ตอนที่ 244 การประลองของเสี่ยวหยู
“อาณาจักรขอบเขตการฝึกฝนที่เหนือกว่าระดับก่อกำเนิดลมปราณ
มักถูกมองว่าเป็นเพียงแค่ในตำนานเท่านั้นเนื่องจากลมปราณและ
พลังงานจิตวิญญาณทางธรรมชาติในยุคเสื่อมโทรมนี้ มีเหลืออยู่น้อย
มาก!”
“แต่อย่างไรก็ตามขอบเขตดังกล่าวน่าจะมีอยู่จริง กระผมสามารถ
รู้สึกได้ถึงมันอย่างเลือนลางแต่ก็ยากที่จะพัฒนาและบรรลุไปถึงได้!”
โม่ชิงหลงหันไปตอบกับหวังเสียน
หวังเสียนพยักหน้าเล็กน้อย ระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าระดับก่อ
กำเนิดลมปราณถูกเรียกว่าระดับ จิตวิญญาณเทพ โดยผู้คนในโลก
ยุทธภพ แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณส่วนมากจะเรียกมัน
ว่าระดับ ขอบเขตเม็ดยาเซียน
เพราะการที่จะต้องฝึกฝนและผ่านขั้นตอนนี้พวกเขาจะต้องบีบอัด
พลังงานในเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายของพวกเขาเพื่อรวบรวม
มันและขึ้นรูปเป็นรูปทรงกลมลักษณะคล้ายกับเม็ดยา หลังจากนั้น
พวกเขาจะต้องหลอมรวมมันเข้ากับจุดตันเถียนของพวกเขา
แต่อย่างไรก็ตามขั้นตอนการบีบอัดพลังงานทั้งหมดในเส้นลมปราณ
นั้นยากมากเนื่องจากกระแสพลังงานจิตวิญญาณทางธรรมชาติของ
โลกใบนี้นั้นบางเบามากเกินไป มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกฝนวิชา
ยุทธในยุคเสื่อมโทรมนี้ จะสามารถฝึกฝนไปจนถึงระดับขอบเขตขั้น
นั้นได้
และส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือคุณลักษณะของธาตุ
ผู้ที่จะฝึกฝนจนไปถึงระดับ ขอบเขตเม็ดยาเซียน ต้องมีคุณลักษณะ
ของธาตุประจำกายเสียก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขอบเขต
ดังกล่าวได้ เช่น ผู้มีลักษณะธาตุประจำตัวเป็นธาตุไม้ พวกเขาสามารถ
สร้างจิตวิญญาณเทพหรือขอบเขตเม็ดยาเซียนคุณลักษณะธาตุไม้ใน
จุดตันเถียนของพวกเขาได้ ส่วนผู้ที่มีคุณลักษณะประจำตัวเป็นธาตุ
อื่น ๆ ก็จะสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น
ขณะที่หวังเสียนกำลังสนทนากับโม่ชิงหลงการประเมินก็ดำเนินต่อไป
อย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้าก็มีผู้ที่สมัครผ่านการคัดเลือกเพียง 25 คนจากจำนวนผู้สมัคร
เริ่มต้นกว่า 110 คน ผู้สมัครที่เหลืออีก 25 คนจะได้รับคุณสมบัติใน
การเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟ
มีผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับอัจฉริยะมากมายในกองกำลังชั้นหนึ่งที่ล้มเหลว
ในการประเมิน จากสิ่งนี้เราสามารถบอกได้ว่าการประเมินของสำนัก
วังเปลวไฟ เข้มงวดเพียงใด
ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าสำนักวังเปลวไฟนั้นมีความแข็งแกร่ง
และทรงพลังมากขนาดไหน!
สำหรับกองกำลังธรรมดาทั่วไป ในสายตาของพวกเขานั้นสำนักวัง
เปลวไฟยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว!
“การคัดเลือกสาวกที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีสิ้นสุดลงแล้ว!”
หลัวฟางหัว มองไปยังกลุ่มของผู้ที่ผ่านการทดสอบที่สามารถเข้า
ร่วมสำนักวังเปลวไฟได้ ในตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างมีรอยยิ้มที่
ตื่นเต้นดีใจ
“ก่อนที่เราจะดำเนินการทดสอบและประเมินเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์รอบ
ต่อไปข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องชำระความให้เรียบร้อยเสียก่อน!”
