Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ – ตอนที่ 249

ตอนที่ 249

ตอนที่ 249 การท้าทายของหมอเทวะ
เจ้าสำนักของสำนักหลิงเยว่เตือนให้อู๋ฉี เทียนเจียวอันดับที่ 19 ให้
กล่าวคำขอโทษสำนักวังเปลวไฟและรีบออกไป ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะ
ถูกฆ่าในทันที
หลังจากนั้นไม่นานผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณสองคน ก็
ปรากฏตัวขึ้นทันที
ดาบคลั่งโลหิตจี ผู้มีความแข็งแกร่งสามารถทำลายกองกำลังระดับชั้น
1 ได้เพียงตัวคนเดียว เขาแสดงตัวออกมาพร้อมกับประณามชายชรา
ผู้เป็นเจ้าสำนักหลิงเยว่อย่างเสียหาย และยังพูดต่ออีกว่า “ข้าอยากจะ
ยุ่ง เจ้าจะทำไม!”
ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักชื่ออีกคนนึง ก็ได้แสดงความแข็งแกร่งของ
ระดับก่อกำเนิดลมปราณออกมา
เขาแค่พูดว่า “กลับไปที่สำนักหลิงเยว่ ของเจ้าซะ ไม่เช่นนั้นสำนัก
ของเจ้าจะได้รับผลที่ตามมา!”
คนพวกนี้หยิ่งผยองและเอาแต่ใจอย่างที่สุด!
ใบหน้าของชายชราเจ้าสำนักหลิงเยว่เปลี่ยนไปเป็นมืดมนในทันที
เขาหันไปมองที่ดาบคลั่งโลหิตจีและโม่หยวน อย่างหวาดกลัว
ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณสองคน คนหนึ่งคือ ดาบคลั่งโลหิต
จี ที่ทั้งโหดเหี้ยมและคลุ้มคลั่งจนไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้
อีกคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่ประกาศออกมาว่าจัดการกับสำนัก
หลิงเยว่ หากว่าเขานั้นยังไม่กลับไปที่สำนักของเขา
เจ้าสำนักของสำนักหลิงเยว่ ไม่กล้าประมาทกับคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ
ระดับก่อกำเนิดลมปราณ มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่น้อยที่จะเป็น
ศัตรูกับบุคคลระดับนี้พร้อมกันถึงสองคน
ในตอนนี้เขานั้นรู้สึกอับอายจนทำอะไรไม่ถูก เรียกได้ว่าขึ้นหลังเสือ
แล้วลงยากอย่างแท้จริง เขาออกตัวท้าทายอู๋ฉีเพื่อเอาหน้าและสร้าง
ความประทับใจให้กับสำนักวังเปลวไฟ แต่ในตอนนี้เขากลับโดนข่มขู่
จากผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณพร้อมกันถึงสองคน ถ้าเขา
ยอมถอยนั่นก็เท่ากับไม่ไว้หน้าสำนักวังเปลวไฟ และหากเขาดำเนิน
การปราบปรามอู๋ฉีต่อไป นั่นก็เท่ากับเขาเป็นศัตรูกับผู้เชี่ยวชาญก่อ
กำเนิดลมปราณทั้งสองคน
เขาหันไปมองที่ดาบคลั่งโลหิตจีและโม่หยวน จากนั้นจึงแอบชำเลือง
ไปมองเหล่าชาวยุทธ์ที่อยู่บริเวณโดยรอบ
ในตอนนี้เขานั้นต้องการผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณเพื่อมา
สนับสนุนเขาอีกสักคนหนึ่ง หากไม่เช่นนั้นชีวิตของเขาคงจะต้อง
ลำบากอย่างแน่นอน
หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วแล้ว เขาก็พบเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของ
เขาที่เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญก่อกำเนิดลมปราณด้วยเช่นเดียวกัน
เฟิงหยางลี่ เขานั้นเป็นผู้นำตระกูลเฟิงหยาง ตราบใดที่เพื่อนคนนี้ยอม
ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เขาคิดว่าน่าจะพอรับมือกับดาบคลั่งโลหิตจี
และชายวัยกลางคนคนได้
เฟิงหยางลี่ ที่ยืนอยู่ข้างล่างเวทีสัมผัสได้ถึงการจ้องมองมาจากเจ้า
สำนักหลิงเยว่ เขามีความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าอย่างช้า ๆ
ในตอนนี้เขานั้นค่อนข้างตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้ว หากในตอนนี้
เขานั้นยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ชายชราเจ้าสำนักหลิงเยว่เขานั้นจะต้อง
ได้รับความสัมพันธ์อันดีกับสำนักวังเปลวไฟ และคำขอบคุณจากเจ้า
สำนักหลิงเยว่อย่างแน่นอน
“พวกเจ้านั้นคิดว่าพวกเจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหนกันถึงได้กล้าข่มขู่เจ้า
สำนักหลิงเยว่ และกล้ามาสร้างความวุ่นวายในสำนักวังเปลวไฟได้
เช่นนี้!”
เฟิงหยางลี่ ถือดาบของเขาแล้วก้าวเดินออกมาช้า ๆ
“ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณอีกคนหนึ่ง!”
“หรือว่านี่จะเป็นการต่อสู้ระดับสูงของชนชั้นระดับก่อกำเนิด
ลมปราณอย่างนั้นหรือ?”
ทั้งจัตุรัสที่เงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของเหล่าชาวยุทธ หลังจาก
ที่ได้ยินคำพูดของเฟิงหยางลี่
แต่อย่างไรก็ตามเฟิงหยางลี่ ที่กำลังก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีนั้น ก็ตัว
แข็งค้างขึ้นมาในทันที
“เคี๊ยก ๆ ๆ ! จิ๊ ๆ ๆ !”
เสียงหัวเราะและเสียงเดาะลิ้นในปากที่คุ้นเคยนั้นทำให้ตัวเขาถึงกับ
สั่นสะท้าน
เสียงหัวเราะอันแปลกแยกเสียงนี้ ไม่ใช่สำเนียงการหัวเราะของคน
จีนอย่างแน่นอน และเสียงแบบนี้ตัวเขาก็เพิ่งจะได้ยินมาก่อนหน้านี้
เพียงไม่นาน
เขาค่อย ๆ หันมองไปทางด้านซ้ายมือของตัวเขา
เขาเห็นชายชาวต่างชาติในชุดทักซิโด้สีแดงเข้มกำลังจ้องมองมาที่
เขาด้วยสายตาที่เย็นชาพร้อมกับแสยะยิ้มและเลียริมฝีปากของเขา
อย่างช้า ๆ
ขนหัวของเขาลุกตั้งชันขึ้นมาทันที ในตอนนี้เขานั้นไม่กล้าจะขยับ
เขยื้อนเดินขึ้นไปข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว
‘เชี่ยยย! คนพวกนี้นั้นเป็นกลุ่มเดียวกันอย่างนั้นเหรอ?’
ใบหน้าของ เฟิงหยางลี่ เปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันทีที่ได้รู้ว่าผู้เชี่ยวชาญ
ระดับก่อกำเนิดลมปราณทั้งสามคนนี้มาจากกลุ่มเดียวกัน!
