พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1604 ถ้าจะขอความช่วยเหลือก็พูดมาสิ

บทที่ 1604 ถ้าจะขอความช่วยเหลือก็พูดมาสิ

ก่อนที่จะฆ่านรเทพก็คิดได้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ เทวเทพไม่รู้สึกว่านอกเหนือความคาดหมายใดๆเลย

เขากล่าวกับบวรวิทย์ว่า: “แกไปภูเขาสองกระบี่หน่อย ไปบอกข่าวนี้ให้กับอาจารย์ของแก ฉันหวังว่าเขาจะมาช่วย”

“เกรงว่าอาจารย์ของผมอยู่ที่ภูเขาสองกระบี่ แต่ข่าวที่นี่เขารู้ชัดเจนแล้ว ถ้าจะมา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเชิญมา เขาก็จะมา”

บวรวิทย์วิเคราะห์ได้ชัดเจนมาก เทวเทพมองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า: “แกนี่มันเด็กโง่ ไม่พัฒนาเลยสักนิด เห็นๆกันอยู่ว่าแกไปขอร้องคนอื่น แกเป็นลูกศิษย์เขา บุญคุณของอาจารย์และศิษย์อยู่ตรงนั้น ไปหาถึงที่ด้วยตัวเอง และแสดงออกอย่างเคร่งขรึม นอกจากนี้เรื่องนรเทพก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาด้วย ทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ใครก็อย่าคิดถอนตัวง่ายๆ”

เทวเทพต้องการใช้พลังที่แข็งแกร่งของทุกคนในการต่อต้านการรุกรานในศึกครั้งนี้ แต่ทว่าฝ่ายรพีพงษ์กำลังรักษาบาดแผลของ ยัยหิมะในบ้านของผลิน

ปัณฑาวิ่งเข้าไป กล่าว: คนของนรเทพลงมือแล้ว ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี รพีพงษ์ ฉันคิดว่าเรื่องของเราจัดการจบแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่กลับไปยังโลกนะ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเราด้วย?”

เมื่อรพีพงษ์ฟังจบ มองปัณฑาครั้งหนึ่ง ก็รู้แล้วปัณฑาคิดเพื่อความปลอดภัยของเขา พูดอย่างไม่แยแสว่า: “ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ วันนี้ถอนตัวไม่ได้แล้ว คุณไปดูภรรยาและลูกฉันที่โลกหน่อย นำเอาวิญญาณนี้ไปด้วย เอาให้เจ้าสำนัก เขารู้ว่าจะทำยังไง”

แม้ว่าไม่สามารถรีบกลับไปได้ แต่รพีพงษ์เชื่อว่าจิรภัทรแห่งสำนักเทพยาเซียนจะต้องช่วยเหลือเขาทุกอย่างแน่ ตราชิงวิญญาณในมือของหนูลิน ตราบใดที่วิญญาณของเธออยู่ที่นั่น งั้นก็ต้องสามารถฟื้นคืนมาได้อย่างแน่นอน

ที่โลก รพีพงษ์เป็นผู้ดำรงอยู่ในจุดสูงสุด ขอเพียงแค่แก้ไขเรื่องเทวโลกแล้ว เขากลับไปสามารถพาอารียามาเทวโลกเพื่อฝึกฝนด้วยกันได้ ที่นี่เต็มไปด้วยพลังเทพ และมันสามารถอยู่ที่โลกได้เช่นกัน

สรุปแล้ว ชีวิตสามีภรรยาที่ดีก็จะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่นอน

คิดอยู่ในใจ เต็มไปด้วยความปรารถนาชีวิตในอนาคต ปัณฑารับแหวนเก็บสิ่งล้ำค่ามา กล่าว: “ฉันกลัวว่าฉันจะทำได้ไม่ดี”

ปัณฑาเป็นกังวลว่าความสามารถของตนนั้นจะไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ดี ระหว่างทางต้องเจอการโจมตี เขาไม่มีความสามารถใดๆในการต้านทานได้เลย

รพีพงษ์มองบนปัณฑา และกล่าวว่า: “คุณต้องทำได้ดี ตอนนี้ที่ฉันหวังก็คือคุณ คุณก็เห็นเหตุการณ์ที่เทวโลกแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมกลับไปกับคุณสักหน่อย”

รพีพงษ์พูดด้วยคำพูดที่แฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ลูกสาวและภรรยาต่างก็อยู่เทวโลก แล้วทำไมเขาถึงไม่อยากจะกลับไปล่ะ?

