ตอนที่ 351 การซุ่มโจมตี!
.
หวังเสียนกำลังสังเกตดูการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้จุดกำเนิดที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณของเขาด้วยความหดหู่ใจ
เขาไม่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงหรือความสามารถใดๆของมันเพิ่มขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่มันดูดซับกิ่งของต้นไม้คืนวิญญาณเข้าไปแล้ว
มันยังคงยืนต้นอยู่อย่างสงบในทะเลจิตวิญญาณของหวังเสียนเหมือนกับต้นไม้ธรรมดาทั่วๆไป มีเพียงแค่ใบไม้ที่เคลื่อนไหวไปมาคล้ายกับถูกลมพัดเพียงเท่านั้น แล้วมันก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ออกมาอีกเลย!
“เฮ้อ! ช่างมันเถอะถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ต่อฉันในตอนนี้ แต่ในอนาคตมันอาจจะมีประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาบ้างก็ได้ และอย่างน้อยๆในโลกนี้ก็ไม่มีใครมีบรรพบุรุษแห่งต้นไม้อยู่ในร่างกายเหมือนกับฉัน!” หวังเสียนพูดพึมพำออกมาคล้ายกับปลอบใจตัวเอง ในขณะที่เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงเพื่อหลับพักผ่อน
….
เช้าวันรุ่งขึ้นหวังเสียน, ซุนหลิงซิ่วและหมอโลหิตรีบเดินทางไปที่สนามบินด้วยรถแท็กซี่หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากสนามบินตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากสนามบินจึงไม่มีบ้านเรือนของผู้คนอยู่ในละแวกนี้เลย
“พวกคุณมาเที่ยวที่เมืองปักกิ่งกันอย่างนั้นเหรอครับ?” คนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนมองไปที่หวังเสียนด้วยกระจกมองหลัง พร้อมกับถามออกมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขาขับรถพา กลุ่มของหวังเสียนไปที่สนามบิน
“ไม่ใช่หรอกครับพวกผมมาทำธุระกันนิดหน่อย!” หวังเสียน ตอบกลับสั้นๆ ด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ว! อย่างนั้นเหรอครับ!” ในขณะที่คนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนกำลังจะชวนหวังเสียนคุยต่อ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา
“เฮ้! เฒ่าซานมีอะไรอย่างนั้นเหรอ?” คนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนพูดขึ้นมาในขณะที่เขารับสาย
“อะไรนะ? สะพานข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นเหรอ? ฉันต้องรีบพาลูกค้าไปส่งที่สนามบินเสียด้วยสิ!” คนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนที่เขาจะวางสายและหันไปยิ้มแห้งๆให้กับหมอโลหิตที่นั่งอยู่ทางด้านข้างคนขับ
“ผมต้องขอโทษทุกคนด้วยจริงๆสะพานข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุ รถบรรทุกพลิกคว่ำชนกับรถคันอื่นๆ ในตอนนี้ถนนถูกปิดชั่วคราว ผมคงจะต้องพาพวกคุณเลี่ยงไปเส้นทางอื่นเสียแล้วล่ะ!” คนขับรถวัยกลางคนหันไปพูดกับกลุ่มของหวังเสียน
“เส้นทางที่ผมจะพาพวกคุณไปนั้นมันค่อนข้างที่จะอ้อมและอาจจะต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย พวกคุณต้องการให้ผมจะไปเส้นทางนั้นอยู่ไหมครับ?” คนขับรถแท็กซี่อธิบายออกมา
“พวกเราต้องขึ้นเครื่องบินในเวลา 10.00 น. ตราบใดที่พวกเราไม่พลาดเที่ยวบินก็ไม่มีปัญหาอะไร!” หมอโลหิตหันไปตอบคนขับรถแท็กซี่อย่างไรอารมณ์
“พวกคุณสบายใจหายห่วงได้เลย! ผมสามารถรับประกันได้ว่าจะไปส่งพวกคุณให้ถึงสนามบินก่อนเวลา 10.00 น.ได้อย่างแน่นอน ฮ่าๆ!” คนขับรถแท็กซี่พูดออกมาด้วยความมั่นใจ ขณะเดียวกันเขาก็เหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วในทันที
หวังเสียนและซุนหลิงซิ่วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ทางด้านเบาะหลัง
หวังเสียน นำไข่มุกเรืองแสงออกมาจากกล่องที่ซุนหลิงซิ่วได้รับเป็นรางวัลจากภารกิจที่นายทหารวัยกลางคนนำมามอบให้