ตระกูลเฟิงหยางของเขาไม่ใช่สำนักวังเปลวไฟที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับ
ก่อกำเนิดลมปราณอย่างมากมาย มีเพียงเขาแค่คนเดียวเท่านั้นใน
ตระกูลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณ หากเขาสร้างความ
ขุ่นเคืองใจให้กับคนกลุ่มนี้ ตระกูลของเขานั้นคงจะจบสิ้นลงอย่าง
แน่นอน ไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นแม้แต่สำนักหลิงเยว่ ก็เป็นได้เพียง
แค่ขนมชิ้นหนึ่งของพวกเขาทั้งสามคน
มันคุ้มค่าหรือไม่ เพียงเพื่อสร้างความประทับใจกับสำนักวังเปลวไฟ
ศักด์ิสิทธ์ิ แต่ต้องสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิด
ลมปราณถึงสามคนและก่อศัตรูให้กับตระกูลของตัวเอง
ในตอนนี้เขาไม่กล้าจะเดินขึ้นไปบนเวทีประลองอีกต่อไปแล้วได้แต่
ยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้นเอง
ส่วนชายชราเจ้าสำนักหลิงเยว่ ก็ตกตะลึงมากเช่นเดียวกันเขามองไป
ที่เฟิงหยางลี่ พร้อมกับขมวดคิ้วและมีอาการปากกระตุก
ผู้คนโดยรอบต่างมองไปที่เฟิงหยางลี่ และชายชราจากสำนักหลิงเยว่
ด้วยความงุนงง มีคำถามเกิดขึ้นในใจของพวกเขาขึ้นมาทันทีว่า
ทำไมเฟิงหยางลี่ ถึงยืนแข็งค้างอยู่อย่างนั้น? และทำไมชายชราเจ้า
สำนักหลิงเยว่ ถึงยืนตัวแข็งปากกระตุกอยู่บนเวที
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ เฟิงหยางลี่ ค่อย ๆ หมุนตัวเดินกลับ
เข้าไปที่ตำแหน่งเดิมของเขาด้วยท่าทางที่ดูอึดอัดใจและเขินอายเป็น
อย่างมาก
การกระทำของเฟิงหยางลี่ ทำให้ทุกคนนั้นค่อนข้างที่จะตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อสักครู่นี้เขายังพูดขึ้นมาด้วยความห้าวหาญ
ไม่ใช่หรือ?
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ เขาถามว่าคนพวกนั้นว่า พวกเขานั้น
ยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้กล้าข่มขู่ชายชราจากสำนักหลิงเยว่และกล้า
ที่จะมาสร้างความวุ่นวายในเขตสำนักวังเปลวไฟ! เขาพูดอย่างนั้น
ออกมาไม่ใช่หรอกหรือ?
น้ำเสียงที่เขาพูดออกมานั้นมีความหมายออกมาอย่างชัดเจนว่า
ต้องการที่จะเข้าร่วมต่อสู้กับคนพวกนั้นอย่างแน่นอน
แล้วหลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ตำแหน่งเดิมของเขา มันคืออะไร?
“มันอะไรกันแน่วะเนี่ย? ผู้นำตระกูลเฟิงหยาง เขาคิดอะไรกันอยู่กัน
แน่ เขาเพียงแค่เดินออกมาพูดเท่ ๆ เพียงเท่านั้นหรือ?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? ท่าทางของเขานั้นดูมึน ๆ มากเลยทีเดียว
หรือว่าเขาจะเดินกลับไปเอาของบางอย่าง?”
“เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณและยังเป็นผู้นำของ
ตระกูลระดับชั้น 1 ไม่ใช่หรอกหรือ? ทำไมการกระทำของเขานั้น
มันช่างดูน่าตลกมากจริง ๆ !”
ฝูงชนแสดงความคิดเห็นด้วยความประหลาดใจ
แต่อย่างไรก็ตามใบหน้าของเจ้าสำนักหลิงเยว่ ในตอนนี้นั้นดูย่ำแย่
มากเลยทีเดียว ปากของเขานั้นก็กระตุกพร้อมกันทั้งสองข้าง เมื่อเขา
พบว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากอย่างที่สุด การยืนอยู่บนเวทีคน
เดียวของเขาในตอนนี้ช่างโดดเดี่ยวและโดดเด่นเสียเหลือเกิน!
