ปัณฑาตั้งใจกล่าวประโยคนี้ให้เทวเทพ ตอนแรกที่รพีพงษ์มอบกระบี่สยบเซียนให้แก่เทวเทพ ตนเองเคยบอกไปแล้ว แต่รพีพงษ์ไม่ฟัง
เมื่อสักครู่ท่าทางเทวเทพไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก ถ้ารพีพงษ์ต้องการกระบี่คืนมามันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร กระบี่สยบเซียนกลับมาอยู่ในมือของรพีพงษ์แล้ว ไม่มีใครสามารถเอามันไปได้
ถ้ารพีพงษ์ไม่ยินยอมที่จะคืนให้ เทวเทพก็ไม่สามารถบังคับยึดไปได้ ขอแค่ได้จิตวิญญาณของหนูลินแล้ว พวกเขาก็จะกลับไปทันที ทุกสิ่งในเทวโลกล้วนว่างเปล่า จะมีสักกี่คนที่จะจำได้?
รพีพงษ์มองค้อนปัณฑา โบกมือเป็นนัยให้ปัณฑาหุบปาก
เทวเทพโต้กลับปัณฑาว่า “ไม่ว่าจะเป็นของอะไร ก็ใช้ไม่คล่องมือตั้งแต่ต้น ผมเชื่อว่ากว่าที่รพีพงษ์จะได้เป็นเจ้านายของกระบี่เล่มนี้ก็ต้องใช้ความพยายามไม่น้อย”
รพีพงษ์รีบพูดประจบ เพราะกลัวว่าเทวเทพจะโกรธ
“ท่านผู้อาวุโสพูดถูก ผมใช้ความพยายามไปมากถึงทำให้กระบี่เล่มนี้เป็นของผม และตอนแรกผมก็ไม่มีความสามารถที่จะใช้มัน”
เทวเทพไม่ใช่คนที่ใจคอคับแคบ ดังนั้นเขาจึงให้คนวาดแผนที่ให้รพีพงษ์ ตนเองไม่ต้องลงมือเอง แต่ให้รพีพงษ์เป็นคนลงมือฆ่านฤเบศร์ มันเป็นเรื่องดีสำหรับตนเอง
รพีพงษ์เดินออกไปในสวนหลังบ้านของตระกูลภูสรีดาว ผลินเดินมาอยู่ข้างกายรพีพงษ์ และกล่าวว่า “พี่รพี ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนฉันก็จะไปด้วยทุกที่ ฉันไม่อยากอยู่บ้านของตระกูลภูสรีดาว”
“ผมออกไปข้างนอกมันอันตรายมาก ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไป ผมจะอธิบายให้แม่คุณฟังได้อย่างไร”
“ตราบใดที่คุณไม่เป็นไรฉันก็จะไม่เป็นไรเช่นกัน ถึงจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันก็จะไม่โทษคุณ ฉันถูกพ่อบ้านของตระกูลภูสรีดาวทำร้าย ทำให้ฉันอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกไม่มีความปลอดภัย คุณพาฉันไปด้วย”
น้ำเสียงแผ่วเบา น้ำตาคลอเบ้า แม่ของเธอเพิ่งเสียไป อารมณ์จึงไม่ค่อยดีนัก ถ้าอยากไปก็พาเธอไปด้วยมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
รพีพงษ์พยักหน้า “เอาล่ะ ถ้าถึงเวลาที่จำเป็นผมจะให้คุณเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็ก”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ ผลินยิ้มที่มุมปาก รพีพงษ์กำลังถือกระบี่สยบเซียนอยู่ในมือ และเขารู้สึกปีติยินดีที่ของหายไปแล้วได้กลับคืนมา
ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไง ก็จะไม่คืนกระบี่สยบเซียนเล่มนี้ให้ตระกูลภูสรีดาวอีก เล่าปี่ยืมเมืองจิงโจวยังไม่คืนแลย เดิมสิ่งนี้เป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะไม่คืนให้เทวเทพอีก เทวเทพก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แต่ตอนนี้ทุกคนเป็นเพื่อนกันชั่วคราว ใครจะไปรู้ว่ในอนาคตมันจะพัฒนาไปในทิศทางใด?
ขณะที่ฝึกกระบี่อยู่ในสวนหลังบ้าน ปัณฑาและผลินนั่งอยู่ด้านข้าง ปัณฑากล่าวว่า “ไม่คิดว่า แม่ของคุณจะยอมแลกชีวิตเพื่อให้คุณสมปรารถนา และสามารถอยู่กับรพีพงษ์ได้”
“พ่อกับแม่ของฉันมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ดังนั้น…..”
ผลินกล่าวด้วยความโศกเศร้า
ในโลกนี้ มีเพียงแม่เท่านั้นที่ดีต่อเธอที่สุด แม่คิดถึงแต่ความสุขของเธอ เธอต้องอยู่กับรพีพงษ์อย่างมีความสุข เพื่อไม่ให้แม่ต้องจากไปโดยเปล่าประโยชน์
ปัณฑาเหลือบมองผลินแล้วกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่แม่ของคุณพูด โลกนี้ช่างสวยงาม ฉันไม่เชื่อว่ามีคนเต็มใจที่จะตาย แต่ฉันเคยบอกคุณก่อนหน้านั้นแล้วว่า รพีพงษ์และภรรยานั้นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดี คุณอย่าคาดหวังมากเกินไป เกรงว่าในอนาคตคุณจะไม่สามารถยอมรับได้”
ปัณฑารู้ว่ารพีพงษ์และอารียามีรักใคร่ปรองดอง ถ้าหากผลินเห็นแล้วอาจโกรธจนอกแทบระเบิดก็ได้?
ผลินยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ กล่าวโทษปัณฑาว่าประเด็นไหนไม่ควรยกขึ้นพูด ก็พูดประเด็นนั้น แม้ว่าเธอและรพีพงษ์จะไม่สามารถเป็นสามีภรรยาได้ก็ตาม อย่างที่แม่ของเธอพูด การเป็นพี่น้องกันก็ไม่เลว
แต่รพีพงษ์เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ขอแค่ตนเองคิดวิธีที่จะกลายเป็นผู้หญิงของรพีพงษ์ รพีพงษ์จะต้องรับผิดชอบตนเองอย่างแน่นอน
เธอมีความคิดนี้อยู่ในใจ จึงละเลยคำพูดของปัณฑา ไม่ว่าคู่สามีภรรยาหรือคู่รักทุกคน ที่อยู่ห่างกันเป็นเวลานาน จะมีสักกี่คนที่ไม่นอกใจ?
รพีพงษ์เป็นวีรบุรุษ และก็เป็นผู้ชายเช่นกัน มีอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป เขานั้นดีต่อตนเองจริง แต่ตนเองก็ต้องหาทางสร้างโอกาส
ปัณฑาไม่ได้พูดอะไร แต่โทษตนเองอยู่ในใจ เธอรู้สึกเสมอว่าการตายของแม่ผลินเกี่ยวข้องกับตนเองเป็นอย่างมาก ถ้าหากตอนนั้นตนเองออกจากภูเขาสองกระบี่กับรพีพงษ์อย่างเงียบ ๆ ก็จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
แม้ว่าผลินไม่ได้พูดถึง และรพีพงษ์ไม่เคยกล่าวโทษ แต่เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
แผนที่ของเทวเทพวาดเสร็จแล้ว นันท์ธรมองและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พวกเราไม่ได้ไปตระกูลพิมพ์สารหลายปีแล้ว และตอนนี้ไม่รู้ว่าตำแหน่งบนแผนที่นี้เปลี่ยนไปหรือไม่”
“มันน่าจะแตกต่างกันไม่มาก ถ้าตระกูลพิมพ์สารเริ่มงานก่อสร้างใหญ่ มันจะสร้างความแตกตื่นแน่นอน แต่หลายปีมาก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้”
นันท์ธรถือแผนที่ไว้ในมือ มีความไม่พอใจรพีพงษ์บ้าง และบ่นว่า “ผมคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ใส่ใจรายละเอียดในชีวิต ไม่คาดคิดว่ามอบกระบี่ให้พี่ใหญ่แล้วยังจะมาขอคืนอีก พี่ใหญ่ก็ให้เขาไปจริง ๆ”
เทวเทพหยิบถ้วยชาขึ้นมา ยิ้มบาง ๆ เขาเป็นคนที่ปล่อยวางได้ และกล่าวว่า “เดิมกระบี่ก็เป็นของเขา ตอนแรกเพื่อที่จะผูกไมตรีกับพวกเรา ดังนั้นจึงทำให้กระบี่มาตกอยู่ในมือของผม พูดไปแล้ว กระบี่นั้นอยู่ในมือผมก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ อีหนูปัณฑาพูดถูก กระบี่จำเจ้านายจริง ๆ”
“พี่ใหญ่หมายความว่า ไม่ได้คิดที่จะเอากระบี่สยบเซียนกลับคืนมาหรือ?”
“ผมไม่ได้พูดเช่นนั้น ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ถ้าเป็นไปได้ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากระบี่นั้นจะกลับคืนมาสู่มือ”
นันท์ธรไม่รู้จะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง เขาจึงนำแผนที่ให้รพีพงษ์
รพีพงษ์ก็ไม่ชักช้ารีรอ เวลาก็ค่ำแล้ว คืนมืดมิดและลมแรง เป็นเวลาดีที่สุดที่เขาจะไปบ้านของตระกูลพิมพ์สาร
ขณะที่เขาเดินไปเพื่อจะกล่าวขอบคุณเทวเทพก็ที่ได้ยินคนรับใช้มารายงานว่า นฤเบศร์จัดงานเลี้ยงและเชิญเทวเทพไปงานเลี้ยงด้วย
หลังจากที่คนรับใช้ออกไป รพีพงษ์ก็รีบเดินเข้าไปข้างใน แล้วกล่าวว่านฤเบศร์มาไม้นี้ไม่รู้ว่าจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร
เทวเทพครุ่นคิด ไม่มีเหตุผลที่นฤเบศร์จะเชิญเขาไป รพีพงษ์กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสไปไม่ได้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานเลี้ยงลอบสังหาร”
“เขามาเชิญถึงที่แล้ว ถ้าไม่ไปมันจะไม่เหมาะสม ขอแค่ผมพาคนไปมากพอ เขาก็จะไม่สามารถทำร้ายผมได้”
รพีพงษ์มีแผนอยู่ในใจ และได้รู้จากปากของเทวเทพว่า งานเลี้ยงนี้ได้เชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งหมดของเมืองแฟรี่มาด้วย หากเขาไม่ไปก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย
ถ้าเทวเทพไปจะตกอยู่ในอันตราย ตนเองไปแทนเทวเทพดีกว่า
ตอนนี้ ทุกคนในเมืองแฟรี่รู้ว่ารพีพงษ์และบวรวิทย์นับถือเป็นพี่น้องกัน และรพีพงษ์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภูสรีดาว เทวเทพป่วยร่างกายไม่แข็งแรง แล้วให้รพีพงษ์ไปเป็นตัวแทน มันก็ไม่น่าเกลียด
เมื่อเทวเทพได้ยินว่ารพีพงษ์จะไปแทนตนเอง ก็รู้สึกโล่งใจและเขากล่าวว่า “การไปคราวนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าบวรวิทย์อยู่ ผมก็จะให้เขาไปพร้อมคุณ”
ก่อนหน้านั้นตอนที่ต่อสู้กับนฤเบศร์ นฤเบศร์ชนะเขาแล้วเข้าไปในถ้ำได้อย่างง่ายดาย ทำให้เทวเทพรู้สึกว่านฤเบศร์นั้นเป็นเงามืดอยู่ในใจของตนเอง แต่ตนเองก็ต้องรักษาหน้าเอาไว้จะไม่ไปมันก็ไม่ได้
ตอนนี้รพีพงษ์เสนอว่าจะไปแทนตนเอง และมันก็ทำให้ตนเองไม่เสียหน้าอีกด้วย
ขณะนี้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากภายนอก “เมื่อพ่อต้องการให้ผมไปกับรพีพงษ์ ประจวบเหมาะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน ถ้าคนภายนอกมีแผนก็จนใจ และไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้”