“พวกเราไม่รู้ว่านายน้อยซุนจะมีเงื่อนไขอะไรบ้างในการที่จะเข้าร่วมสำนักของท่าน?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งอดสงสัยไม่ได้และตะโกนถามออกไป!
สำนักที่ก่อตั้งโดยบุตรชายของคนที่ร่ำรวยมากที่สุดในมณฑลทางตอนใต้ และมีผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ที่อยู่ในระดับก่อกำเนิดลมปราณถึงสองคน ถึงแม้ว่าจะเป็นสำนักที่เพิ่งก่อตั้ง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นสำนักในอุดมคติเลยทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นด้วยทรัพยากรทางด้านการเงินและทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนบ่มเพาะรวมถึงการรับรองความปลอดภัยที่ซุนหลงเซวียนพึ่งพูดออกไป มันช่างน่าดึงดูดใจและช่วยเพิ่มการตัดสินใจให้แก่กลุ่มคนทั้งหมดได้เป็นอย่างมาก
“ขั้นตอนการเข้าร่วมสำนักของข้านั้นก็ไม่ได้ยากอะไรมากนัก เพียงแต่ผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมสำนักของข้านั้นจะต้องผ่านการทดสอบสักเล็กน้อยเสียก่อน อย่างน้อยพวกท่านต้องอยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 5 ขึ้นไป และผู้ที่อยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 9 ขึ้นไปนั้นจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้อาวุโสของสำนักโดยตรง ทรัพยากรและเงินอุดหนุนทั้งหมดของระดับผู้อาวุโสนั้นจะเหนือกว่าระดับสาวกอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว!”
ซุนหลงเซวียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มขณะที่มองไปยังชายหนุ่มคนที่ตั้งคำถาม
การรับสมัครผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับนักรบขั้นที่ 5 ขึ้นไปนั้นถือได้ว่าเป็นเกณฑ์ที่ไม่สูงมาก และซุนหลงเซวียนยังคงกล่าวถึงการที่ได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักจะได้รับทรัพยากรเป็นจำนวนมากอีกด้วย สิ่งนี้จึงสามารถดึงดูดใจผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่สูงได้ในทันที
กลุ่มชาวยุทธที่มีความแข็งแกร่งและมีชื่อเสียงหลายคนต่างแสดงความตื่นเต้นยินดีกันออกมาในทันที แม้แต่ตระกูลระดับชั้นที่ 2 บางตระกูลก็ยังคิดอยากจะเข้าร่วมสำนักที่ซุนหลงเซวียนก่อตั้ง
พวกเขารู้ดีว่าการเข้าร่วมกองกำลังระดับชั้นที่ 1 นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาระดับการฝึกฝนของพวกเขา
หากว่าพวกเขานั้นสามารถเข้าร่วมกับสำนักได้ในตอนนี้ต่อไปในอนาคตพวกเขาอาจจะกลายเป็นแกนหลักที่สำคัญของสำนักก็ได้
“หวังว่าข้าจะสามารถผ่านการทดสอบเพื่อเข้าร่วมสำนักของนายน้อยซุนได้นะ!”
“นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่สุดในการจะเข้าร่วมสำนักระดับชั้นที่ 1 เลยทีเดียว หากต่อไปในอนาคตสำนักมีชื่อเสียงมากกว่านี้มันคงจะเป็นไปได้ยากที่พวกเราจะสามารถเข้าร่วมสำนักของนายน้อยซุนได้!”
ซุนหลงเซวียนเห็นผู้คนทั้งหมดมีความกระตือรือร้นต้องการที่จะเข้าร่วมสำนักของเขา เขาจึงยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจแล้วพูดออกมาอีกว่า
“สำนักของเรานั้นมีมรดกทักษะวิชายุทธที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ฝึกฝนนั้นก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดลมปราณหรือสูงกว่าได้ หากเทียบกับทักษะวิชายุทธของกองกำลังระดับชั้นที่ 1 ทั่วๆไปแล้ว ข้ากล้ายืนยันเลยว่าทักษะวิชายุทธของสำนักข้านั้นดีกว่าของกองกำลังอื่นๆมาก!”
