ก่อนที่จะฆ่านรเทพก็คิดได้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ เทวเทพไม่รู้สึกว่านอกเหนือความคาดหมายใดๆเลย
เขากล่าวกับบวรวิทย์ว่า: “แกไปภูเขาสองกระบี่หน่อย ไปบอกข่าวนี้ให้กับอาจารย์ของแก ฉันหวังว่าเขาจะมาช่วย”
“เกรงว่าอาจารย์ของผมอยู่ที่ภูเขาสองกระบี่ แต่ข่าวที่นี่เขารู้ชัดเจนแล้ว ถ้าจะมา พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเชิญมา เขาก็จะมา”
บวรวิทย์วิเคราะห์ได้ชัดเจนมาก เทวเทพมองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า: “แกนี่มันเด็กโง่ ไม่พัฒนาเลยสักนิด เห็นๆกันอยู่ว่าแกไปขอร้องคนอื่น แกเป็นลูกศิษย์เขา บุญคุณของอาจารย์และศิษย์อยู่ตรงนั้น ไปหาถึงที่ด้วยตัวเอง และแสดงออกอย่างเคร่งขรึม นอกจากนี้เรื่องนรเทพก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาด้วย ทุกคนต่างลงเรือลำเดียวกันแล้ว ใครก็อย่าคิดถอนตัวง่ายๆ”
เทวเทพต้องการใช้พลังที่แข็งแกร่งของทุกคนในการต่อต้านการรุกรานในศึกครั้งนี้ แต่ทว่าฝ่ายรพีพงษ์กำลังรักษาบาดแผลของ ยัยหิมะในบ้านของผลิน
ปัณฑาวิ่งเข้าไป กล่าว: คนของนรเทพลงมือแล้ว ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดี รพีพงษ์ ฉันคิดว่าเรื่องของเราจัดการจบแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่กลับไปยังโลกนะ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเราด้วย?”
เมื่อรพีพงษ์ฟังจบ มองปัณฑาครั้งหนึ่ง ก็รู้แล้วปัณฑาคิดเพื่อความปลอดภัยของเขา พูดอย่างไม่แยแสว่า: “ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้ วันนี้ถอนตัวไม่ได้แล้ว คุณไปดูภรรยาและลูกฉันที่โลกหน่อย นำเอาวิญญาณนี้ไปด้วย เอาให้เจ้าสำนัก เขารู้ว่าจะทำยังไง”
แม้ว่าไม่สามารถรีบกลับไปได้ แต่รพีพงษ์เชื่อว่าจิรภัทรแห่งสำนักเทพยาเซียนจะต้องช่วยเหลือเขาทุกอย่างแน่ ตราชิงวิญญาณในมือของหนูลิน ตราบใดที่วิญญาณของเธออยู่ที่นั่น งั้นก็ต้องสามารถฟื้นคืนมาได้อย่างแน่นอน
ที่โลก รพีพงษ์เป็นผู้ดำรงอยู่ในจุดสูงสุด ขอเพียงแค่แก้ไขเรื่องเทวโลกแล้ว เขากลับไปสามารถพาอารียามาเทวโลกเพื่อฝึกฝนด้วยกันได้ ที่นี่เต็มไปด้วยพลังเทพ และมันสามารถอยู่ที่โลกได้เช่นกัน
สรุปแล้ว ชีวิตสามีภรรยาที่ดีก็จะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่นอน
คิดอยู่ในใจ เต็มไปด้วยความปรารถนาชีวิตในอนาคต ปัณฑารับแหวนเก็บสิ่งล้ำค่ามา กล่าว: “ฉันกลัวว่าฉันจะทำได้ไม่ดี”
ปัณฑาเป็นกังวลว่าความสามารถของตนนั้นจะไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ดี ระหว่างทางต้องเจอการโจมตี เขาไม่มีความสามารถใดๆในการต้านทานได้เลย
รพีพงษ์มองบนปัณฑา และกล่าวว่า: “คุณต้องทำได้ดี ตอนนี้ที่ฉันหวังก็คือคุณ คุณก็เห็นเหตุการณ์ที่เทวโลกแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมกลับไปกับคุณสักหน่อย”
รพีพงษ์พูดด้วยคำพูดที่แฝงด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ลูกสาวและภรรยาต่างก็อยู่เทวโลก แล้วทำไมเขาถึงไม่อยากจะกลับไปล่ะ?
ปัณฑาจากไปอย่างน่าสงสาร ในใจผลินรู้สึกแปลกๆ เธอรู้ ว่านี่ไม่ใช่บ้านของรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็ต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องจากที่นี่ไป
เธอไม่ให้โอกาสรพีพงษ์ในการทิ้งเธอไป เธอกล่าวกับรพีพงษ์ว่า: “รพีพงษ์ ฉันไม่สนว่าคุณจะไปที่ไหน ถ้าคุณทิ้งฉัน ฉันจะไม่เหลือแม้กระทั่งความกล้าหาญในการใช้ชีวิตต่อ”
ขณะที่เธอกำลังกล่าว น้ำตาก็ไหลไม่หยุด เพียงเพราะว่าชอบรพีพงษ์ และรพีพงษ์ก็คือญาติคนเดียวของเธอที่ยังมีชีวิตอยู่
รพีพงษ์มองผลิน ยิ้มเบาๆ: “ฉันรู้ ฉันเคยรับปากแม่คุณไว้ จะไม่ยอมให้คนแก่ตายอย่างไม่สบายใจหรอก ถ้าคุณยินดี ฉันจะเป็นพี่คุณให้ ฉันไม่มีน้องสาวพอดีเลย เป็นไงล่ะ?”
ผลินไม่อยากเป็นน้องสาวกับรพีพงษ์ เธอพยักหน้า ตอนนี้จะให้รพีพงษ์ผลักไสไล่ส่งตัวเองไม่ได้ มิฉะนั้นรพีพงษ์จะทิ้งเธอไปได้ตลอดเวลา ตัวเองคงไม่มีพื้นที่สำหรับร้องไห้แล้วล่ะ
เธอพยักหน้า: “ขอเพียงแค่คุณไม่ทิ้งฉันไป อะไรก็ได้ทั้งนั้น ฉันไม่สนใจอะไรมากมายหรอก”
รพีพงษ์ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างวางใจ แบบนี้แหละดีที่สุด เมื่ออยู่ต่อหน้าอารียาก็จะไม่รู้สึกอึดอัด
เธอดูแลลูกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย นางสนมข้างกายมากมายยังไงก็ไม่เหมาะสม คิดถึงใจเขาใจเราก็เหมือนกัน ถ้าหากอารียามีผู้ชายห้อมล้อม ในใจของเขาเองก็ไม่สบายใจหรอก
ยัยหิมะในขณะนี้ไออย่างรุนแรง ตื่นขึ้นมา ผมยาวพันรอบไหล่ มองรพีพงษ์ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
ในหัวจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะหมดสติไป และพูดกับรพีพงษ์อย่างขอโทษว่า: “ขอโทษนะ รพีพงษ์ ถ้าฉันรบกวนคุณ ที่ฆ่านรเทพไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกคุณเลย ฉันจะไปพูดกับพวกทหารของนรเทพเหล่านั้นให้ชัดเจน จะไม่ให้เรื่องนี้ซวยไปถึงพวกคุณ”
ยัยหิมะพยุงตัวจะลุกขึ้น แดดข้างนอกส่องเข้ามาในห้อง ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นมาก
ยัยหิมะเปิดประตูออกไป สายลมพัดมาอย่างแผ่วเบา
รพีพงษ์เดินช้าๆไปยังยัยหิมะกล่าว: “คุณคิดว่าได้ผลเหรอ ถ้าหากฉันบอกคุณว่า ท่านอาวุโสได้เอาศพของนรเทพโยนไปบนกำแพงและถูกแดดแผดเผาแล้ว คุณยังคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณอีกเหรอ?”