ดวงตาของเขานั้นเหม่อลอยและหัวสมองก็ค่อนข้างที่จะว่างเปล่า
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับปีนขึ้นที่สูง ๆ ด้วยบันไดแต่
เมื่อหันหลังและพร้อมที่จะกลับลงไป ปรากฏว่าบันไดนั้นได้หายไป
แล้ว!
แล้วจะทำอย่างไรดี?
ฉันจะลงได้อย่างไร?
ตู้มมม!
“พวกเจ้ากล้าสร้างปัญหาและความวุ่นวายในเขตสำนักวังเปลวไฟ
ศักด์ิสิทธ์ิแห่งนี้ พวกเจ้าอยากตายกันมากนักใช่ไหม!”
ผู้อาวุโสหลิวสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขากระแทกฝ่ามือลงบน
เก้าอี้พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
เขากวาดสายตาอันเย็นชาของเขาจ้องมองไปยังดาบคลั่งโลหิตจีและ
โม่หยวน
เจ้าสำนักหลิงเยว่แอบลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในตอนนี้เขารู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมากเพราะในที่สุดเขานั้นก็มี
ทางออกแล้ว
ผู้อาวุโสหลิวเหลือบมองไปที่หวังเสียน เล็กน้อยและยังแอบสังเกต
มองผู้คนรอบข้างด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะเคร่งเครียด
เขาสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าดาบคลั่งโลหิตจีและชายวัยกลางคน
คนนั้น เป็นคนของหวังเสียนอย่างแน่นอน
“พวกเจ้านั้นต้องการที่จะเป็นศัตรูกับสำนักวังเปลวไฟอย่างนั้นใช่
หรือไม่? ถึงได้กล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายและสร้างความอับอายให้
สำนักของพวกเราเยี่ยงนี้!”
สีหน้าของผู้อาวุโสสำนักวังเปลวไฟหลายคนนั้นดูค่อนข้างจะเคร่ง
ขรึม ขณะที่มองไปยังกลุ่มของหวังเสียน
“ฮึฮึ! ช่างหยิ่งผยองและบ้าคลั่งสมกับฉายาหมอบ้าแห่งเมืองเจียงเฉิง
มากจริง ๆ เลยนะหมอเทวะหวัง!”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงพูดประชดประชันของหมอเทวะเซิ่งหัว ดัง
ขึ้นมา
“ข้านั้นเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานานแล้วหมอเทวะหวัง ข้าคิดว่า
เราสมควรเป็นเพื่อนร่วมสำนักเดียวกันได้และอยากจะแลกเปลี่ยน
ทักษะวิชาทางการแพทย์กับเจ้าบ้าง แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้านั้นจะกล้า
ปฏิเสธคำเชิญของสำนักวังเปลวไฟแบบไร้เยื่อใยอย่างนี้ แต่ในเมื่อ
วันนี้เราทั้งสองคนนั้นได้พบกันแล้วข้าจึงอยากจะใช้โอกาสนี้เพื่อ
เรียนรู้จากเจ้าบ้างสักเล็กน้อย!”
หมอเทวะเซิ่งหัว พูดกับหวังเสียน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าอยากรู้
ว่าฝีมือของหมอเทวะหวังนั้นสมกับที่เป็นอันดับที่ 8 ของการจัด
อันดับหมอเทวะศักด์ิสิทธ์ิหรือไม่?”
“นี่!..”
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้หมอเทวะหวังจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับสำนัก
วังเปลวไฟมากเลยทีเดียว!”
“ถูกต้อง! ดูเหมือนว่าในครั้งนี้สำนักวังเปลวไฟค่อนข้างที่จะน่าอับ
อายมากพอดูเลยทีเดียว ในฐานะที่เป็นสำนักระดับชั้นศักด์ิสิทธ์ิพวก
เขานั้นไม่สามารถนิ่งเฉยได้อย่างแน่นอน!”