ในขณะที่เธอพูด เธอจ้องมองไปยังกลุ่มของสำนักกระบี่พฤกษาขจี
“ท่านอาจารย์ของข้า หรือผู้อาวุโสต้วนแห่งสำนักวังเปลวไฟ ในอดีต
เคยมีเรื่องบาดหมางและความเกลียดชังเป็นการส่วนตัวกับเจ้าสำนัก
ถังแห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี และท่านอาจารย์ของข้าต้องการที่จะ
จัดการเรื่องบาดหมางในอดีตให้เสร็จสิ้นลงไปในตอนนี้!” หลัวฟาง
หัว มีรอยยิ้มเย็นชาในขณะที่เธอพูด
โอ้ววว!
แซ่ดด ๆ ๆ !
เมื่อเธอพูดจบประโยคเหล่าบรรดาชาวยุทธที่อยู่โดยรอบก็ส่งเสียงพูด
คุยกันเซ็งแซ่ขึ้นมา
ชาวยุทธหลายพันคนที่มารวมกันอยู่กลางลานจัตุรัสแห่งนี้ ต่างมอง
ไปยังสำนักกระบี่พฤกษาขจี มีทั้งคนที่สงสารและเห็นใจ บางคนแสดง
ความยินดีในการที่เห็นผู้อื่นตกอยู่ในความทุกข์ยาก และบางคนก็
แสดงออกมาอย่างนิ่งเฉยเนื่องจากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
“สำนักกระบี่พฤกษาขจี เป็นสำนักเล็ก ๆ ระดับชั้น 2 เพียงเท่านั้น
คราวนี้สำนักของพวกเขาจบสิ้นลงแล้วล่ะ! หมดหนทางแก้ไขแล้ว ผู้
อาวุโสต้วนนั้นเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟ และผู้ที่
สร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้อาวุโสต้วน ก็ยังเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนัก
กระบี่พฤกษาขจีเสียด้วย คราวนี้สำนักของพวกเขาอาจจะถูกกวาด
ล้างจนสิ้นไปเลยก็ได้!”
“ข้าว่าอย่างน้อยสำนักวังเปลวไฟคงไม่คิดจะกวาดล้างสำนักกระบี่
พฤกษาขจีทั้งสำนักหรอก ด้วยความแข็งแกร่งของสำนักวังเปลวไฟ
พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องรอจนถึงในตอนนี้ การกวาดล้างสำนักระดับ
ชั้น 2 อย่างสำนักกระบี่พฤกษาขจี น่าจะง่ายดายยิ่งกว่าการฆ่ามด!”
“สำนักวังเปลวไฟอาจจะต้องการบดขยี้พวกเขาลงในงานพิธีแสวงบุญ
เพื่อฉลองการเลื่อนระดับขั้นเป็นสำนักศักด์ิสิทธ์ิก็ได้!”
“ฮึ!”
“ท่านอาจารย์ของข้านั้นเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักระดับชั้น
ศักด์ิสิทธ์ิ ท่านอาจารย์จะไม่ลดสถานะของท่านลงไปเพื่อกวาดล้าง
กองกำลังระดับชั้น 2 โดยไร้เหตุอันควรอย่างแน่นอน!”
หลัวฟางหัว พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังอีกครั้งหนึ่ง เธอมองไปยังกลุ่ม
ชาวยุทธที่กำลังพูดคุยกันอยู่ด้วยสายตาที่เย็นชา
กลุ่มชาวยุทธที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างเงียบเสียงลงกันไปในทันที
“สำนักวังเปลวไฟของเราจะไม่กระทำการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่าง
เช่นการกวาดล้างสำนักระดับชั้น 2 อย่างแน่นอน แต่เรื่องปัญหาที่
เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นต้องได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องเช่นเดียวกัน!”
หลัวฟางหัว เงียบเสียงลงชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหันมองไปยังทาง
สำนักกระบี่พฤกษาขจี
“ส่งลูกศิษย์ที่มีฝีมือดีที่สุดของพวกเจ้าขึ้นมาบนเวทีการประลอง ตาม
ข่าวที่ข้าได้รับมาสำนักกระบี่พฤกษาขจีของพวกเจ้านั้น ดูเหมือนจะ
มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงล้ำถึงขนาดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นธิดา
สวรรค์ของสำนักเลยทีเดียว ให้พวกเราได้เห็นความสามารถของธิดา
สวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีเสียหน่อยเถอะ! หากความสามารถ
ของเธอนั้นเป็นที่น่าพอใจพวกเรายังสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง
นี้ได้ แต่หากความสามารถของเธอนั้นแย่เกินไป พวกเจ้าก็ควรจะยุบ
สำนักและแยกย้ายกันไปเสียเถอะ! ไม่ควรจะมีสำนักที่ด้อยค่าอย่างนี้
อยู่อีกต่อไป!”
ยุบสำนัก! แยกย้ายกันไป! ไม่ควรมีสำนักด้อยค่าอย่างนี้อยู่อีกต่อไป!
คำพูดของเธอในท้ายประโยคนั้นฟังดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง แรงกดดัน
ที่เคยแผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตภูเขาหวู่ต้วน ในตอนนี้เหมือน
กับกำลังจะกดทับลงไปที่คนของสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างหนัก
หน่วง จนพวกเขารู้สึกแข็งค้างและเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
“แรงกดดันของสำนักระดับชั้นศักด์ิสิทธ์ินั้นช่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแค่เจตจำนงของคนในสำนักก็สามารถสร้างแรงกดดันให้กับ
สำนักกระบี่พฤกษาขจีได้มากมายขนาดนี้ ขนาดพวกเราที่อยู่ใกล้ ๆ
กับพวกเขายังรู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ ในตอนนี้คนของสำนัก
กระบี่พฤกษาขจี คงจะแทบหายใจกันไม่ออกอย่างแน่นอน!”
“ช่างน่าหวาดกลัวมากเสียจริง ๆ !”
เหล่าชาวยุทธที่อยู่โดยรอบต่างกลั้นลมหายใจของพวกเขา พร้อมกับ
มีเหงื่อเย็น ๆ อยู่บนหน้าผาก หากในตอนนี้พวกเขานั้นเป็นคนของ
สำนักกระบี่พฤกษาขจี พวกเขาคงจะรับแรงกดดันในระดับนี้ไม่ไหว
พวกเขาบางคนคงจะเลือกคุกเข่าลงและอ้อนวอนขอความเมตตาไป
แล้ว
และในความเป็นจริงในขณะนี้ทุกคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจี ก็
กำลังตัวสั่นสะท้านกันด้วยความหวาดกลัว แต่ในแววตาของพวกเขา
ก็ยังแสดงออกถึงความทรนงและความดื้อรั้นกันเป็นอย่างยิ่ง พวก
เขายอมตายดีกว่ายอมสยบ
ใบหน้าของเจ้าสำนักถังนั้น ซีดขาวราวกับแผ่นกระดาษ คำพูดที่พูด
ว่าต้องการให้พวกเขานั้นยุบสำนักยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
นั่นจะเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุดเท่าที่เคยมีมา! บรรพบุรุษของ
เขาและบรรดาสำนักกระบี่พฤกษาขจีรุ่นก่อน ๆ คงได้ลุกออกมาจาก
หลุม เพื่อสาปแช่งเขาเป็นแน่แท้! และตัวเขาคงจะอับอายไปตลอด
ชีวิต หากว่าตัวเขานั้นต้องยุบสำนักกระบี่พฤกษาขจีลงไป
เจ้าสำนักถังมองไปยังผู้อาวุโสต้วน ผู้อาวุโสของสำนักวังเปลวไฟ
ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ผู้อาวุโสต้วน ก็มองไปที่เจ้าสำนักถังด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกแล้ว ความสามารถ
ในการที่จะเป็นคู่แข่งกัน ตั้งแต่อดีตนั้นได้หายไปแล้ว ในตอนนี้ผู้
อาวุโสต้วนมีความสามารถที่เหนือกว่าและยังอยู่ในตำแหน่งผู้
อาวุโสระดับสูงของสำนักวังเปลวไฟศักด์ิสิทธ์ิอีกด้วย เพียงแค่คำพูด
ไม่กี่คำของเขานั้นก็สามารถทำให้สำนักกระบี่พฤกษาขจีนั้นยุบตัว
ลงได้อย่างง่ายดาย
“ท่านเจ้าสำนักถัง พวกเขาเพียงต้องการให้ข้าออกไปต่อสู้กับตัวแทน
ของพวกเขา ข้าจะแสดงให้พวกเขาเห็นเองว่าสำนักกระบี่พฤกษาขจี
ของพวกเรานั้นเขาไม่ง่ายที่จะรังแก!”
เสี่ยวหยู เห็นว่าผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบมองมายังสำนักกระบี่พฤกษา
ขจีของเธอด้วยความรังเกียจ และสาเหตุนี้ก็เนื่องมาจากคนของสำนัก
วังเปลวไฟ ในตอนนี้ความรู้สึกของเธอจึงเต็มไปด้วยความโกรธ
“เสี่ยวหยู ข้าในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยจริง ๆ ที่
ทำให้เจ้าได้รับความเดือดร้อนเพราะเรื่องส่วนตัวของข้า!” เจ้าสำนัก
ถัง มองเสี่ยวหยู ด้วยความสำนึกผิด
“อย่าตำหนิตัวเองฉันนั้นเลยท่านเจ้าสำนัก ข้านั้นจะชนะพวกเขาได้
อย่างแน่นอน!” เสี่ยวหยู พูดออกมาอย่างเชื่อมั่น และจ้องมองไปยัง
กลุ่มของสำนักวังเปลวไฟ ด้วยสายตาที่เย็นชา
“อืม!”
โดยที่ว่าสำนักวังเปลวไฟนั้นระบุถึงเสี่ยวหยูโดยเฉพาะ เจ้าสำนักถัง
นั้นไม่มีทางต่อต้านพวกเขาได้ เขาทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างช้า ๆ
แล้วหันไปมองหวังเสียน
หวังเสียน ยิ้มบาง ๆ และไม่ได้พูดอะไร
การปล่อยให้ เสี่ยวหยู ได้ต่อสู้จะเป็นการเพิ่มประสบการณ์และสร้าง
รากฐานความมั่นคงให้กับการฝึกฝนของเธอ
เมื่อเสี่ยวหยู ก้าวเข้ามาสู่โลกยุทธภพแล้ว บางครั้งเธอจะต้องเผชิญหน้า
กับปัญหาด้วยตัวของเธอเอง และมันจะเป็นการดีอย่างมากเลยทีเดียว
ถ้าหากการเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ นั้นยังอยู่ภายใต้สายตาและ
การดูแลของหวังเสียน
ถ้าหวังเสียน ปกป้องเธอเอาไว้ใต้ปีกของเขาตลอดเวลา เสี่ยวหยูจะ
ไม่สามารถกางปีกและบินออกไปเผชิญโลกกว้างได้ด้วยตัวเองอย่าง
มั่นคง
และในชีวิตจริงปัญหาบางสิ่งบางอย่าง เธอต้องเผชิญหน้ากับมัน
เพียงลำพัง!
“ข้า หวังหยู ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี ขอคำชี้แนะจาก
ศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟด้วย!”
หลังจากได้รับการอนุญาตจากเจ้าสำนักถังแล้วเสี่ยวหยู ก็ก้าวไป
ข้างหน้าและจ้องมองไปที่ หลัวฟางหัว ด้วยสายตาที่เย็นชา
“ฮึ! เด็กคนนี้อวดดียิ่งนัก! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี
อย่างนั้นรึ? ก็แค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
“โอ้ว! … นั่นคือธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีอย่างนั้น
เหรอ? เธอน่าจะอายุไม่เกิน 18 หรือ 19 ปี แต่ดูแล้วเธอน่าจะมีความ
สามารถมากพอตัวทีเดียวถึงได้เป็นธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่
พฤกษาขจี!”
“เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจเป็นลูกนอกสมรสของผู้นำสำนักกระบี่
พฤกษาขจีก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า! เธอนั้นยังเด็กมากและเธอยังสามารถเป็น
ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
เรื่องนี้พอสมควรเลยทีเดียวล่ะ ฮ่าฮ่า!”
“ดูเหมือนว่าสำนักกระบี่พฤกษาขจี คงจะหมดอนาคตอย่างแน่นอน
เลยทีเดียว ถึงให้เด็กสาวอายุเพียงเท่านี้เป็นธิดาสวรรค์ของสำนัก
ช่างน่าสมเพชเสียจริง ๆ !’
เมื่อบรรดาเหล่าชาวยุทธเห็น เสี่ยวหยู เดินออกมาข้างหน้า ทุกคน
ต่างส่ายหัวเธอนั้นยังอายุน้อยมากเกินไปและระดับขั้นวรยุทธก็ไม่
น่าจะสูงมากนัก ดูแล้วเด็กสาวคนนี้ก็น่าจะกลายเป็นเครื่องสังเวย
ให้กับความแข็งแกร่งของลูกศิษย์สำนักวังเปลวไฟเป็นแน่แท้
“ฮึ่มม!”
เสี่ยวหยูได้ยินเสียงเยาะเย้ยของฝูงชน ได้อย่างชัดเจน เธอกำดาบใน
มือของเธอเอาไว้แน่นและจ้องมองไปข้างหน้าอย่างโกรธเคือง
“เชอะ! ก็แค่ลูกเจี๊ยบตัวเล็ก ๆ ช่างหยิ่งผยองมากเสียจริง ๆ !”