ปัณฑาจากไปอย่างน่าสงสาร ในใจผลินรู้สึกแปลกๆ เธอรู้ ว่านี่ไม่ใช่บ้านของรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็ต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องจากที่นี่ไป

เธอไม่ให้โอกาสรพีพงษ์ในการทิ้งเธอไป เธอกล่าวกับรพีพงษ์ว่า: “รพีพงษ์ ฉันไม่สนว่าคุณจะไปที่ไหน ถ้าคุณทิ้งฉัน ฉันจะไม่เหลือแม้กระทั่งความกล้าหาญในการใช้ชีวิตต่อ”

ขณะที่เธอกำลังกล่าว น้ำตาก็ไหลไม่หยุด เพียงเพราะว่าชอบรพีพงษ์ และรพีพงษ์ก็คือญาติคนเดียวของเธอที่ยังมีชีวิตอยู่

รพีพงษ์มองผลิน ยิ้มเบาๆ: “ฉันรู้ ฉันเคยรับปากแม่คุณไว้ จะไม่ยอมให้คนแก่ตายอย่างไม่สบายใจหรอก ถ้าคุณยินดี ฉันจะเป็นพี่คุณให้ ฉันไม่มีน้องสาวพอดีเลย เป็นไงล่ะ?”

ผลินไม่อยากเป็นน้องสาวกับรพีพงษ์ เธอพยักหน้า ตอนนี้จะให้รพีพงษ์ผลักไสไล่ส่งตัวเองไม่ได้ มิฉะนั้นรพีพงษ์จะทิ้งเธอไปได้ตลอดเวลา ตัวเองคงไม่มีพื้นที่สำหรับร้องไห้แล้วล่ะ

เธอพยักหน้า: “ขอเพียงแค่คุณไม่ทิ้งฉันไป อะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันไม่สนใจอะไรมากมายหรอก”

รพีพงษ์ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างวางใจ แบบนี้แหละดีที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าอารียาก็จะไม่รู้สึกอึดอัด

เธอดูแลลูกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย นางสนมข้างกายมากมายยังไงก็ไม่เหมาะสม คิดถึงใจเขาใจเราก็เหมือนกัน ถ้าหากอารียามีผู้ชายห้อมล้อม ในใจของเขาเองก็ไม่สบายใจหรอก

ยัยหิมะในขณะนี้ไออย่างรุนแรง ตื่นขึ้นมา ผมยาวพันรอบไหล่ มองรพีพงษ์ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

ในหัวจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหมดสติไป และพูดกับรพีพงษ์อย่างขอโทษว่า: “ขอโทษนะ รพีพงษ์ ถ้าฉันรบกวนคุณ ที่ฆ่านรเทพไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกคุณเลย ฉันจะไปพูดกับพวกทหารของนรเทพเหล่านั้นให้ชัดเจน จะไม่ให้เรื่องนี้ซวยไปถึงพวกคุณ”

ยัยหิมะพยุงตัวจะลุกขึ้น แดดข้างนอกส่องเข้ามาในห้อง ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นมาก

ยัยหิมะเปิดประตูออกไป สายลมพัดมาอย่างแผ่วเบา

รพีพงษ์เดินช้าๆไปยังยัยหิมะกล่าว: “คุณคิดว่าได้ผลเหรอ ถ้าหากฉันบอกคุณว่า ท่านอาวุโสได้เอาศพของนรเทพโยนไปบนกำแพงและถูกแดดแผดเผาแล้ว คุณยังคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณอีกเหรอ?”