“หมอเทวะเซิ่งหัว ค่อนข้างที่จะมีชื่อเสียงอยู่ในต่างประเทศ และข้า
ยังรู้มาอีกว่าเขานั้นมีฝีมือทางด้านการต่อสู้มากเลยทีเดียว!”
ในตอนนี้ทุกคนรู้สึกได้ว่างานพิธีแสวงบุญในครั้งนี้อาจจะมีเหตุการณ์
นองเลือดเกิดขึ้นก็ได้
“เซิ่งหัว! ไอ้หมาแก่ปากเหม็น!”
ในขณะนั้นเองหมอโลหิต ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังอย่างไม่เกรงใจ
ใคร พร้อมกับจ้องมองไปยังหมอเทวะเซิ่งหัวด้วยความดูถูก
“เจ้ารู้จักเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?”ซุนหลิงซิ่ว หันไปมองที่หมอโลหิต
“ใช่ขอรับนายท่าน! ไอ้เจ้าแก่นี่มันก็เป็นเหมือนหมาขี้เรื้อน กระผม
กับมันเคยสู้กันมาหลายครั้งแล้วล่ะขอรับ!”
หมอโลหิตจ้องมองไปยังหมอเทวะเซิ่งหัว พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“นายท่านขอรับตอนนี้ความแข็งแกร่งของกระผมนั้นพัฒนาขึ้นมาก
แล้ว กระผมอยากขออนุญาตต่อสู้กับเจ้าแก่นี้ได้ไหมขอรับนายท่าน!”
“ก่อนหน้านี้ ฝีมือของกระผมนั้นยังเป็นรองมันอยู่มาก แต่ตอนนี้
กระผมนั้นไม่กลัวมันเลยแม้แต่น้อย!” หมอโลหิต พูดออกมาอย่าง
มั่นใจ
“ทำตามใจเจ้าเถอะ!” ซุนหลิงซิ่ว พูดออกมาด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
“ขอขอบพระคุณขอรับนายท่าน! กระผมจะจัดการเจ้าหมาแก่ขี้เรื้อน
คนนี้ ที่มันบังอาจมาพูดจาล่วงเกินนายท่านผู้ชาย ให้ปากมันไม่
สามารถพูดได้อีกต่อไปเลยล่ะขอรับ ฮิฮิ!”
หมอโลหิตยิ้มออกมาอย่างมีความสุขขณะที่เขาจ้องมองไปยังหมอ
เทวะเซิ่งหัว พร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เจ้าหมาแก่ขี้เรื้อนเซิ่งหัว ฝีมือของเจ้ายังไม่ถึงขั้นที่จะไปท้าทาย
หมอเทวะหวังหรอก คนระดับเจ้าเพียงแค่ข้าคนเดียวก็สามารถทุบตี
เจ้า จนพ่อแม่ลูกเมียหัวหมูของเจ้าจำหน้าไม่ได้แล้วล่ะ!”
ในขณะที่หมอเทวะเซิ่งหัว กำลังจ้องมองและพูดจาท้าทายหวังเสียน
ภาษาจีนกลางเสียงเพี้ยน ๆ พร้อมกับคำสุภาษิตที่ฟังแล้วเลอะเทอะ
ของหมอโลหิตก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง!

Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ

Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ

Status: Ongoing

แปลงร่างเป็น มังกรศักดิ์สิทธิ์ และครองโลก! ด้วยระบบมังกร เขาจะเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวในมหาสมุทรที่ก่อตั้งวังมังกรใต้มหาสมุทร ด้วยทหารฝูงปลาและเหล่าขุนพลสัตว์ทะเลในฐานะผู้ติดตามของเขา รวมทั้งสัตว์ทะเลขนาดมหึมาในฐานะลูกน้องคนสนิทของเขา เขาคือจักพรรดิ์มังกรผู้ปกครองวังมังกรศักดิ์สิทธิ์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท