“อ้า อ้า อ้ากกกก!~~”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
ที่ลานกว้างของวิลล่า เสี่ยวหรันนั่งอยู่ที่พื้น ด้านบนเหนือศีรษะของเขามีมังกรไฟศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากผลึกแก้วมังกรของหวังเสียนกำลังปลดปล่อยลมหายใจของมังกรพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงเพื่อหลอมกลั่นร่างกายของเขา
เปลวไฟลุกโชนปกคลุมไปทั่วร่างของเขา จนผิวหนังเขาแดงก่ำเหมือนกุ้งต้ม ถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่เขาก็พยายามกัดฟันอดทนอย่างเต็มที่
หวังเสียนยืนมองด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ตัวเขาก็ให้การช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เมื่อร่างกายของเสี่ยวหรันไม่สามารถรองรับความร้อนจากลมหายใจของมังกรไฟได้ เขาก็ใช้พลังงานชีวิตแห่งธาตุไม้เข้าไปรักษากล้ามเนื้อและผิวหนังที่ถูกแผดเผาจนปริแตกให้หายได้ในทันที
นอกจากนี้เม็ดยาจิตวิญญาณระดับสี่ยังคงอยู่ในปากของเสี่ยวหรัน พลังงานอันทรงพลังที่บรรจุอยู่ในเม็ดยาก็ถูกดูดซับอย่างรวดเร็ว
บูมมมม!
อ๊าาาาา!
หลังจากกินยาเข้าไปสี่เม็ด คลื่นพลังอันรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเสี่ยวหรัน จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นฟ้าและร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“กินสิ่งนี้เข้าไป!”
หวังเสียน ส่งเมล็ดบัวสีขาวสามเมล็ดเข้าไปในปากของเสี่ยวหรัน
เมล็ดของดอกบัวปฐพีขาว 9 กลีบ สามารถชะล้างไขกระดูกสร้างกล้ามเนื้อเพิ่มสมรรถภาพของร่างกายให้รองรับกับระดับก่อกำเนิดลมปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เปลวไฟจากลมหายใจของมังกรไฟศักดิ์สิทธิ์ยังคงหลอมกลั่นและปรับแต่งร่างกายของเสี่ยวหรันอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำจิตวิญญาณแห่งธาตุไฟของเสี่ยวหรันก็ยังเพิ่มระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งด้วย
เมล็ดของดอกบัวที่เป็นยาสมุนไพรระดับหกบวกกับการหลอมกลั่นร่างกายจากลมหายใจของมังกรไฟศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เสี่ยวหรันสามารถยกระดับความสามารถทางร่างกายและระดับขั้นการบ่มเพาะขึ้นไปพร้อมๆกัน
“ดูดซับพลังงานนี้ต่อไปและค่อยๆ ปรับรากฐานของเจ้าให้เข้ากับระดับความแข็งแกร่งในตอนนี้ให้เร็วที่สุด!”
หวังเสียนพูดออกมาเบาๆ ขณะที่เขาใช้ความสามารถพิเศษของดวงตาตรวจสอบอาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกของเสี่ยวหรัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหวังเสียนก็ดึงผลึกแก้วมังกรแห่งธาตุไฟกลับไปเก็บไว้ในร่างกายของเขาดังเดิม
ในตอนนี้เสี่ยวหรันที่ร่างกายยังคงเต็มไปด้วยเปลวไฟสีน้ำเงินอันร้อนแรง ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น
แสงสีน้ำเงินสว่างวาบออกมาจากดวงตาของเขา เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
คลึกๆๆ!