ยัยหิมะมองรพีพงษ์อย่างตกตะลึง เธอคิดว่าเทวเทพและรพีพงษ์ พวกเขาจะโทษตัวเอง ตอนนี้รพีพงษ์หยุดพูด ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก

เธอกล่าว: “ในเมื่อต้องเผชิญเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ขอเพียงแค่ทุกคนอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ ฉันจะพยายามเต็มที่เพื่อต่อต้านกองกำลังทหารของนรเทพ”

และทางฝั่งภูเขาสองกระบี่ บวรวิทย์ได้ไปถึงภูเขาสองกระบี่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อรู้ว่าบวรวิทย์จะมา นราธิปมองบวรวิทย์และถามว่า: “พ่อแกให้แกมาเหรอ?”

“ผมทราบครับ อาจารย์ หากผมไม่มา ท่านก็จะไป ใช่ไหมครับ?” บวรวิทย์พูดออกไปตรงๆตามที่ใจคิด

นราธิปยิ้ม กล่าว: “ไหน ๆตอนนี้แกก็มาแล้ว ถ้าฉันไม่ไป ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แกเป็นลูกศิษย์ของฉัน ใช่ไหมล่ะ?”

บวรวิทย์คุกเข่าลงบนพื้น กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ: “บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของอาจารย์ ผมจะจดจำไว้ในใจ ไม่ให้อาจารย์ต้องผิดหวัง”

นราธิปมองไปที่ถ้ำที่ปริตรอาศัยอยู่ กล่าวกับบวรวิทย์ว่า: “เมืองแฟรี่เกิดเหตุร้าย งั้นไปหาปริตรในถ้ำนั้นหน่อย ตระกูลนฤวัตปกรณ์เป็นตระกูลที่ใหญ่โต คนของนรเทพพวกสติฟั่นเฟือน คงไม่ออมมือแน่”

คนเหล่านั้นของนรเทพทำไมจะไม่รู้ล่ะว่านรเทพตายยังไง ไม่ใช่แค่ตระกูลนฤวัตปกรณ์ เมื่อเกิดสงครามปะทุขึ้น ทั้งเมืองแฟรี่จะถูกรุกรานเข้าทำลาย

นรเทพครองอำนาจมานานหลายปี มีบางคนไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ส่วนใหญ่ก็เด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง

บวรวิทย์คิดถึงปริตร ลังเลใจเล็กน้อย แต่ก็ไปอยู่ดี เขาต้องยอมรับว่า ตัวเขาเองด้อยกว่าปริตรในบางเรื่อง

ปริตรปลูกดอกบัวไว้ในสระนอกถ้ำ ในนั้นยังมีปลาทอง กำลังให้อาหารปลาอยู่ข้างสระ

เมื่อเห็นบวรวิทย์เดินมา ก็ไม่ได้มองเขาตรงๆ บวรวิทย์ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย และกล่าวว่า: “เมืองแฟรี่เกิดเรื่องแล้ว นายจะไปด้วยกันไหม ถ้าหากครั้งนี้ล้มเหลว ทั้งเมืองแฟรี่ก็จะต้องถูกทำลายอย่างราบคาบ แม้แต่คุณก็ไม่สามารถคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเองได้แล้ว”

“นายต้องการให้ฉันไปช่วยงั้นเหรอ?” ปวิตรมองบวรวิทย์อย่างลึกซึ้ง เด็กคนนี้จะขอความช่วยเหลือก็พูดคำที่ขอความช่วยเหลือสิ ทำไมต้องลากให้ตัวเองไปเกี่ยวข้องด้วย

บวรวิทย์อึ้ง กล่าว: “พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตอนนี้ควระจะไปด้วยกัน ต่อให้ตระกูลภูสรีดาวอย่างฉันเป็นกองหน้าและถูกสังหาร แต่ตระกูลใหญ่อย่างนฤวัตปกรณ์ก็ยังอยู่ที่นั่น นายจะต้องไปช่วยเหลืออย่างปฏิเสธไม่ได้”

ปริตรยิ้ม ขี้เกียจจะไปคิดเล็กคิดน้อย วางของ และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองแฟรี่……

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท