ตอนที่ 305 เตากลั่นและปรุงยา!
.
ในที่สุดพายุแห่งความวุ่นวายก็สงบลงอย่างเรียบร้อย
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความกระตือรือร้นของสาวๆกลุ่มนี้เลยแม้แต่น้อย
ในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นกลุ่มสาวๆทั้งสี่คน มาเคาะประตูห้องของหวังเสียน ตั้งแต่ตอนตี 5 อย่างคึกคักและกระปี้กระเป่า เพื่อที่จะลากเขาออกไปดูพิธีการชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาของเมืองเซี่ยงไฮ้ ในทุกๆเช้าเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ซึ่งถือได้ว่าเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว
หวังเสียน ถอนหายใจเล็กน้อยและรู้สึกพูดอะไรไม่ออก บางครั้งความกระตือรือล้นและพลังงานของเด็กสาวพวกนี้ก็มากจนเกินจินตนาการของเขา
หลังจากชมพิธีชักธงชาติแล้วพวกเขาก็ไปที่ร้านซาลาเปาชื่อดังในถนนซ่างจิงเพื่อทานซาลาเปากัน
ต่อจากนั้นก็ไปซื้อของกันอีกครั้ง หวังเสียน ทำได้เพียงช่วยถือถุงช้อปปิ้งของพวกเธอไว้ข้างหลัง ในขณะที่เขามองดูสาวสวยสี่คนเดินเข้าไปในร้านค้าทีละร้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หลังจากเวลาบ่าย 3 โมงเย็นพวกเขาก็หยุดพักเมื่อได้รับโทรศัพท์จากซุยหวาง
‘นี่เป็นการช้อปปิ้งที่บ้าคลั่งมากเลยจริงๆ!’
หวังเสียน ถอนหายใจออกมายาวๆและแอบบ่นอยู่ในใจของเขาอย่างเงียบๆ ในขณะที่นั่งอยู่ในรถบนถนนโบราณของเมืองเซี่ยงไฮ้
ถนนเส้นนี้ถือได้ว่าเป็นถนนโบราณที่เก่าแก่มากเลยทีเดียว เพราะตามข้างถนนหนทางนั้นเต็มไปด้วยคฤหาสน์แบบ ซื่อเหอเยวี่ยน และคฤหาสน์บางหลังยังมีลักษณะคล้ายกับจวนแม่ทัพสมัยโบราณอีกด้วย
ในเมืองเซี่ยงไฮ้ คฤหาสน์แบบซื่อเหอเยวี่ยน นั้นอาจจะมีราคาไม่กี่ร้อยล้านหยวน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถหาซื้อมาได้ เพราะคฤหาสน์ประเภทนี้โดยมากมักจะเป็นของตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจและเบื้องหลังที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง
แต่บนถนนเส้นนี้นั้นมีอาณาเขตภูเขาที่เรียกว่า ภูเขาเซิ่งซุย และบนบริเวณอาณาเขตภูเขาแห่งนี้มีคฤหาสน์ซื่อเหอเยวี่ยน ขนาดใหญ่อยู่ทางด้านหลังของภูเขา
หลายคนไม่ทราบว่าทำไมจึงตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่าเซิ่งซุย แต่ผู้คนที่รู้จักประวัติของภูเขาลูกนี้จะเรียกมันว่า ซุยเจี่ยเซิ่ง หรือ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลซุย
มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์สามแห่งในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ซึ่งเป็นตัวแทนของสามตระกูลระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังในเมืองเซี่ยงไฮ้
เมื่อหวังเสียนและกลุ่มของเขาขับรถมาถึงบริเวณทางเข้าของเขตภูเขา สาวกของตระกูลซุยก็ออกมาต้อนรับพวกเขาด้วยความเคารพ
“คารวะท่านผู้อาวุโส! ได้โปรดตามกระผมมาทางนี้เลยครับ!” ชายวัยกลางคนประสานมือคารวะกวนชูชิงอย่างนอบน้อม พร้อมกับเดินนำหน้าเพื่อพาพวกเขาเดินเข้าไปยังอาณาเขตของภูเขาเซิ่งซุย
“ค่ะ ขอบคุณมาก!” กวนชูชิงพยักหน้ารับ ในขณะที่เธอหันมองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเดินมาถึงทางด้านในของคฤหาสน์แบบซื่อเหอเยวี่ยน ลานบริเวณโดยรอบนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อกันกับประตูทางเข้า และประตูทั้ง 4 ทิศในขณะนี้ถูกเปิดออกทั้งหมด
กลุ่มสมาชิกทั้งหมดของคนตระกูลซุยแต่งตัวกันด้วยเสื้อผ้าชั้นดีและเรียบร้อยอย่างที่สุด พวกเขากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนากันด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
และหัวข้อการพูดคุยในวันนี้ส่วนใหญ่กำลังพูดถึงการรับสมัครลูกศิษย์สายตรงคนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแห่งตระกูลซุย
บางคนรู้สึกตัวสั่นและขนลุกตั้งชันเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
ความหวาดกลัวและเคารพยำเกรงต่อจักรพรรดิซุยผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งและยกระดับตระกูลซุยของพวกเขาจนมาถึงระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นถือได้ว่าเป็นเสาหลักและเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจของพวกเขาทุกๆคนในตระกูลซุยเลยก็ว่าได้
เราจะสามารถสังเกตเห็นได้ว่าพวกเขาพูดคุยกันด้วยความเคารพอย่างสุดหัวใจจริงๆเมื่อพูดถึงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของพวกเขา
“อาณาเขตและบ้านทั้งหมดในพื้นที่แห่งนี้เป็นของคนตระกูลซุยทั้งหมดเลยอย่างงั้นเหรอ?”
เสี่ยวหยูรู้สึกทึ่งและประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อหันมองไปรอบๆ พื้นที่บ้านพักรวมถึงสวนป่าธรรมชาติและบรรยากาศโดยรอบแห่งนี้กว้างขวางเหมือนกับว่าเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความกว้างขวางของอาณาเขตภูเขาแห่งนี้นั้นน่าจะครอบคลุมพื้นที่หลายตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว
“ใช่แล้วล่ะครับ! นี่คืออาณาเขตของตระกูลซุยในเขตภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลซุย และพื้นที่หลักที่สำคัญที่สุดก็อยู่ตรงด้านหน้าของพวกเรานี่เองครับ!”
ชายวัยกลางคนยิ้มและพยักหน้าตอบออกมาอย่างภาคภูมิใจ สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นจุดแข็งจุดหนึ่งของตระกูลซุยเลยก็ว่าได้
“เป็นอาณาเขตพื้นที่รอบภูเขาที่สวยงามมากเลยทีเดียว!”
“ช่างน่าประทับใจมากเลยจริงๆ!”
เสี่ยวหยู, หลานชิงเยว่ และคนที่เหลือรู้สึกประทับใจกับสถานที่แห่งนี้มากจริงๆ เฉพาะแค่เพียงซื่อเหอเยวี่ยน เพียงอย่างเดียวก็น่าจะมีมูลค่าเกินกว่าแสนล้านหยวนอย่างแน่นอน แต่นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีเงินจะสามารถมีคฤหาสน์แบบซื่อเหอเยวี่ยนเช่นนี้ได้
คณะของหวังเสียนเดินตามชายวัยกลางคนขึ้นไปที่บริเวณด้านหนึ่งของภูเขา
ในขณะนี้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าภูเขาเซิ่งซุย แห่งนี้เพิ่งได้รับการปรับปรุงและตกแต่งประดับประดาขึ้นมาใหม่ น่าจะเนื่องมาจากการจัดงานพิธีรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจักรพรรดิซุย
ภูเขาแห่งนี้มีความสูงประมาณ 40 ถึง 50 เมตร ซึ่งถือได้ว่าไม่สูงมากนัก และยังมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางของภูเขาอีกด้วย
ความร้อนแรงแห่งเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมานั้นค่อนข้างจะร้อนแรงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แต่ความร้อนส่วนมากก็ถูกป้องกันด้วยสนามพลังขนาดใหญ่หรืออาจจะเป็นวงเวทย์อาคมชนิดหนึ่งก็ได้
มีบ้านพักหลายหลังที่อยู่ด้านบนภูเขาและมีลักษณะคล้ายกับบ้านสมัยโบราณเป็นอย่างมาก
“ท่านบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนั้นพักอยู่ในเรือนหลังนี้ ขอเชิญผู้อาวุโสเข้าไปข้างในได้ตามสะดวกเลยครับ!”
ชายวัยกลางคนชี้ไปที่บ้านโบราณหลังหนึ่งที่ใหญ่มากที่สุด
“ขอบคุณมากค่ะ!”
กวนชูชิง พยักหน้าพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณและรีบเดินตรงเข้าไปในอาคารหลังนั้นในทันที
“ท่านอาจารย์คะ! ศิษย์มาแล้วค่ะ!”
“เข้ามาเถอะ!”
เสียงของซุยหวางดังขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี กลุ่มของหวังเสียนทั้งหมดเดินเข้าไปพร้อมกับกวนชูชิง
ที่ด้านในของเรือนพักเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย
“มาแล้วรึ ศิษย์รักของข้า!”
ซุยหวางวางหนังสือลงและยิ้ม เขาสวมเสื้อคลุมของตระกูลซุย หนวดเคราและทรงผมของเขาถูกจัดแต่งอย่างเรียบร้อย ท่วงท่าของเขานั้นดูสง่างามเป็นอย่างมากให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายของชนชั้นปกครองอย่างแท้จริง
เขาดูแตกต่างจากเวลาปกติที่เคยอยู่ด้วยกันในเมืองเจียงเฉิงเป็นอย่างมาก
“ว้าวว! ท่านอาจารย์ในตอนนี้ท่านดูดีเป็นอย่างมากเลยทีเดียวเลยค่ะ ท่านอาจารย์หล่อมากเลยจริงๆ เหมือนกับเจ้าสำนักใหญ่ๆที่ฉันเคยดูในทีวีเลยทีเดียว!” กวนชูชิง กล่าวชมอาจารย์ของเธอด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆๆ! เจ้าปากหวานจริงๆลูกศิษย์ข้า! แต่ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าได้รู้เอาไว้ เมื่อตอนสมัยที่ข้ายังเป็นหนุ่มๆอยู่นั้นข้าหล่อเหลามากกว่าตอนนี้หลายเท่านัก สาวๆในเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งนี้ต่างอยากได้ข้าเป็นคู่ครองกันทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ!”
ซุยหวาง หัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่เขาลูบหัวของกวนชูชิงด้วยความเอ็นดู “เสี่ยวชิง อีกสักครู่นึงเจ้าต้องไปเปลี่ยนเป็นชุดพิธีการของตระกูลซุย ข้าได้สั่งให้คนรับใช้ได้จัดเตรียมชุดไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว งานพิธีรับลูกศิษย์ในคืนนี้ เป็นพิธีที่สืบต่อกันมาแบบโบราณ มันอาจจะน่าเบื่อสักเล็กน้อยเจ้าก็ช่วยทนหน่อยก็แล้วกันนะ!”
“เอาละเอาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าก่อนเถอะ!”
“พวกเจ้านำลูกศิษย์ของข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย!” ซุยหวาง หันไปพูดกับหญิงรับใช้สองสามคน ที่ยืนรออยู่ที่ด้านนอกประตู
“เจ้าค่ะนายท่าน!” หญิงชราที่เป็นเหมือนกับแม่บ้านใหญ่ของตระกูล เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาวสองคน เธอมองไปที่กวนชูชิงด้วยความเคารพก่อนที่จะเชิญเธอออกไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
“เชิญทางนี้ค่ะคุณหนู!” หญิงชราและเด็กสาวรับใช้สองคนกล่าวเชิญกวนชูชิง พร้อมกับเดินนำเธอไปยังอีกห้องหนึ่ง
“ค่ะ!” กวนชูชิง ยิ้มออกมาบางๆก่อนที่จะเดินตามแม่บ้านชราและเด็กสาวรับใช้ไป
“ตามไปดูกันเถอะ!” เด็กสาวที่เหลือทั้งสามคน รีบวิ่งตามกวนชูชิงไปร่วมสนุกอย่างกระตือรือร้น
ตอนนี้ในห้องจึงเหลือเพียงแค่ ผู้เฒ่าซุยหวาง, หวังเสียนและโม่ชิงหลงเพียงเท่านั้น
“นี่ตาเฒ่าซุย! สถานที่พักของท่านนี่น่าประทับใจมากเลยทีเดียว!”
หวังเสียน นั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆกับผู้เฒ่าซุยหวาง
เขาจิบชาและพูดออกมาด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย
“ฮ่าๆๆ! มันต้องยอดเยี่ยมมากอยู่แล้วล่ะ เพราะนี่เป็นสถานที่ตอนที่ข้าได้เลือกตอนก่อตั้งตระกูลเป็นระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ!”
ซุยหวางภูมิใจมากขณะที่เขายกย่องตัวเองอย่างไร้ยางอาย
หวังเสียน ยิ้มออกมาเล็กน้อยเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาค่อนข้างที่จะเข้าใจอารมณ์คนแก่ขี้เหงาที่ไม่ค่อยจะมีเพื่อนอย่างตาเฒ่าซุยคนนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาอยากจะคุยโม้กับคนอื่นๆ
แต่ด้วยความที่ตัวเขานั้นไม่มีเพื่อนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันอยู่เลยจึงไม่สามารถพูดคุยกับใครได้
แต่เมื่อเขาได้มาพบกับหวังเสียน เขาจึงรู้สึกถูกชะตาและคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก
และนับตั้งแต่ที่พวกเขาลากเครื่องบินมาด้วยกันเมื่อวานนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม จนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าซุยหวางอาจจะมีอายุมากแล้ว แต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนเด็ก ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
หวังเสียน เองก็มีความประทับใจที่ดีต่อผู้เฒ่าซุยหวางคนนี้มากเช่นเดียวกัน
“ข้าสามารถสังเกตเห็นได้ว่าท่านนั้นมีของดีมากมายอยู่ในเขตภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ตาเฒ่าซุยท่านช่วยพาข้าไปเดินดูรอบๆหน่อยได้หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า! แน่นอนได้อยู่แล้วล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปเดินเที่ยวดูพื้นที่รอบๆเอง เพราะตัวข้าก็ไม่ได้จัดการดูแลพื้นที่ในตระกูลมาเกือบร้อยปีแล้ว ข้าก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันว่าเด็กๆในตระกูลพวกนี้ได้ทำอะไรไว้บ้าง!”
ซุยหวางยืนขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ เขาส่งสัญญาณให้หวังเสียนเดินออกไปพร้อมกับเขา
“นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลซุยและไม่ใช่ว่าตั้งชื่อภูเขาลูกนี้เพื่อให้มันดูขลังหรอกนะ แต่เพราะว่ามันมีสิ่งที่พิเศษตามชื่อที่ตั้งเอาไว้จริงๆ!”
ซุยหวางยิ้มและหันมองไปรอบๆ ในขณะที่พวกเขานั้นเดินอยู่บริเวณที่ด้านหลังภูเขา
“มีสมบัติดีๆอยู่ในถ้ำนั้นใช่ไหม?” หวังเสียนถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใจเย็นๆ! เข้าไปดูกันก่อนเถอะแล้วเจ้าจะรู้เอง ฮึๆๆ!”