เขาจับไข่มุกเรืองแสงพร้อมกับส่งพลังงานมังกรของเขาเข้าไปเพื่อช่วยเร่งการบ่มเพาะของซุนหลิงซิ่ว
เนื่องจากไข่มุกเรืองแสงนี้เป็นสมบัติจิตวิญญาณระดับ 9 เพียงเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าระดับความแข็งแกร่งของซุนหลิงซิ่ว หวังเสียนจึงช่วยเพิ่มพลังงานมังกรให้กับไข่มุกเรืองแสงโดยตรง
ด้วยร่างกายที่อยู่ในระดับเดียวกันกับกายาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และมีความเกี่ยวเนื่องกับธาตุแห่งแสง อีกไม่นานเธอก็จะสามารถแปลงร่างกลายเป็นมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงได้ และไข่มุกเรืองแสงนี้ก็จะกลายเป็นผลึกแก้วมังกรแสงศักดิ์สิทธิ์ระดับที่ 10 ที่เป็นอาวุธประจำกายของเธอ เช่นเดียวกับผลึกแก้วมังกรเพลิงโลกันตร์ของหวังเสียน
“ไข่มุกเรืองแสงนี้สวยงามมากเลยทีเดียว หากนำมันมาทำเครื่องประดับได้ก็คงจะดีไม่น้อย!” ซุนหลิงซิ่วนำไข่มุกเรืองแสงมาวางไว้บริเวณที่คอของเธอ และแสดงท่าทางให้หวังเสียนดู
“ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับอะไรหากนำมาให้คุณใส่ก็คงจะสวยงามมากทั้งนั้น เหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่าคุณเป็นคนที่สวยมากๆยังไงล่ะ!” หวังเสียนตอบเธอกลับไปด้วยยิ้ม ในขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าเธอ
ซุนหลิงซิ่วหน้าแดงขึ้นมาในทันที เธอก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
เอี๊ยดดดดด!
ในขณะนั้นเองรถแท็กซี่ก็เบรกอย่างกะทันหัน
“ขอโทษ! ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ผมต้องขอไปทำธุระส่วนตัวสักครู่!” หลังจากพูดจบคนขับรถแท็กซี่วัยกลางคนก็เดินลงจากรถ พร้อมกับวิ่งไปทางด้านหลังราวกับว่าเขานั้นอั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ
รถแท็กซี่คันที่กลุ่มของหวังเสียนนั่งมาตอนนี้นั้นจอดอยู่ที่ถนนสายเล็กๆ ข้างทางที่ค่อนข้างจะเปลี่ยวและรกร้าง บริเวณโดยรอบไม่ค่อยมีบ้านเรือนของผู้คนมากนัก
หวังเสียนและคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจการกระทำของคนขับแท็กซี่ พวกเขาคิดว่าชายวัยกลางคนคงจะปวดฉี่มากจริงๆ
ตุบบบ! แกร๊กๆๆ!
ในทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีวัตถุหนักๆหลายชิ้นตกลงบนพื้นและกลิ้งมาทางใต้ท้องรถ
“ไม่ดีแล้ว! นายหญิงระวัง!” หมอโลหิตตะโกนออกมาเสียงดังอย่างตื่นตระหนก
หวังเสียนและซุนหลิงซิ่วต่างก็รู้สึกประหลาดใจในการกระทำของหมอโลหิต พวกเขาตื่นตัวกันขึ้นมาในทันทีและสามารถรับรู้ได้ว่ามีคลื่นพลังอันรุนแรงที่พลุ่งพล่านปะทุออกมาจากใต้ท้องรถ!
บรึมมม!
ในวินาทีก่อนที่แรงระเบิดจะเข้ามาถึงตัว หวังเสียนรีบดึงซุนหลิงซิ่วเข้ามากอดเอาไว้ พร้อมกับใช้พลังแห่งธาตุดินสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แต่สำหรับหมอโลหิตที่นั่งอยู่ที่เบาะหน้าด้านข้างคนขับ หวังเสียนไม่สามารถช่วยเขาได้ทัน เนื่องจากเวลากระชั้นชิดมากเกินไป!
ตูมมม! ตูมตูม!
เสียงระเบิดยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถแท็กซี่คันที่กลุ่มของหวังเสียนนั่งมานั้นแหลกเหลวจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฝุ่นและควันไฟฟุ้งกระจายไปทั่วจนแทบจะมองไม่เห็นพื้นดินบริเวณนั้น
แรงระเบิดแต่ละลูกนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก แค่ระเบิดเพียงลูกเดียวก็มากพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณได้แล้ว!
แต่ระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้นั้นดังติดต่อกันเกือบสิบครั้งเลยทีเดียว
คลืนนน!
เมื่อการระเบิดสิ้นสุดลงเศษซากชิ้นส่วนรถและเศษหิน ก็ตกร่วงลงสู่พื้นดินกระจัดกระจายไปจนทั่วบริเวณ
หลังจากฝุ่นควันเริ่มจางลง หมอกควันสีเขียวก็เข้ามาปกคลุมไปทั่วบริเวณในทันที
ซ่าาาาา!