เมื่อหลัวฟางหัว เห็นเสี่ยวหยูก้าวออกมา เธอก็พูดออกมาด้วยความดู
ถูกพร้อมกับมีรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเสี่ยวหยู
ได้อย่างชัดเจน แค่มองผ่านการแสดงออกของเสี่ยวหยู เธอก็รู้แล้วว่า
เด็กสาวคนนี้นั้นพึ่งออกมาท่องโลกยุทธภพเป็นครั้งแรก
“ใครอยากจะให้ความรู้แก่ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจี
บ้าง!”
หลัวฟางหัว มองไปทางสาวกของสำนักวังเปลวไฟ และถามเสียงดัง
เธอยังจงใจเลือกใช้คำว่า ‘ให้ความรู้’ อย่างประชดประชัน ทุกคนที่
ได้ยินต่างรู้ความหมายของน้ำเสียงและคำพูดของเธอเป็นอย่างดีว่า
นั่นเป็นการดูถูกเสี่ยวหยู อย่างอ้อม ๆ
“นั่นคือน้องสาวของหมอเทวะหวังใช่ไหม?”
“ใครจะคาดคิดว่าเธอนั้นจะเป็นธิดาสวรรค์ของสำนักกระบี่พฤกษา
ขจี!”
ในบรรดาลูกศิษย์ของสำนักวังเปลวไฟ มู่หวั่นหวันและชายหนุ่มอีก
สองสามคนที่อยู่รอบตัวเธอเห็นเสี่ยวหยู พวกเขารู้สึกประหลาดใจ
เล็กน้อย
“ฮึ! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีงั้นรึ? ข้าจะสั่งสอนและ
ให้ความรู้กับนางเอง!”
ริมฝีปากของมู่หวั่นหวัน ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงวันที่หวังเสียน
ทำให้พวกเธอต้องอับอายในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย
เธอนั้นค่อนข้างที่จะหวาดกลัวในอิทธิพลของหมอเทวะหวังในเมือง
เจียงเฉิง แต่ในตอนนี้ที่นี่เป็นเขตภูเขาหวู่ต้วน หนำซ้ำหมอเทวะหวัง
คนนี้ยังปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับสำนักวังเปลวไฟอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอิทธิพลและ
ความสามารถใด ๆ ของหมอเทวะหวังอีกต่อไป
“ความอับอายในวันนั้นข้าจะคืนให้น้องสาวของเจ้าในวันนี้!”
มู่หวั่นหวันเดินไปข้างหน้า เธอถือกระบี่บางที่ดึงออกมาจากเข็มขัด
ไว้ในมือและมองไปที่ เสี่ยวหยู ด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง
“ข้ามู่หวั่นหวันจากสำนักวังเปลวไฟ จะขอชี้แนะธิดาสวรรค์แห่ง
สำนักกระบี่พฤกษาขจีเอง!”
ขณะที่เธอพูดเธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าเห็นว่าเจ้า
นั้นเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ และไร้เดียงสาต่อโลกภายนอก ข้าจะต่อ
ให้เจ้าสักเล็กเล็กน้อยด้วยการที่จะใช้เพียงมือข้างเดียว!”
“ชิ! นั่นมันก็แล้วแต่เจ้า แต่ใครจะให้ความรู้ใครนี่ก็ยังไม่แน่นัก!”
เสี่ยวหยู กัดฟันและจ้องมองไปที่มู่หวั่นหวัน พร้อมกับค่อย ๆ ชัก
กระบี่ยาวของเธอออกมา
“ให้บทเรียนที่ดีกับเธอซะ! ธิดาสวรรค์แห่งสำนักกระบี่พฤกษาขจีจะ
ได้รู้จักว่าโลกยุทธภพนั้นเป็นอย่างไร และหลังจากนี้เธอจะได้สำนึก
ว่าเธอนั้นไม่ควรจะหยิ่งผยองมากเกินไป!” หลัวฟางหัว หันไปพูด
กับมู่หวั่นหวัน ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา
Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ – ตอนที่ 244
ตอนที่ 244
Posted by ? Views, Released on กันยายน 7, 2022
, Invincible Divine Dragon’s Cultivation System ระบบฝึกฝนมังกรอมตะ
Status: Ongoing
แปลงร่างเป็น มังกรศักดิ์สิทธิ์ และครองโลก! ด้วยระบบมังกร เขาจะเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวในมหาสมุทรที่ก่อตั้งวังมังกรใต้มหาสมุทร ด้วยทหารฝูงปลาและเหล่าขุนพลสัตว์ทะเลในฐานะผู้ติดตามของเขา รวมทั้งสัตว์ทะเลขนาดมหึมาในฐานะลูกน้องคนสนิทของเขา เขาคือจักพรรดิ์มังกรผู้ปกครองวังมังกรศักดิ์สิทธิ์