ซุยหวางหัวเราะเบา ๆ และพาหวังเสียน เข้าไปในถ้ำที่อยู่ตรงกลางของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ในทันทีที่พวกเขานั้นเข้าไปถึงอุณหภูมิที่ร้อนแรงจากภายในถ้ำก็ปะทุออกมาอย่างรุนแรง ความร้อนที่กระจายตัวออกมานั้นมีอุณหภูมิอย่างน้อย 100 องศา
หากคนธรรมดาเข้ามาในถ้ำจะถูกเผาในทันที ถ้ำแห่งนี้เปล่งแสงสว่างเป็นสีแดงออกมา
หวังเสียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่บนผนังถ้ำและเห็นลูกปัดวิญญาณเปลวเพลิงขนาดใหญ่สองเม็ดฝังอยู่ด้านบน
ด้านล่างมีธารหินหนืดหลอมเหลวไหลผ่านและบ่อลาวาขนาดใหญ่ที่ด้านล่างของถ้ำ ที่เหนือบ่อลาวามีแท่นหินสำหรับนั่งฝึกฝนบ่มเพาะอยู่หลายแห่ง
ที่ด้านหลังของผนังถ้ำมีประตูหินสีแดงขนาดใหญ่อยู่ หวังเสียนรู้สึกสนใจเล็กน้อยว่าจะมีอะไรอยู่ที่ด้านหลังประตูแห่งนั้น
“นี่คือพื้นที่พิเศษสำหรับฝึกฝนและบ่มเพาะของสมาชิกระดับสูงของตระกูลซุย และลูกปัดวิญญาณสองลูกที่อยู่ด้านบนผนัง หนึ่งในนั้นคือสมบัติจิตวิญญาณที่สามารถกลั่นร่างกายและชำระล้างไขกระดูกเพื่อเพิ่มพรสวรรค์ให้แก่ร่างกายของผู้ฝึกยุทธได้ สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ!” ผู้เฒ่าซุยหวางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจ เพราะกว่าที่เขาจะได้รับลูกปัดเปลวเพลิงรูปนี้มา เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
“โอ้ว ไม่เลวเลย! สมบัติจิตวิญญาณระดับสูงชิ้นนี้ถือว่าดีมากเลยทีเดียวล่ะตาเฒ่าซุย!”
หวังเสียน พูดชมออกมาอย่างจริงใจ เพราะลูกปัดจิตวิญญาณทั้งสองลูกนี้ เป็นสมบัติจิตวิญญาณระดับ 10 ซึ่งสูงกว่าสมบัติจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟที่เขาได้รับมาจากคนของสำนักเทพอัคคี
[จากตอนที่ 257-260]
ถึงแม้ว่าลูกปัดเปลวเพลิงนี้จะมีระดับสูงกว่าสมบัติจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟเพียงแค่ 1 ระดับขั้น แต่อย่าประมาทเพียงเพราะว่ามันต่างกันเพียงแค่ 1 ระดับเพียงเท่านั้น เพราะระดับขั้นที่แตกต่างกันเพียงแค่ 1 ระดับนี้นั้น เปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธที่มีระดับขั้นก่อกำเนิดลมปราณขั้นกลางกับผู้ฝึกยุทธที่มีระดับขั้นก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงได้เลยทีเดียว ระดับขั้นที่แตกต่างกันนี้จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างแน่นอน
“ตามข้ามาสิน้องชายหวังเสียน! ข้าจะพาเจ้าไปดูห้องกลั่นและปรุงยาของข้า!”
ผู้เฒ่าซุยหวางยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง นี่นับว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะสามารถโอ้อวดของดีให้กับหวังเสียนดูได้
เมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปยังด้านหลังของประตูหินสีแดงนั้น ภายในมีพื้นที่มากกว่า 330 ตารางเมตรถือได้ว่ากว้างขวางเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ที่ตรงกลางห้องมีเตาปรุงยาขนาดใหญ่วางอยู่ให้เห็นอย่างเด่นชัด!
……….
จบบท