เสียงของกระดูกดังลั่นออกมาจากร่างกายของเขา จนฟังคล้ายกับเสียงของฝูงม้ากำลังวิ่งอยู่ในระยะไกล
เปลวไฟสีน้ำเงินค่อยๆไหลรวมกลับเข้าไปในร่างกายของเขา
คลื่นพลังของผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาจนเป่าเศษใบไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบๆร่างกายของเขาจนปลิวกระจัดกระจายออกไปไกลหลายสิบเมตร
แววตาของเสี่ยวหรันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขามองไปที่หวังเสียนด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ
“ท่านอาจารย์!… ข้าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณได้แล้วขอรับท่านอาจารย์! ศิษย์ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากจริงๆ”
เสี่ยวหรันคุกเข่าลงพร้อมกับก้มศีรษะลงจนติดพื้น กล่าวขอบคุณหวังเสียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“รีบลุกขึ้นเถอะ! กลับเข้าไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ ในตอนบ่ายของวันนี้พวกเราจะไปที่ปักกิ่งกัน!” หวังเสียนพูดกับเสี่ยวหรันด้วยรอยยิ้มขณะที่เอื้อมมือไปลูบหัวของเขาเบาๆ
“ขอรับท่านอาจารย์!”
เสี่ยวหรันยิ้มกว้างออกมาแต่ดวงตาของเขายังคงชื้นไปด้วยน้ำตา เขารีบลุกขึ้นและวิ่งกลับเข้าไปที่วิลล่าในทันที
หวังเสียนยิ้มและส่ายหัว เขาเองก็เดินกลับเข้าไปที่วิลล่าและเอนกายลงบนโซฟาจิบชาบางๆ ในขณะที่เปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อเช็คข้อมูลบางอย่างในเว็บไซต์แห่งโลกยุทธภพ
ข้อมูลข่าวสารที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในขณะนี้ของเว็บไซต์แห่งโลกยุทธภพนั่นก็คือการจัดอันดับของเทียนเจียว
ในทุกๆ 2 ปีโลกยุทธภพจะทำการจัดอันดับเทียวเจียวขึ้นมาใหม่
การจัดอันดับเทียนเจียวไม่ได้มีผลประโยชน์เพียงแค่สร้างชื่อเสียงเพียงเท่านั้น แต่ยังมีการแจกรางวัลให้แก่ผู้ที่สามารถติดอันดับเทียนเทียวในอันดับต้นๆอีกด้วย เช่นน้ำพุจิตวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณรวมถึงเม็ดยาจิตวิญญาณ และในบางครั้งก็ยังมีอาวุธระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณเป็นรางวัลให้แก่ผู้ที่มีความสามารถอันโดดเด่นอีกด้วย
เสี่ยวหยู, ผู้อาวุโสฟางและกลุ่มคนของสำนักกระบี่พฤกษาขจีส่วนหนึ่ง ก็กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่จัดงานการจัดอันดับเทียวเจียว และการเดินทางในครั้งนี้สำนักกระบี่พฤกษาขจีก็กำลังจะเตรียมตัวประกาศตัวเลื่อนระดับชั้นกลายเป็นสำนักระดับชั้นที่ 1
หวังเสียนไม่ได้มีความเห็นหรือสั่งห้ามใดๆกับเสี่ยวหยูในครั้งนี้ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเธอและผู้อาวุโสฟาง คงจะไม่มีใครในโลกยุทธภพที่จะสามารถทำร้ายพวกเธอได้
ต่อให้มีผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตหยวนอิงขั้นต้นก็คงจะไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับพวกเธอได้หากพวกเธออยู่ในร่างของมังกรอสูรทมิฬ
หลังจากพักผ่อนอยู่พักหนึ่งเสี่ยวหรัน ที่ใส่ชุดฝึกซ้อมชุดใหม่ก็เดินออกมาพร้อมกับดาบในมือ
“ข้าพร้อมแล้วขอรับ ท่านอาจารย์!” เสี่ยวหรันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น
“อืม! ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราจะต้องแวะไปรับน้องสาวของเจ้าและซุนหลิงซิ่วที่ศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ด้วย!”
หลังจากนั้นหวังเสียนก็สะบัดมือออกไปเบาๆ ดาบโบราณซานลู่ก็ถูกส่งไปที่มือของเสี่ยวหรันอย่างแม่นยำ
“ดาบโบราณซานลู่เล่มนี้อาจารย์มอบให้เป็นของขวัญแก่เจ้า!”
ในก่อนหน้านี้หวังเสียนตั้งใจจะยกดาบเล่มนี้ให้กับเสี่ยวหยู
แต่หลังจากที่เสี่ยวหยูกลายเป็นมังกรอสูรทมิฬอย่างเต็มตัว ดาบโบราณซานลู่ซึ่งเป็นอาวุธระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณก็ไร้ประโยชน์สำหรับเธอในทันที มันไม่มีความแข็งแกร่งมากพอเมื่อเทียบกับดาบที่สร้างมาจากกระดูกมังกรที่มาจากส่วนหนึ่งในร่างกายของเธอเอง
“ขอบพระคุณขอรับท่านอาจารย์!”
เสี่ยวหรันแสดงความตื่นเต้นออกมาในขณะที่กล่าวคำขอบคุณต่อหวังเสียน
เขารู้ดีว่าดาบโบราณซานลู่ของอาจารย์ของเขาเล่มนี้นั้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับก่อกำเนิดจิตวิญญาณ และในคลิปวีดีโอที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่โลกยุทธภพในก่อนหน้านี้อาจารย์ของเขาก็ใช้ดาบเล่มนี้ในการสังหารกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณไปอย่างมากมายที่หุบเขาเทียมเมฆ
“อืม! ไปกันเถอะ!”
หวังเสียนพยักหน้าให้กับเสี่ยวหรัน ในขณะที่เดินนำเขาไปขึ้นรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่หน้าวิลล่า
รถแท็กซี่ได้วิ่งตรงไปที่ถนนโบราณแห่งเมืองเจียงเฉิง เพื่อไปรับเสี่ยวเหมิงน้องสาวของเสี่ยวหรันและซุนหลิงซิ่วที่ศูนย์การแพทย์มังกรศักดิ์สิทธิ์
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนก็นั่งแท็กซี่ต่อไปยังสนามบิน
เสี่ยวเหมิงในตอนนี้คือลูกศิษย์สายตรงคนแรกของซุนหลิงซิ่ว เธอได้รับการถ่ายทอดวิชาการรักษาด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์จากซุนหลิงซิ่วโดยตรง และระดับการฝึกฝนของเธอนั้นก็อยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 8 แล้ว
ด้วยระดับอายุเพียงเท่านี้ถือได้ว่าน่ากลัวเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“พวกคุณจะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอครับ?” คนขับรถแท็กซี่ถามออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ขณะที่เขากำลังขับรถตรงไปยังสนามบิน
“ไปปักกิ่ง!” หวังเสียนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ว ไปเที่ยวปักกิ่งกันอย่างนั้นเหรอครับ? ในช่วงวันหยุดฤดูหนาวเช่นนี้โดยมากทุกๆปีคนจะไปท่องเที่ยวที่เมืองปักกิ่งกันเยอะมากๆเลยนะครับ!” คนขับรถแท็กซี่ยังคงชวนกลุ่มของหวังเสียน พูดคุยต่อไปด้วยรอยยิ้ม
เอี๊ยดดดด!~~
“ไอ้**#@฿฿**! ขับรถภาษาอะไรของแกวะเนี่ย!”
ในขณะนั้นเองเมื่อคนขับแท็กซี่พึ่งจะเลี้ยวโค้งตรงทางแยก รถคันใหญ่ที่ด้านหน้าก็วิ่งพุ่งตรงเข้ามาขวางกลางถนน คนขับรถแท็กซี่ต้องรีบเหยียบเบรกอย่างกะทันหันจนรถเสียหลักไปเล็กน้อยก่อนที่จะหยุดลงที่ข้างทาง คนขับรถแท็กซี่เปิดกระจกรถและตะโกนด่าออกไปด้วยความโมโห
“หือ?” แต่ในขณะนั้นเองหวังเสียนสังเกตเห็นชาวยุทธกลุ่มใหญ่เดินลงมาจากรถคันนั้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเดินถือดาบตรงเข้ามาทางกลุ่มของหวังเสียนพร้อมกับมีเจตนาฆ่าอันรุนแรง
“ท่านอาจารย์! คนพวกนี้นั้นคือกลุ่มคนที่เคยลอบโจมตีข้าขอรับ!”