หมอกควันสีเขียวกัดกร่อนพื้นที่บริเวณโดยรอบจนหลอมละลายเป็นหลุมเป็นบ่ออย่างรวดเร็ว ควันสีดำที่พวยพุ่งออกมาจากบริเวณที่ถูกกัดกร่อนแสดงให้เห็นว่าหมอกควันสีเขียวนั้นเป็นพิษที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก
รัศมี 100 เมตรรอบบริเวณรถแท็กซี่ที่ระเบิดยังคงเต็มไปด้วยหมอกควันพิษสีเขียว ซึ่งเป็นการรับประกันได้อีกระดับหนึ่งว่าเป้าหมายนั้นจะต้องตายลงอย่างแน่นอน
“ลูกบอลอัสนีกัมปนาท ช่างน่าหวาดมากเลยจริงๆ แรงระเบิดของมันนั้นมากพอๆกับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญระดับขอบเขตเม็ดยาเซียนเลยทีเดียว!” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาไม่ไกลจากจุดที่เกิดเหตุ
“ฮ่าๆๆ! คุณชายเปี่ยน ท่านเห็นแล้วหรือยังว่าสิ่งประดิษฐ์ของตระกูลเสี่ยวของเรานั้นทรงพลังมากแค่ไหน ด้วยการโจมตีโดยลูกบอลอัสนีกัมปนาท พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับการต่อสู้ให้ยุ่งยาก ถึงแม้ว่าการสร้างมันขึ้นมาจะยุ่งยากและเสียทรัพยากรไปอย่างมากมายก็ตาม แต่ด้วยเจ้าสิ่งนี้มันจึงทำให้งานของพวกเรานั้นราบรื่นขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว!” เสียงของผู้ชายวัยกลางคนพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“ของเหลวพิษที่เปลี่ยนกลายเป็นหมอกควันของผู้อาวุโสตู้ ก็เป็นยาพิษที่ร้ายแรงมากเช่นเดียวกัน ยาพิษในระดับนี้นั้นสามารถกวาดล้างคนธรรมดาได้ทั้งเมืองเลยทีเดียว และโดยเฉพาะหากได้สัมผัสในปริมาณที่มากพออย่างเช่นในตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นสูงก็คงจะไม่รอดอย่างแน่นอน!” เสียงของชายชราอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ! การสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณสามคน ช่างเป็นเรื่องง่ายดายอย่างแท้จริง พวกเราไม่ต้องเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ก็แค่เพียงต้องใช้สมองและทรัพยากรส่วนหนึ่งก็เท่านั้นเอง!” เสียงของชายชราหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
บนหลังคาของบ้านเก่าๆหลังหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก มีคนเจ็ดคนยืนมองดูเหตุการณ์พร้อมกับพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนเอามือไขว้หลัง มีลักษณะท่าทางเหมือนกับคุณชายในตระกูลใหญ่ ชายหนุ่มคนนี้นั้นก็คือเปี่ยนเหยาฉวน นั่นเอง
ชายชราทั้งสองคนจากสำนักสวนศาลาสมุนไพร ยืนอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของเขาคล้ายกับองครักษ์
นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณอีกสี่คนอยู่ในกลุ่มของพวกเขาด้วย!
คนแรกคือชายวัยกลางคนแต่งตัวด้วยชุดรัดกุมร่างกายของเขานั้นมีประกายของไฟฟ้าบางๆอยู่รอบๆตัว
คนที่สองเป็นชายชราร่างกายผอมแห้ง ดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรงที่สามารถล้มลงได้ทุกวินาที แต่ใบหน้าและดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความมืดมนจนน่าหวาดกลัว
และอีกสองคนที่เหลือนั้นเป็นชายชรารูปร่างอ้วน พวกเขาทั้งคู่มีใบหน้าและลักษณะท่าทางที่เหมือนกันจนน่าทึ่ง
กลุ่มคนทั้งเจ็ดคนกำลังดูฉากที่เกิดขึ้นด้านล่างด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
ในขณะเดียวกันพื้นที่ด้านล่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันพิษสีเขียวภายในรัศมีร้อยเมตร
เสียงของการกัดกร่อนด้วยหมอกพิษสีเขียวยังคงดังอยู่เป็นระยะๆ บริเวณแถบนั้นดูเหมือนกับนรกบนดินเลยทีเดียว
เมื่อหยดของเหลวสีเขียวตกลงบนพื้นมันก่อให้เกิดหลุมเล็กๆ และลึกเป็นจำนวนมาก
ตรงจุดกึ่งกลางของหมอกควันสีเขียว มีหลุมขนาดใหญ่รัศมีกว่า 20 เมตรที่เกิดจากแรงระเบิดของลูกบอลอัคนีกัมปนาท
หลุมนี้ลึกกว่า 5 เมตร และสภาพของพื้นผิวที่ถูกแรงระเบิดออกไปนั้นแทบจะเนียนเรียบเหมือนกับโดนคว้านด้วยของมีคมเลยทีเดียว
“ฮึๆๆ! ดูเหมือนว่าข้าจะคิดถูกที่เชิญพวกท่านมาร่วมมือกันในครั้งนี้ !” เปี่ยนเหยาฉวนยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง
“ฮ่าๆๆ! คุณชายเปี่ยนกล่าวเกินไปแล้ว พวกเรายังไม่ได้ลงมือทำอะไรมากนักเลย!” ชายชราร่างกายผอมแห้งหัวเราะออกมาจนเห็นฟันสีเหลืองๆของเขา
“เฮ้อ! ช่างน่าเสียดายเทพธิดาแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์คนนั้นเสียจริงๆ ข้ากำลังคิดจะเล่นกับเธอให้หน่ำใจอยู่เลยทีเดียว!” เปี่ยนเหยาฉวนพูดออกอย่างเสียดาย ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังกลุ่มหมอกควันพิษสีเขียว ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
“ฮ่าๆๆ! คุณชายเปี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามย่อมไม่ขาดหญิงสาวที่สวยงามเช่นเทพธิดาแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ฉะนั้นท่านไม่ต้องเสียดายไปหรอก! แต่ทว่าท่านอย่าลืมสิ่งที่ท่านได้สัญญาเอาไว้กับพวกเราก็แล้วกันนะ ฮ่าๆๆ!” ชายชรารูปร่างอ้วนทั้งสองคนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมๆกัน
“นั่นแน่นอนอยู่แล้วล่ะผู้อาวุโส! ข้าเปี่ยนเหยาฉวนเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น!” เปี่ยนเหยาฉวนตอบออกมาด้วยท่าทางที่คล้ายกับผู้ที่มีอำนาจ
“Fu*k! แมร่งงงเอ้ยยย!”
ในขณะนั้นเองมีเสียงตะโกนสบถด่าดังออกมาจากกลุ่มหมอกควันพิษสีเขียว
“ไอ้พวกเหี้ยยยย!”
เสียงตะโกนด่าดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มีร่างโชกเลือดพุ่งฝ่าทะลุหมอกพิษสีเขียวออกมายังด้านนอก
ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดร่างนี้นั้นก็คือหมอโลหิตนั่นเอง สภาพของเขาในตอนนี้นั้นดูน่าอนาถเป็นอย่างมาก
เขาบินพุ่งทะลุออกมาจากหมอกควันพิษสีเขียวก่อนที่จะล้มลงบนพื้นอย่างหมดสภาพ และท่าทางของเขานั้นแสดงออกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เสียงตะโกนด่าและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหมอโลหิต ดึงดูดความสนใจของเปี่ยนเหยาฉวนและคนอื่นๆได้ในทันที
“โอ้โห! ยังอุตส่าห์มีคนรอดชีวิตอยู่อีกเหรอเนี่ย!” เปี่ยนเหยาฉวนพูดออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่าๆๆ! ดูสภาพของมันเสียก่อนสิ! ผิวหนังทั้งหมดของมันถูกลอกออกไปจนเห็นแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเลยทีเดียว!” ผู้อาวุโสตู้จากสำนักสวนศาลาสมุนไพร มองไปที่หมอโลหิตด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ย
“เฮ้อ! ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ที่อีกสองคนนั้นรีบตายไปเสียก่อน!” เปี่ยนเหยาฉวนพูดออกมา ในขณะที่เขาเห็นหมอโลหิตร้องครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวดหลังจากที่เขานั้นบินออกมาจากหลุมระเบิด
“ข้าอุตส่าห์เตรียมเล่นสนุกกับไอ้หมอเทวะหวังและนังเทพธิดาแห่งแสงให้สาแก่ใจเสียหน่อย!” เปี่ยนเหยาฉวนพูดออกมาอย่างหยิ่งผยอง เขามีความคิดที่อยากจะทรมานหวังเสียนและซุนหลิงซิ่วตามที่เขาพูดจริงๆ
เพราะคนพวกนี้นั้นได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับเขา ฉะนั้นเขาจึงอยากจะทำให้คนทั้งคู่นั้นตายลงไปอย่างทรมาน
แต่ในขณะที่เขาพึ่งพูดจบประโยคไป น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกก็ดังออกมาจากด้านในของหมอกควันพิษ
“ได้สิ! เจ้าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”
……….
จบบท