“ยอดเยี่ยมไปเลย! ถ้าอย่างนั้นนายน้อยซุนก็รีบดำเนินการทดสอบระดับพรสวรรค์โดยเร็วเข้าเถอะ ข้าอยากจะรีบเข้าร่วมสำนักของนายน้อยซุนจะแย่อยู่แล้ว ฮ่าฮ่า!”
“เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะขอเข้าร่วมสำนักของนายน้อยซุนด้วยอีกคน หากเงื่อนไขทั้งหมดที่นายน้อยพูดออกมาเป็นความจริง ข้าก็ยินดีที่จะร่วมหัวจมท้ายรุ่งเรืองหรือล่มสลายไปพร้อมกันกับสำนักของนายน้อยซุนด้วย!”
“ข้าก็คิดว่าข้าน่าจะสามารถเป็นสาวกระดับสูงในสำนักของนายน้อยซุนได้อย่างแน่นอน! และข้าก็ยินดีจะเป็นกำลังให้แก่นายน้อยซุนในการพัฒนาสำนักอีกแรงหนึ่งด้วย”
กลุ่มคนในห้องจัดเลี้ยงรู้สึกตื่นเต้นกันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างกระตือรือร้นกันเป็นอย่างมากที่จะเข้าร่วมสำนักของซุนหลงเซวียน
เมื่อเห็นกลุ่มคนผู้ที่มีความสามารถหลากหลายคนมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมสำนักของเขา ซุนหลงเซวียนก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันไปพยักหน้ากับชายหนุ่มคนที่ยืนอยู่ทางด้านขวามือของเขา
ชายหนุ่มคนนั้นก็เปิดฝ่ามือของเขาออกมา ลูกบอลโลหะที่มีขนาดใหญ่เท่าลูกฟุตบอลก็ปรากฏออกมา
ลูกบอลโลหะลูกนั้นมีปุ่มเล็กๆอยู่รอบๆลูกบอลอัดแน่นจนเต็มไปหมด จนดูคล้ายกับลูกบอลหนาม
หลังจากนั้นชายหนุ่มคนนั้นก็โยนลูกบอลโลหะลอยไปในอากาศที่ตรงกลางห้องโถงของงานเลี้ยง
เปรี๊ยะ! กร๊าววว!
มีเสียงคล้ายกับเสียงของโลหะที่กระทบกันดังขึ้นมา หลังจากนั้นลูกบอลโลหะก็แตกตัวออกจากกันกลายเป็นลูกปัดลูกเล็กๆ บินกระจายไปทั่วทั้งห้องจัดเลี้ยง
ราวกับว่าลูกปัดโลหะเหล่านั้นสามารถรับรู้และมองเห็นได้ พวกมันบินไปตกอยู่ตรงหน้าของกลุ่มคนหลากหลายคนอย่างรวดเร็ว
และมีลูกปัดสองลูกบินไปตกอยู่ตรงหน้าของหวังเสียนและหลานชิงเยว่ด้วย
หวังเสียนและหลานชิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับลูกปัดโลหะทั้งสองลูก หลังจากนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ามีแรงดึงดูดที่อธิบายไม่ได้ออกมาจากลูกปัด
หวังเสียนมองลูกปัดโลหะในมือก่อนที่จะหันไปพูดกับหลานชิงเยว่ “สิ่งนี้สมควรจะเป็นวิธีทดสอบพรสวรรค์แบบพิเศษของพวกเขา!”
“เทคนิคการสร้างยุทธภัณฑ์ของพวกเขานั้นช่างเหนือล้ำจริงๆ โดยเฉพาะชุดเกราะของพวกเขานั้นเหมือนกับชุดเกราะของหนังไซไฟเรื่องไอรอนแมนมากเลยทีเดียว!”
หลานชิงเยว่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หือ?” ซุนหลงเซวียนจ้องมองไปยังทิศทางที่ลูกปัดโลหะสองลูกที่พุ่งออกไปก่อนลูกปัดลูกอื่นๆ
หลังจากที่ลูกปัดโลหะทั้งหมดได้ตกลงไปอยู่ในมือของกลุ่มชาวยุทธในห้องโถงแล้ว ซุนหลงเซวียนสังเกตได้ว่าลูกปัดทั้งสองลูกนั้นได้แยกตัวออกจากลูกบอลโลหะอย่างรวดเร็วเพื่อพุ่งไปยังทางทิศทางหนึ่ง
ลูกปัดโลหะเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งของวิเศษที่สามารถสัมผัสได้ว่าบุคคลใดนั้นมีพรสวรรค์ทางด้านธาตุโลหะที่สูงหรือไม่
ลูกปัดโลหะที่พุ่งออกไปก่อนแสดงได้ถึงความสามารถที่สูงที่สุดของกลุ่มคนที่อยู่ในที่นี้ทั้งหมด
เมื่อซุนหลงเซวียนจ้องมองไปยังทิศทางที่หวังเสียนและหลานชิงเยว่นั่งอยู่ เขาก็รู้สึกตกตะลึงและดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาในทันที
เขาจ้องมองไปที่หลานชิงเยว่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย หลังจากนั้นเขาก็เดินตรงเข้าไปหาเธอพร้อมกับแสดงรอยยิ้มที่คิดว่าหล่อมากที่สุดของเขาออกมา
“แม่นางผู้งดงามท่านนี้! ลูกปัดทดสอบลูกนี้ได้ตกมาที่มือของแม่นางเป็นคนแรก ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของท่านนั้นจะยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว ฉะนั้นนี้อาจถือได้ว่าเป็นโชคชะตาระหว่างเราก็ได้ ข้าเชื่อว่าแม่นางได้ถูกกำหนดไว้ให้ได้เข้าร่วมกับสำนักของข้าโดยลิขิตแห่งฟ้าแล้วอย่างแน่นอน!”
ซุนหลงเซวียนเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหลานชิงเยว่ พร้อมกับกล่าวคำพูดของเขากับเธอด้วยมาดของคุณชายผู้สมบูรณ์แบบ
“ข้าอยากถามแม่นางผู้งดงามว่าเต็มใจจะเข้าร่วมสำนักของข้าหรือไม่?”
“ขออภัยด้วยข้าไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักของท่าน!” หลานชิงเยว่ส่ายหัวปฏิเสธพร้อมกับวางลูกปัดโลหะในมือของเธอลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะยิ้มให้กับเขาเล็กน้อยตามมารยาท
“ไม่ๆ! อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ หากว่าแม่นางเข้าร่วมกับสำนักของข้า ข้าจะให้แม่นางนั้นเป็นถึงธิดาสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ทรัพยากรบ่มเพาะและทรัพย์สินเงินทองมากมายจะมีให้แก่แม่นางอย่างไม่มีวันหมดสิ้นเลยทีเดียว!”
ซุนหลงเซวียนพูดออกมาด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ลมหายใจของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้น
หากหญิงสาวผู้งดงามผู้ได้เข้าร่วมกับสำนักของเขาและเป็นลูกศิษย์หลักสาวกคนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้คงจะไม่สามารถพ้นมือเขาไปได้อย่างแน่นอน
“ขออภัยข้าไม่สนใจ!”
หลานชิงเยว่ยังคงสายหัวและปฏิเสธ แต่ในคราวนี้ใบหน้าของเธอไม่มีรอยยิ้มเหลืออยู่อีกต่อไป
“หือ?” เมื่อซุนหลงเซวียนได้ยินคำพูดของหลานชิงเยว่ ใบหน้าและการแสดงออกของเขาก็เหมือนถูกแช่แข็งไปในทันที
นี่เธอถึงกลับกล้าปฏิเสธเงื่อนไขที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเช่นนี้ได้เชียวหรือ? แม้แต่สำนักระดับชั้นศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่สามารถจ่ายในราคานี้ให้กับเธอได้เท่ากับเขา
เขาเป็นบุตรชายของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในภาคใต้และยังเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งในระดับครึ่งขั้นก่อกำเนิดลมปราณ คุณลักษณะทั้งสองประการนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อกำเนิดลมปราณก็ยังต้องให้เกียรติเขา
และในสามกองกำลังใหญ่ของทางฝั่งมณฑลตอนใต้ ถ้าเขาเชิญบุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้ามาเพื่อร่วมสำนักกับเขาด้วยความจริงใจโดยแค่มีเงื่อนไขเพียงครึ่งเดียวของหญิงสาว เขามั่นใจว่าจะไม่มีใครปฏิเสธเขาอย่างแน่นอน
แต่ในครั้งนี้สาวสวยคนนี้กลับปฏิเสธคำเชิญของเขาถึง 2 ครั้ง มันทำให้เขารู้สึกค่อนข้างที่จะอับอาย
ซุนหลงเซวียนขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาของเขาฉายแววความไม่พอใจออกมา “แม่นางทราบหรือไม่ว่าข้านั้นเป็นบุตรชายของผู้นำตระกูลซุน แม่นางตั้งใจดูถูกตระกูลซุนของข้าอย่างนั้นหรือ?”
