ตอนที่ 376 สังหารในทันที!
.
รถ RV ของหวังเสียนเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว กวนชูชิงและหลานชิงเยว่ กำลังพูดคุยเกี่ยวกับวังมังกรให้เสี่ยวหยูได้ฟัง เสี่ยวหยูรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอเต็มไปด้วยความคาดหวังเกี่ยวกับวังมังกรศักดิ์สิทธิ์ของพี่ชายเธอ
ระหว่างเดินทางเสี่ยวหยูได้พูดคุยกับพี่สะใภ้ทั้งสองของเธอจนลืมเกี่ยวกับเรื่องที่เธอถูกวางยาพิษไปได้ชั่วคราว
การพูดคุยของกลุ่มสาวๆยังคงดำเนินต่อไปตลอดทางและเสี่ยวหยูยังเล่าถึงฉากการต่อสู้ของเธอกับนายน้อยแห่งสำนัก 9 ดอกบัวให้กวนชูชิงและหลานชิงเยว่ฟังอีกด้วย
น้อยแห่งสำนัก 9 ดอกบัวนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นต้นที่เกือบจะก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นกลางแล้ว เสี่ยวหยูก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะกล้าท้าทายผู้ที่มีความแข็งแรงมากกว่าตัวเองเช่นนี้
แต่เพราะว่านายน้อยคนนั้นได้ดูถูกเธอด้วยคำพูดที่หยาบคาย และเขายังประกาศต่อหน้าชาวยุทธคนอื่นๆอีกด้วยว่าเขาสามารถใช้เพียงมือข้างเดียวต่อสู้และเอาชนะเสี่ยวหยูได้ ดังนั้นเสี่ยวหยูจึงต่อสู้กับเขาด้วยความโกรธ
ถึงแม้ว่าเสี่ยวหยูนั้นจะเพิ่งได้รับการฝึกฝนได้ไม่นาน แต่เธอก็อยู่ในระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้รับคำแนะนำและการสั่งสอนจากจักรพรรดิซุยผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตำนานแห่งโลกยุทธภพคนหนึ่งอีกด้วย ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอจึงมากกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณโดยทั่วไปมาก
เมื่อนายน้อยคนนั้นต่อสู้กับเสี่ยวหยูด้วยมือเพียงข้างเดียว หลังจากสิบกระบวนท่าผ่านไป เขาก็อยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบโดยสิ้นเชิงและยังมีบาดแผลหลายแห่งตามร่างกายของเขา
ในท้ายที่สุดเขาก็ใช้มือทั้งสองข้าง มิหนำซ้ำเขายังใช้ยาพิษกระดูกดำโจมตีเสี่ยวหยูอีกด้วย เมื่อผู้อาวุโสฟางเห็นนายน้อยคนนั้นใช้ยาพิษโจมตีเสี่ยวหยู เธอก็รีบเข้าไปโจมตีนายน้อยคนนั้นด้วยความโกรธ แต่เธอก็ถูกเขาใช้ยาพิษกับเธอด้วยเช่นเดียวกัน
“พี่ชายต้องสอนบทเรียนให้กับเจ้าอันธพาลคนนั้นให้ฉันด้วยนะ! ยกเลิกการบ่มเพาะของเขาไปเลยได้ยิ่งดี เขาจะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นอีกในอนาคต!” เสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ
หวังเสียนยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้ารับ
หลังจากที่เขาได้เห็นภูเขาแห่งซากศพและสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์อันโหดร้ายที่ส่งต่อมาจากสายเลือดมังกรศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงรู้ว่าต่อไปในอนาคตนั้นเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เมื่อเขาต้องปีนป่ายขึ้นไปยังจุดสูงสุดของจักรวาล นิสัยใจคอรวมถึงความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
เขานึกถึงการสูญเสียชีวิตนับล้านๆชีวิตในสงครามทำลายล้างเผ่าพันธ์ของจักรวาลระดับสูงที่เขาได้เห็น
สงครามและความตายเป็นสิ่งที่เขาจะต้องประสบในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และโดยเฉพาะเมื่อตัวเขาเพิ่งผ่านสงครามนองเลือดที่เรียกได้ว่าสูญเสียสาวกแห่งวังมังกรเกือบจะทั้งหมดของเขาไป ความโหดร้ายและความเย็นชาจึงค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของเขาอย่างช้าๆ
สิ่งต่างๆเหล่านี้สอนหวังเสียนให้ได้รับรู้ว่ามีเพียงความแข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมชะตากรรมชีวิตของตนเองและคนที่เขารักได้
และหากต่อนี้ไปมีใครมาสร้างความขุ่นเคืองต้องการทำร้ายคนที่เขารักรวมถึงเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เขาจะฆ่าและกวาดล้างพวกมันให้สิ้น!
สงครามในระดับใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าถูกหรือผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์และสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากร มีเพียงสิ่งเดียวนั้นก็คือการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้พินาศย่อยยับได้มากที่สุด
การตัดสินใจที่จะทำลายล้างชีวิตนับไม่ถ้วนเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากสำหรับผู้อื่น
แต่ในขณะนี้อารมณ์ของหวังเสียน กลับสงบเยือกเย็นจนน่ากลัว
ในความคิดของเขาเขาไม่มีความตั้งใจจะสังหารผู้ที่บริสุทธิ์ แต่เขาก็จะไม่ใจอ่อนเหลือต้นตอแห่งปัญหาให้กลับมาสร้างความเดือดร้อนในภายหลังให้แก่เขาและคนที่เขารักอย่างเด็ดขาด
สำนัก 9 ดอกบัวและทุกๆคนที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกทำลายและถูกสังหารทิ้งให้หมด
…
เมืองเทียนเฉิงอยู่ไม่ไกลจากเมืองเจียงเฉิงมากนัก ใช้เวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 6 ชั่วโมง
หลังจากนั้นคณะของหวังเสียนก็เดินทางไปถึงเมืองเทียนเฉิงเวลาประมาณ 15.00 น.
“นายท่าน! พวกเรามาถึงแล้วขอรับ!” เมื่อโม่หยวนจอดรถในเขตชานเมือง เขาก็หันมารายงานกับหวังเสียน
“อืมม! เช่นนั้นก็ลงไปกันเถอะ!”
หวังเสียนพยักหน้าก่อนที่เขาจะอุ้มเสี่ยวหยูไปที่รถเข็นขณะที่ลงจากรถ
“พี่!ที่ตรงนั้น!” เสี่ยวหยูชี้ไปที่เทือกเขาตรงด้านหน้า
“ภูเขาเหล่านั้นเรียกว่าเทือกเขาเทียมเมฆ ตรงเขตใจกลางของเทือกเขามีทะเลสาบที่สวยงามมากเลยทีเดียว มันเป็นสถานที่ตั้งของสุสานโบราณ ที่พวกเราได้เข้าไปในก่อนหน้านี้!”
“ไปกันเถอะ! พี่จะแก้แค้นให้กับเธอ!” หวังเสียนพูดกับเสี่ยวหยูด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาผลักรถเข็นของเธอไปข้างหน้า
โม่หยวนและโม่ชิงหลงเป็นผู้นำทาง ตามมาด้วยหวังเสียนที่เข็นรถเข็นให้กับเสี่ยวอยู่และทั้งสองสาว ในขณะที่เห่าฟ้าก็วิ่งวนไปมาและเอาหัวถูกับขาของหลานชิงเยว่ด้วยความรักใคร่
กลุ่มคนห้าคนกับรถเข็นที่มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักนั่งอยู่ เดินมาพร้อมกับสุนัขหนึ่งตัว ไม่ว่าใครมองก็เห็นว่าคณะของหวังเสียนนั้นเป็นแค่นักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไปเพียงเท่านั้น
“หยุดตรงนั้น!”
เมื่อคนทั้งหกคนเดินมาถึงทางเข้าของเทือกเขาเทียมเมฆ ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ในชุดของชาวยุทธก็ตะโกนออกมาพร้อมกับจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
เครื่องแบบของพวกเขานั้นเป็นชุดสีขาวที่มีดอกบัวสีดำปักอยู่ตรงทางด้านหน้าและด้านหลัง
“พื้นที่โดยรอบบริเวณนี้ถูกปิดกั้นแล้ว ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามา! พวกเจ้าจงออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มทั้งสองคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง พวกเขาจ้องมองไปที่กวนชูชิงและหลานชิงเยว่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“คนพวกนี้เป็นคนของสำนัก 9 ดอกบัวอย่างรั้นรึ?” หวังเสียนมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยสายตาที่เย็นชา ขณะที่เขาหันไปถามเสี่ยวหยู
“ใช่แล้วล่ะพี่ชาย! เมื่อดูจากชุดของพวกเขาแล้ว คนพวกนี้น่าจะเป็นคนของสำนัก 9 ดอกบัวอย่างแน่นอน!” เสี่ยวหยูขมวดคิ้วขณะที่เธอตอบหวังเสียน
“หือ? พวกเจ้ารู้จักสำนัก 9 ดอกบัวของพวกข้าด้วยอย่างนั้นรึ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจในขณะที่เขาถามหวังเสียน
“พวกเจ้ามาจากกองกำลังไหน? เนื่องจากพวกเจ้ารู้ว่าพวกเรานั้นเป็นคนของสำนัก 9 ดอกบัว พวกเจ้าก็ควรจะรู้ว่าสุสานโบราณตอนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักเรา หากว่าพวกเจ้าต้องการจะเข้าไป พวกเจ้าจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าให้กับพวกเรา!” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกับแสยะยิ้มในขณะที่ยังคงจ้องมองกวนชูชิงและหลานชิงเยว่อย่างไ้ม่วางตา
“เอ๋!? เด็กสาวคนนั้น?” เมื่อชายหนุ่มคนนั้นพูดจบ เพื่อนของเขาที่อยู่ข้างๆก็มองไปที่เสี่ยวหยู พร้อมกับอุทานขึ้นมาในทันทีเมื่อเขาจำเสี่ยวหยูได้
“เธอเป็นเด็กสาวที่ต่อสู้แล้วพ่ายแพ้ให้กับนายน้อยของพวกเราใช่หรือไม่?”
“โอ้วว! ใช่จริงๆด้วย! เจ้ากลับมาที่นี่ทำไมอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าต้องการกลับมาเป็นนางบำเรอของนายน้อยของพวกเรากันล่ะ ฮ่าๆๆ!”
“ฮ่าๆๆ! เด็กสาวคนนี้นั้นช่างโง่จริงๆ ถึงกับกล้าท้าทายนายน้อยของพวกเรา!”
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองคนจำเสี่ยวหยูได้ พวกเขาก็เริ่มล้อเลียนและเยาะเย้ยเธอในทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มทั้งสองคนเสี่ยวหยูก็โกรธเป็นอย่างมาก! เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าคนของสำนัก 9 ดอกบัวนั้นเคยพูดหยาบคายและดูถูกเธอหลายครั้งในวันนั้น
“ฆ่าพวกมันซะ!” ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองคนล้อเลียนและหัวเราะเสี่ยวหยูอย่างสนุกสนาน หวังเสียนก็ลูบหัวของเสี่ยวหยูเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
“ห๊ะ?”
ถึงแม้ว่าเสียงของหวังเสียนนั้นจะไม่ดังมากนัก แต่ชายหนุ่มทั้งสองคนก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน พวกเขาหยุดหัวเราะในทันทีพร้อมกับจ้องมองไปที่หวังเสียนด้วยสายตาที่ดุร้าย
“ไอ้หน้าอ่อนปากเหม็น! แกรู้หรือไม่ว่าพวกเรานั้น … “
ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งคู่จะพูดจบประโยคโม่ชิงหลงและโม่หยวน ก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับฟาดฝ่ามือไปที่ลำคอของพวกเขา
เมื่อชายหนุ่มทั้งสองคนตระหนักได้ถึงแรงบีบบังคับอันทรงพลังของโม่ชิงหลงและโม่หยวนที่แสดงออกมา ดวงตาของพวกเขานั้นก็เบิกกว้างและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้า!…”
ฉับ! ฉับ!
พรึบบบ!
พวกเขาตะโกนออกมากันได้เพียงสองคำ หัวของพวกเขานั้นก็หลุดออกจากบ่า และในทันทีนั้นเปลวไฟสีดำทมิฬก็ปรากฏบนฝ่ามือของโม่ชิงหลงและโม่หยวน เพื่อเผาทำลายซากศพของชายหนุ่มทั้งคู่จนกลายเป็นเถ้าถ่านไปในทันที
“พี่ชาย!!” เสี่ยวหยูร้องเรียกหวังเสียนด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองคนกลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา ดวงตาของเธอนั้นเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“หนทางสู่การเป็นผู้แข็งแกร่งนั้นเต็มไปด้วยเลือดการแสดงความเมตตาต่อศัตรูจะเป็นการสร้างภัยพิบัติให้แก่ตนเองในภายหลัง!” หวังเสียนลูบหัวของเสี่ยวหยูและพูดเบาๆ ในขณะที่เขาผลักรถเข็นของเธอไปข้างหน้า
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการล้างแค้นที่นองเลือดให้แก่น้องสาวของเขา!
การแสดงออกของเสี่ยวหยูนั้นเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เธอเงียบเสียงลงไปครู่ใหญ่ๆ หลังจากนั้นเธอก็เงยหน้าหันไปมองหวังเสียนด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดออกมา “ฉันจะเชื่อพี่ค่ะพี่ชาย!”
ตั้งแต่จำความได้พี่ชายของเธอนั้นดูแลเธอเป็นอย่างดี ในใจของเธอทุกสิ่งที่พี่ชายของเธอพูดนั้นถูกต้องเสมอ
ถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการสังหารคนเป็นจำนวนมากก็ตามที
“ดีมาก!” หวังเสียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้เธอ เขาต้องการให้เสี่ยวหยูนั้นได้รับรู้ว่าโลกใบนี้นั้นมีความโหดร้ายมากแค่ไหน
แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการให้เธอนั้นเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยของเธอไปมากนัก งานเปื้อนเลือดเหล่านี้นั้นจะอยู่ในมือของเขาเอง
กวนชูชิงและหลานชิงเยว่ที่เดินตามมาทางด้านหลังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเธอก็สามารถฟื้นฟูความรู้สึกนึกคิดกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
การแสดงออกของหลานชิงเยว่นั้นดีกว่ากวนชูชิงมาก
เมื่อเธอยอมรับมรดกของเทพเจ้าโบราณบรรพบุรุษแห่งคุนเผิง เธอก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความโหดร้ายของจักรวาลไปพร้อมๆกัน
และในความเป็นจริงเผ่าพันธุ์เทพเจ้าโบราณนั้นเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะชั่วร้ายในความคิดของเธอ แต่เธอก็มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองเธอไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามเผ่าพันธุ์เทพเจ้าโบราณที่เคยปฏิบัติกันมา เธอจะไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเองเพื่อใครอย่างเด็ดขาด!
……….
จบบท
…
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวปรีดากุล ของน้าค่อมชวนชื่นด้วยนะครับ
R.I.P. ขอให้น้าค่อมไปสู่ภพภูมิที่ดีนะครับ
…