เสี่ยวหรันชี้ไปยังชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินอยู่ในกลุ่ม
“กลุ่มคนพวกนี้อย่างนั้นเหรอ?”
หวังเสียนจ้องมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เย็นชา หลังจากนั้นเขาก็ควักเงินสดออกมา 1 ปึกส่งให้คนขับแท็กซี่ที่ยังคงด่ากราดคนขับรถคันนั้นโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นอาวุธในมือของกลุ่มคนที่เดินลงมาจากรถ “คุณรีบออกไปจากที่นี่ซะ! และเงินนี่ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาของคุณ!”
“เจ้าหนู! คราวนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่!” ชายวัยกลางคนที่เคยลอบโจมตีเสี่ยวหรัน ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
“เด็กคนนี้อย่างนั้นรึ ที่อยู่ในระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ!” ชายชราสองคน หนึ่งอ้วนหนึ่งผอม ที่เดินมาพร้อมกับกลุ่มชายวัยกลางคนทั้งห้าคน หรี่ตามองไปที่เสี่ยวหรันและถามออกมา
“ฮึๆๆ! การเดินทางมาในครั้งนี้ถือได้ว่าคุ้มค่ามากจริงๆ ข้าเป็นคนที่ชอบทำลายเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ระดับสูงเช่นนี้อย่างมากเลยทีเดียว!” ชายชราร่างผอมนัยน์ตาลึกที่มีใบหน้าเรียวแหลมจนเห็นกระดูกบนโหนกแก้ม แสยะยิ้มออกมา
“อายุเพียงแค่ 15 ปีแต่อยู่ในระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ ถือได้ว่ามีพรสวรรค์ที่น่ากลัวมากจริงๆ นายหญิงทำถูกต้องอย่างที่สุดแล้ว ที่ให้พวกเรามากำจัดเด็กคนนี้เสียก่อน หากปล่อยให้มันเติบโตมากกว่านี้มันจะต้องเป็นอันตรายต่อนายน้อยอย่างแน่นอน!”
ชายชราตัวอ้วนจ้องมองไปที่เสี่ยวหรันด้วยสายตาที่เย็นชา
“พวกเจ้าเป็นคนของตระเซียวอย่างนั้นรึ? และก็เป็นกลุ่มคนที่ลอบโจมตีเสี่ยวหรันด้วยใช่หรือไม่?”
หวังเสียนกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนทั้ง 15 คน มีระดับก่อกำเนิดลมปราณขั้นต้น 2 คน ระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ 5 คน ส่วนที่เหลือนั้นอยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 9 ทั้งหมด
“เจ้าเป็นใครกัน?!”
ชายชราตัวอ้วนหรี่ตามองและถามออกมา เมื่อได้ยินคำพูดเขาหวังเสียน
“จะไปสนใจอะไร! แค่ฆ่าพวกมันเสียให้หมดซะก็สิ้นเรื่อง!” ชายชราร่างผอมพูดออกมาในขณะที่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“ไปฆ่าพวกมันให้หมด! ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าเด็กอัจฉริยะอายุ 15 ปีนั้นจะสามารถอยู่รอดได้นานขนาดไหน?”
ชายชราอ้วนออกคำสั่งกับกลุ่มคนที่เหลือ
“ครับ!”
กลุ่มคนทั้ง 13 คนที่ถือดาบอยู่ในมือขานรับคำสั่งออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ระวังตัวกันด้วย! เจ้าเด็กคนนี้นั้นสามารถปล่อยเปลวไฟสีน้ำเงินที่ทรงพลังออกมาได้!”
ชายวัยกลางคนชื่อ เซียวซีซาน ที่เคยเป็นผู้นำกลุ่มลอบโจมตีเสี่ยวหรันในก่อนหน้านี้ หันไปตะโกนบอกกลุ่มคนที่เหลือ
……….
จบบท