…..!!
เมื่อซุนหลงเซวียนแสดงความไม่พอใจและพูดจาคล้ายกับข่มขู่หลานชิงเยว่ออกมา ทุกคนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงทั้งหมดก็เงียบเสียงลงไปในทันที พวกเขาต่างจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันด้วยความประหลาดใจ
“เอ่อ!…นี่พวกเขากำลังทะเลาะกันอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
“ทำไมข้าถึงมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกันนะ!”
“ดูเหมือนว่านายน้อยซุนจะค่อนข้างไร้เหตุผลมากเลยทีเดียว มันดูคล้ายกับว่าเขากำลังจะบังคับให้คนอื่นเข้าร่วมสำนักของเขาเลย!”
ฝูงชนที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงต่างกระซิบกระซาบพูดคุยกันเบาๆ ทุกคนต่างรู้สึกไม่ค่อยจะประทับใจกับการกระทำของซุนหลงเซวียนมากเท่าไหร่นัก
ในขณะเดียวกันหลานชิงเยว่ก็จ้องมองไปยังซุนหลงเซวียนที่กำลังพูดจาคุกคามเธอด้วยความรังเกียจ
“ข้าขอบอกแม่นางเอาไว้เลยว่าในมณฑลทางตอนใต้ทั้งหมด ไม่มีสำนักใดๆที่จะสามารถหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ได้ดีเท่ากับสำนักของข้าอีกแล้ว!”
ซุนหลงเซวียน ยังคงจ้องมองไปยังหลานชิงเยว่และพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
ปังงงง!
“เจ้าแน่ใจอย่างนั้นรึ? แต่ข้าคิดว่าอุปกรณ์และสำนักของเจ้าที่เจ้ากำลังจะตั้งขึ้นมานั้นมันก็ไม่ต่างจากเศษขยะมากสักเท่าไหร่!”
ในขณะนั้นเองหวังเสียนก็วางลูกปัดโลหะกระแทกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังและพูดตอบกลับซุนหลงเซวียนด้วยความดูถูก
“หือ?”
คำพูดและการกระทำของหวังเสียน ทำให้สีหน้าของซุนหลงเซวียนจมลงไปในทันที เขาจ้องมองไปที่หวังเสียนด้วยสายตาที่ดุร้าย “บัดซบ! ไอ้คนไร้มารยาท หากว่าแน่จริงเจ้าก็จงพูดออกมาอีกครั้ง!”
“โอ้ว! นี่เจ้าหูไม่ดีด้วยหรอกรึนี่! ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดให้เจ้าฟังอีกครั้งอย่างชัดๆก็แล้วกัน ข้าบอกว่าอุปกรณ์และสำนักของเจ้าที่กำลังจะก่อตั้งขึ้นมานั้นมันไม่ต่างไปจากเศษขยะเลยแม้แต่น้อย!”
หวังเสียนมองไปที่ซุนหลงเซวียนและพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงอันดังพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างขบขัน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ซุนหลงเซวียนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมองไปที่หวังเสียน เจตนาฆ่าสว่างวาบออกมาทางแววตาของเขา ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าถึงกับกล้าพูดว่าอุปกรณ์และสำนักที่ข้าซุนหลงเซวียนก่อตั้งขึ้นมานั้นเป็นขยะเชียวรึ? หากแน่จริงเจ้าก็รายงานชื่อตระกูลและสำนักของเจ้าออกมา หลังจากนั้นพวกเราก็มาดวลกันว่าสำนักของเจ้าหรือสำนักของข้า ใครกันแน่ที่มันเป็นขยะ!”
“นี่!!…”
“นายน้อยแห่งตระกูลซุนผู้นี้บ้าไปแล้วอย่างนั้นรึ? เขาถึงกับกล้า!…”
“นี่ไม่ใช่เพียงแค่แสวงหาความตายด้วยตัวเองอีกต่อไปแล้ว! นายน้อยผู้นี้กำลังจะพาให้ตระกูลซุนของเขาถึงคราวล่มสลายลงไปด้วย!”
“โอ้พระเจ้า! นี่เขาถึงกับกล้าท้าทายราชาแห่งเมืองเจียงเฉิงผู้ดุร้ายคนนั้นเชียวหรือ?”
“เขาไม่รู้หรอกหรือว่ากำลังพูดคุยอยู่กับใคร? ช่างเป็นนายน้อยที่โง่เง่าซะจริงๆ!”
“เขาคงจะคิดว่าหมอเทวะหวังที่หน้าตาบอบบางคงจะเป็นไก่อ่อนลูกหลานเศรษฐีหน้าใหม่ในมณฑลทางตอนใต้อย่างแน่นอน! ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!”
ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงต่างจ้องมองไปที่ซุนหลงเซวียนด้วยความตกตะลึง พวกเขาต่างไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าบุตรชายของผู้นำตระกูลซุนคนนี้นั้นจะเป็นบุคคลที่โง่เง่าได้มากถึงขนาดนี้
พฤติกรรมของซุนหลงเซวียนเช่นนี้แสดงออกถึงความไร้ศักยภาพของเขาอย่างแท้จริง เขาเป็นถึงบุตรชายของผู้นำตระกูลซุนที่จัดงานเลี้ยงขึ้นในครั้งนี้ แต่กลับไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแขกที่มาเข้าร่วมในงานเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักหมอเทวะหวังมาก่อน แต่อย่างน้อยๆก็น่าจะต้องรู้จักคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลาน ที่เป็นผู้หญิงของหมอเทวะหวังราชาแห่งเมืองเจียงเฉิง นี่แสดงออกถึงวิสัยทัศน์อันต่ำชั้นของเขาได้อย่างชัดเจน
กลุ่มชาวยุทธของกองกำลังต่างๆในมณฑลทางตอนใต้ ที่มาเข้าร่วมในงานเลี้ยงครั้งนี้ต่างตัวสั่นกันเล็กน้อย ขณะที่จ้องมองไปยังหวังเสียนที่นั่งอยู่กับหลานชิงเยว่
อาจกล่าวได้ว่าทุกคนในห้องจัดเลี้ยงแห่งนี้นั้นได้รู้ถึงความน่ากลัวของหวังเสียนกันดีอยู่แล้ว ทุกคนในที่นี้ต่างไม่มีใครกล้าจะเข้าไปยั่วยุหลานชิงเยว่และหวังเสียนอย่างแน่นอน
“ฮึๆๆ! สำนักอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ได้เป็นสาวกของสำนักใดๆทั้งสิ้น!” หวังเสียนหัวเราะออกมาเบาๆในขณะที่เขาตอบคำถามซุนหลงเซวียน
“ฮ่าๆๆ! ไม่มีสำนักอย่างนั้นหรือ? ไอ้ขยะ แกมันก็แค่ขยะดีๆนี่เอง!”
แววตาของซุนหลงเซวียนจ้องเขม็งมองไปยังหวังเสียน เขาหัวเราะและพูดออกมาด้วยความดูถูก ขณะที่เจตนาฆ่าของเขานั้นรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อรู้ว่าหวังเสียนนั้นไม่มีกองกำลังใดๆหนุนหลัง
หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับกวาดตามองไปยังทุกคนในห้องจัดเลี้ยงและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งผยอง
“ใครก็ตามที่ได้รับลูกปัดโลหะในมือ แสดงว่าคนผู้นั้นสามารถมีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักของข้าได้ และในตอนนี้ผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมสำนักของข้าโปรดแสดงความจริงใจโดยการลงโทษผู้ชายคนนี้ที่กล้าดูถูกสำนักของพวกเรา ข้าสัญญาว่าจะมีรางวัลที่ยอดเยี่ยมให้แก่พวกท่านเป็นของตอบแทนให้ด้วย!”
……….