บทที่ 51 เพราะเธอคือเวินจิ้งยังไงล่ะ
เวินจิ้งที่ถูกเขาโอบรัดอยู่ในอ้อมกอดพูดเสียงเคืองๆ : “ฉันยังจะต้องตอบแทนอะไรนายอีก ทั้งๆที่นายเป็นคนที่ทำให้ฉันลำบากเองแท้ๆ”
“แล้วใครจะไปรู้ล่ะว่าจะวิ่งออกมาแบบนั้นน่ะ” มู่วี่สิงหรี่ตามอง
เวินจิ้งอึกอัก เพราะดูเหมือนว่าตอนนั้นเธอเองก็กังวลจนวิ่งไม่ลืมหูลืมตาจริงๆนั่นแหละ…
แต่ยังไงมู่วี่สิงก็ทำตามที่พูดไว้ ทุกเว็บไซต์ที่เคยมีรูปเวินจิ้งอยู่นั้นหายเกลี้ยง แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เห่อะ ทุกคนก็รู้กันหมดแล้วปะ ว่ามู่วี่สิงมีผู้หญิงของเขาแล้ว!
…
วันถัดมา เวินจิ้งไม่ต้องไปทำงาน เธอเลยพักผ่อนอยู่บ้าน
เธอไม่อยากรบกวนมู่วี่สิงที่นั่งเคลียร์งานอยู่ในห้อง เลยเอาโน๊ตบุ๊คของตัวเองออกมาตรงระเบียงพร้อมกับเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนทำงานของเธอต่อ
บ้านเก่าแก่ของตระกูลมู่ตั้งอยู่บนเทือกเขา จากระเบียงมองออกไปจะเห็นวิวที่สวยงามมากๆ สวยจนเวินจิ้งที่ทอดกายอยู่ตรงระเบียงนั้นรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันจนค่อยๆคล้อยหลับไป
ผ่านไปสักพัก มู่วี่สิงก็ออกมาหาเวินจิ้ง แสงของพระอาทิตย์สาดเข้ามายังใบหน้าที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรของเธอ แต่ถ้าหากมองดีๆแล้วล่ะก็ จะรู้ได้เลยว่าเธอเป็นผู้หญิงคนนึงที่สวยและมีเสน่ห์มากจริงๆ
เขาหรี่ตามองแล้วเอนตัวลงไปข้างๆเธอ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปจับมือเล็กๆของเธอ เธอก็ขยับตัวตื่นขึ้นมาซะก่อน
ด้วยความที่เธอหันหน้ามาทางเขาโดยไม่รู้ตัว พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เลยเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาอยู่ตรงหน้าของเธอในระยะประชิด
และด้วยความที่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามีอิทธิพลต่อเธอมากเกินไป ไหนจะยังสีหน้าที่อ่อนโยนนั่นอีก เธอเลยไม่สามารถละสายตาออกไปจากใบหน้าของเขาได้เลย
“นะ… นาย” อยู่ดีๆเธอก็รู้สึกคอแห้งผาก พูดติดๆขัดๆ
“นอนต่อเถอะ” เขาพูดพร้อมกับลูบหัวเธอ
เขาชอบทำแบบนี้ตลอด ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอเป็นลูกหมาของเขายังไงยังงั้น
“ไม่นอนแล้ว เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้ทานดีกว่า” เธอพูดพร้อมกับมองสีของท้องฟ้า นี่ก็เย็นมากแล้วสินะ
เธอที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก็โดนมู่วี่สิงดึงไว้ เลยทำให้เธอล้มลงไปบนตัวของเขา
“อยู่กับฉันก่อน วันนี้ให้แม่บ้านทำให้ก็ได้” มู่วี่สิงพูดพร้อมกับโอบกอดเธอ บรรยากาศในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินนั้น มันช่างเงียบสงบดีจริงๆ
เวินจิ้งคิดจะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมองมู่วี่สิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตั้งแต่เธอแต่งงานกับเขา เธอก็รู้สึกถึงความใกล้ชิดและความอ่อนโยนที่เขามีต่อเธอ แม้ว่าเขาจะแค่อยากแสดงให้คนอื่นเห็น แต่มันก็ดูจะสมจริงเกินไปหน่อย
สมจริงจนเธอเกือบจะตกหลุมพราง
และเธอต้องคอยดึงตัวเองกลับมาเพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางนั่นอยู่เสมอ
เวลาแห่งความเงียบสงบผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีสายเรียกเข้ามาจากตระกูลเย่โทรมาหามู่วี่สิง เหมือนกับว่าเย่กวนกวนจะไม่สบาย เย่ถิงเลยจะให้เขาเข้าไปดูหน่อย
มู่วี่สิงไม่รอช้า สำหรับเขาชีวิตคนถือว่าสำคัญที่สุด แต่ก่อนเขาออกไป เขาก็ได้หันมาบอกเวินจิ้งว่า : “นอนก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ”
“โอเค”
เวินจิ้งมองมู่วี่สิงที่กำลังขับรถออกไป พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกำลังโดนทอดทิ้ง
…
ณ บ้านตระกูลเย่
ที่จริงเย่กวนกวนต้องไปที่โรงพยาบาลแล้ว แต่เธอไม่ยอม เธอจะรอให้มู่วี่สิงมาก่อน
“ขอโทษนะคะหมอมู่ ที่ต้องเรียกให้มาดึกดื่นป่านนี้ แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ” เย่ถิงถอนหายใจ
มู่วี่สิงมอง แล้วเดินไปที่ห้องนอนของเย่กวนกวน เย่กวนกวนที่ตอนนี้ปวดหัวจนตาพร่ามัวไปหมด
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมองออกอยู่ดีว่าคนที่เข้ามา คือมู่วี่สิง
“คุณมาแล้ว”
“เย่กวนกวน ผมโทรเรียกรถฉุกเฉินให้แล้วนะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงจะมาถึงแล้ว”
“ไม่จำเป็น พอคุณมาฉันก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ” เย่กวนกวนมองมู่วี่สิงพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมา
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมา” มู่วี่สิงพูดเสียงเย็น
“คุณ! คุณพูดแบบนี้ได้ไง! ตอนนั้นที่ประเทศC ฉันเป็นคนช่วยคุณเอาไว้นะ!” เย่กวนกวนเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูด เพื่อให้มู่วี่สิงรู้สึกสำนึกบุญคุณเธอ
“เพราะงั้นผมเลยดูแลเรื่องอาการป่วยของคุณไง” มู่วี่สิงพูด แล้วรีบเอายาที่อยู่ข้างๆให้เย่กวนกวน
เธอส่ายหน้า ไม่ยอมทานยา
“ฉันไม่เข้าใจว่าเวินจิ้งมีดีกว่าฉันตรง…” เย่กวนกวนคร่ำครวญ
ก็แค่ผู้หญิงน่าเบื่อคนนึง ทำไมเขาจะต้องสนใจอะไรเธอขนาดนั้น
อย่างน้อยถ้าจะเป็นผู้หญิงของมู่วี่สิง ก็ต้องเป็นคนที่โดดเด่น มีหน้ามีตาไม่ใช่เหรอ ถึงจะเหมาะสมกัน
“เพราะเธอคือเวินจิ้งยังไงล่ะ”