ยัยหิมะมองรพีพงษ์อย่างตกตะลึง เธอคิดว่าเทวเทพและรพีพงษ์ พวกเขาจะโทษตัวเอง ตอนนี้รพีพงษ์หยุดพูด ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก
เธอกล่าว: “ในเมื่อต้องเผชิญเช่นนี้ ตอนนี้พวกเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ขอเพียงแค่ทุกคนอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ ฉันจะพยายามเต็มที่เพื่อต่อต้านกองกำลังทหารของนรเทพ”
และทางฝั่งภูเขาสองกระบี่ บวรวิทย์ได้ไปถึงภูเขาสองกระบี่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อรู้ว่าบวรวิทย์จะมา นราธิปมองบวรวิทย์และถามว่า: “พ่อแกให้แกมาเหรอ?”
“ผมทราบครับ อาจารย์ หากผมไม่มา ท่านก็จะไป ใช่ไหมครับ?” บวรวิทย์พูดออกไปตรงๆตามที่ใจคิด
นราธิปยิ้ม กล่าว: “ไหน ๆตอนนี้แกก็มาแล้ว ถ้าฉันไม่ไป ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แกเป็นลูกศิษย์ของฉัน ใช่ไหมล่ะ?”
บวรวิทย์คุกเข่าลงบนพื้น กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ: “บุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของอาจารย์ ผมจะจดจำไว้ในใจ ไม่ให้อาจารย์ต้องผิดหวัง”
นราธิปมองไปที่ถ้ำที่ปริตรอาศัยอยู่ กล่าวกับบวรวิทย์ว่า: “เมืองแฟรี่เกิดเหตุร้าย งั้นไปหาปริตรในถ้ำนั้นหน่อย ตระกูลนฤวัตปกรณ์เป็นตระกูลที่ใหญ่โต คนของนรเทพพวกสติฟั่นเฟือน คงไม่ออมมือแน่”
คนเหล่านั้นของนรเทพทำไมจะไม่รู้ล่ะว่านรเทพตายยังไง ไม่ใช่แค่ตระกูลนฤวัตปกรณ์ เมื่อเกิดสงครามปะทุขึ้น ทั้งเมืองแฟรี่จะถูกรุกรานเข้าทำลาย
นรเทพครองอำนาจมานานหลายปี มีบางคนไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ส่วนใหญ่ก็เด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลง
บวรวิทย์คิดถึงปริตร ลังเลใจเล็กน้อย แต่ก็ไปอยู่ดี เขาต้องยอมรับว่า ตัวเขาเองด้อยกว่าปริตรในบางเรื่อง
ปริตรปลูกดอกบัวไว้ในสระนอกถ้ำ ในนั้นยังมีปลาทอง กำลังให้อาหารปลาอยู่ข้างสระ
เมื่อเห็นบวรวิทย์เดินมา ก็ไม่ได้มองเขาตรงๆ บวรวิทย์ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย และกล่าวว่า: “เมืองแฟรี่เกิดเรื่องแล้ว นายจะไปด้วยกันไหม ถ้าหากครั้งนี้ล้มเหลว ทั้งเมืองแฟรี่ก็จะต้องถูกทำลายอย่างราบคาบ แม้แต่คุณก็ไม่สามารถคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของตนเองได้แล้ว”
“นายต้องการให้ฉันไปช่วยงั้นเหรอ?” ปวิตรมองบวรวิทย์อย่างลึกซึ้ง เด็กคนนี้จะขอความช่วยเหลือก็พูดคำที่ขอความช่วยเหลือสิ ทำไมต้องลากให้ตัวเองไปเกี่ยวข้องด้วย
บวรวิทย์อึ้ง กล่าว: “พวกเราต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตอนนี้ควระจะไปด้วยกัน ต่อให้ตระกูลภูสรีดาวอย่างฉันเป็นกองหน้าและถูกสังหาร แต่ตระกูลใหญ่อย่างนฤวัตปกรณ์ก็ยังอยู่ที่นั่น นายจะต้องไปช่วยเหลืออย่างปฏิเสธไม่ได้”
ปริตรยิ้ม ขี้เกียจจะไปคิดเล็กคิดน้อย วางของ และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองแฟรี่……