพีพงษ์ ตอนนี้ฉันมีแค่คุณเท่านั้น ถ้าแม่ตายจากไปแล้ว ฉันก็ไม่มีญาติเหลืออีกแล้ว”

รพีพงษ์พยักหน้า แสดงว่าตกลง แม่ของผลินยิ้มและจากไปอย่างสงบ การตัดสินใจของเธอถูกต้อง ดีกว่าต้องมองลูกสาวของเธอทุกข์ทรมานจากความรัก

หลังจากฝังศพแม่ของผลินเรียบร้อยแล้ว รพีพงษ์พาผลินและปัณฑาไปที่บ้านของเทวเทพ เพราะเขาต้องการแผนที่บ้านตระกูลพิมพ์สาร และต้องรู้ทุกอย่างชัดเจนถึงจะสามารถค้นหาว่านรเทพพักอาศัยอยู่บริเวณไหน

ตอนนี้นรเทพไม่สามารถกลับไปที่พักอาศัยเดิมได้ นอกจากบ้านของตระกูลพิมพ์สารแล้ว เขาไม่มีที่อื่นที่สามารถไปได้

เทวเทพรู้สึกประหลาดใจที่เห็นรพีพงษ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้างกายของรพีพงษ์มีผลินอยู่ด้วย

เขาเยาะเย้ยรพีพงษ์ว่า “ผู้หญิงคนนี้ติดตามคุณมาตลอด ไอ้หนูคุณจะไม่ให้สถานะเธอเลยหรือ?”

“ผมแค่คิดกับเธอเหมือนน้องสาว ไม่มีความคิดอื่นใด พวกคุณทุกคนเข้าใจผิดแล้ว”

เทวเทพก็มีประสบการณ์เช่นนี้อยู่บ้าง รพีพงษ์พูดถูก แต่ผู้หญิงคนนี้ทุ่มเทให้กับเขามากจริง ๆ

“ครับ ครับ ผมจะวาดแผนที่บ้านของตระกูลพิมพ์สารให้คุณ สำหรับปัณฑาที่อยู่ข้างกายคุณนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าคุณผลินตามไปด้วย เกรงว่ามันจะสร้างความยุ่งยากให้กับคุณ”

แต่ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้

“ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร ผมจะรอบคอบไม่บุ่มบ่าม”

รพีพงษ์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นึกถึงเรื่องกระบี่ของตนเอง และอยากจะถามเขา แต่ไม่สามารถพูดออกมาจากปากได้

กระบี่สยบเซียนเล่มนั้นไม่มีใครสามารถใช้มันได้ เพราะเจ้านายของมันคือตนเอง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “ผมมาที่นี่ยังมีจุดประสงค์อื่น ท่านผู้อาวุโส ผมขอยืมใช้กระบี่สยบเซียนได้ไหม?”

สีหน้าของเทวเทพเปลี่ยนไป ก่อนหน้านั้นรพีพงษ์เป็นคนมอบกระบี่ให้ตนเอง แต่ตอนนี้ต้องการเอามันกลับคืนไป?

“คุณหมายความว่าอย่างไร?”

“ตอนนี้ความสามารถของผมยังไม่เพียงพอ หากเจอนฤเบศร์แล้ว ผมจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน แต่ถ้ามีกระบี่สยบเซียนอยู่ในมือ เขาแพ้ผมแน่นอน”

เมื่อได้ยินรพีพงษ์กล่าวอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้รู้สึกเขาลังเลเป็นอย่างมาก ถ้ากระบี่สยบเซียนกลับไปอยู่ในมือของรพีพงษ์ อาจจะไม่สามารถคืนมาอีก

เขาได้กระบี่สยบเซียน และพยายามชักกระบี่ในห้องหนังสือหลายครั้ง เพื่อเติมพลังทิพย์ แต่พบว่ามันไร้ผล

เมื่อเห็นเขาลังเล รพีพงษ์ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผมได้มอบมันให้ท่านผู้อาวุโสแล้ว มันก็เป็นของท่านผู้อาวุโส ถ้าท่านผู้อาวุโสไม่สะดวก จะยืมหรือไม่ยืมก็แล้วแต่คุณตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าผมจะต้องเอามันให้ได้”

มันเป็นคำพูดที่พิธีรีตองเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วรพีพงษ์ก็ต้องเอากระบี่เล่มนั้นกลับคืนมา มันเป็นเพียงแผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสมก่อนหน้าเท่านั้น และมันก็ทำให้เขาได้รับประโยชน์มากมาย

แต่ถ้าเขารู้ว่าภายหลังจะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมมอบกระบี่ให้เทวเทพเด็ดขาด

เทวเทพกัดฟัน และสั่งให้คนไปหยิบกระบี่ออกมา เนื่องจากบวรวิทย์และรพีพงษ์นับถือเป็นพี่น้องกัน พวกเขาทั้งหมดรวมใจเป็นหนึ่งเดียว สถานการณ์ในเมืองแฟรี่ยังไม่มั่นคง ถ้าเกิดเรื่องกับรพีพงษ์ มันก็ไม่ดีสำหรับพวกเขาเช่นกัน

เขาสามารถแยกแยะได้ชัดเจนว่าเรื่องไหนหนักเบา รพีพงษ์ถือกระบี่สยบเซียนไว้ในมืออีกครั้ง กระบี่สยบเซียนประกายทันที

ปัณฑาเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน และกล่าวว่า “กระบี่เล่มนี้มันจำเจ้านายได้ รพีพงษ์ ดูสิ ดูเหมือนว่ามันกำลังทักทายคุณอยู่”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท