บทที่ 57 รวยมากนักรึไง
พอกลับมาถึงบ้าน เวินจิ้งก็พยายามที่จะเอาสบู่เหลวมาถูๆมือเพื่อที่จะถอดแหวนออก แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ถอดมันไม่ออก
ในขณะที่เธอกำลังใช้ความพยายามที่จะถอดแหวนนั่นออกอยู่ มู่วี่สิงก็เดินเข้ามา ทำเอาเวินจิ้งตกใจ
“ห้ามถอด!” เขาอ้อมมาทางด้านหลังของเวินจิ้งแล้วรีบล้างสบู่ออกจากมือของเธอ
เวินจิ้งย่นปาก : “ฉันแค่กลัวทำมันหาย”
“หายก็ซื้อใหม่”
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เธอไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย…
“ที่จริงเราก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆซะหน่อย ไม่เห็นจะต้องซื้อแหวนที่มันแพงขนาดนี้เลย” เวินจิ้งเงยหน้ามองอย่างจริงจัง
แหวนวงนี้สมควรจะอยู่กับคนที่เขารักมากกว่า
“แหวนวงนี้มันก็ไม่ได้แพงอะไรนี่” มู่วี่สิงลากเธอออกมาจากห้องน้ำ
“300 ล้านนี่ไม่แพงหรอ…” เวินจิ้งหน้าเครียด
“มู่วี่สิง นี่นายรวยมากนักรึไง” เวินจิ้งถาม
เท่าที่เธอรู้จักเขามา เขาเป็นทั้งหมอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นทั้งผู้อำนวยการโรงพยาบาล เป็นทั้งหุ้นส่วนกับบริษัทการผลิตยาเทียนอี อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าทีมในการทำงานวิจัย
แล้วนี่เขายังจะมีอะไรที่ทำให้เธอแปลกใจได้อีก ไม่ใช่แปลกใจสิ… เรียกว่าตกใจจะดีกว่า!
“อยากรู้ไหมล่ะ” มู่วี่สิงขยับริมฝีปากบาง
เวินจิ้งช็อค…
“ไม่ไม่ไม่ นี่นายไม่กลัวว่าถ้าถึงตอนที่เราหย่ากันแล้วฉันจะฮุบสมบัติของนายไปหมดรึไง” เวินจิ้งถามซื่อๆ
เธอและมู่วี่สิงแต่งงานกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้คุยหรือสนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นไปได้ไหมว่าพอเธอหย่าแล้ว เธอจะกลายเป็นผู้หญิงตัวน้อยๆที่ร่ำรวยคนนึงน่ะ
“ไม่มีวันนั้นหรอก” มู่วี่สิงหรี่ตา
“หรือว่านายวางแผนที่จะอยู่กับผู้หญิงที่นายไม่ได้รักไปตลอดชีวิต มู่วี่สิง โลกนี้มันสวยงามมากนะ ยังมีคนที่นายรักและรักนายรออยู่” เวินจิ้งพูดด้วยท่าทีที่จริงจัง
เพราะมู่วี่สิงก็พูดกับเธอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าเขาไม่มีวันมาชอบเธอหรอก แล้วเธอก็รู้ว่าเขาพูดจริง
ถ้าไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขของเธอ เขาคงไม่ตาบอดมาแต่งงานกับเธอแน่ๆ
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว นี่เธอคิดถึงแต่เรื่องหย่าอยู่ตลอดเวลาเลยงั้นเหรอ
“นายเคยโดนผู้หญิงทิ้งมาใช่ไหม ถึงไม่เชื่อในความรักน่ะ” เวินจิ้งคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีบาดแผลทางใจ
หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงที่เข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงที่หวังผลประโยชน์จากเขา
ขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น มู่วี่สิงก็มองเธอไม่วางตา
“ฉันเชื่อแค่เรื่องการแต่งงาน” เป็นเวลานานกว่าเขาจะเปิดปากพูด
เวินจิ้งไม่เข้าใจ ที่จริงเรื่องความรักมันต้องมาก่อนเรื่องการแต่งงานไม่ใช่เหรอ
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อเรื่องความรัก แต่ทำไมเขาถึงเชื่อเรื่องการแต่งงานกันนะ
เวินจิ้งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เลยเลิกคิดแล้วเอาเวลาไปจินตนาการเรื่องสนุกๆเพื่อแก้เผ็ดเขาอย่างเรื่องฮุบสมบัติหลังการหย่าดีกว่า
แต่ถ้าเธอหย่า แม่และคุณปู่ของเธอจะต้องเสียใจมากแน่ๆ
ขอให้วันนั้นมาช้ากว่าที่เธอคิดอีกหน่อยเถอะนะ…
…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน มู่วี่สิงก็มีเคสผ่าตัดแทบทุกวัน กว่าเขาจะกลับเวินจิ้งก็หลับไปแล้ว
…
วันศุกร์ เป็นวันที่เวินจิ้งต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัด ที่จริงแล้วต้องเป็นอั้ยเถียนที่ไปแต่เธอไม่สบายเลยให้เวินจิ้งไปแทน
วันที่ออกเดินทาง เธอก็พึ่งจะรู้ว่าฉืออี้เหิงก็ไปด้วย โดยที่เขานั้นนั่งอยู่ในที่นั่งชั้นเฟริสคลาส ส่วนเธอนั้นนั่งอยู่ในที่นั่งชั้นธุรกิจ
ส่วนเสี้ยวหงนั้นล่วงหน้ามายังเมืองเป่ยเฉิงอยู่ก่อนแล้ว พอฉืออี้เหิงลงเครื่องมาเขาก็ได้พบกับเสี้ยวหงครั้งแรกแบบตัวเป็นๆ
ฐานการวิจัยและการพัฒนาที่ทั้งสองบริษัทร่วมมือกันครั้งนี้อยู่ในเมืองเป่ยเฉิง และขณะนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
เวินจิ้งนั้นทำหน้าที่เป็นเลขาให้เสี้ยวหงเป็นการชั่วคราว ตลอดการเดินทางเธอก็ได้จดบันทึกอยู่ตลอด
กว่าจะกลับมาถึงโรงแรมนั้นก็ปาไปเที่ยงคืน แต่แทนที่เธอจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เธอก็ต้องมานั่งฟังเสียงโทรศัพท์ของเธอที่มีมู่วี่สิงโทรมาหลายครั้งต่อหลายครั้ง
ครั้งนี้เธอมาทำงานที่ต่างจังหวัดกะทันหัน และไม่ทันที่จะได้บอกเขาก่อน…
พอนึกขึ้นได้อย่างนั้น เธอก็รีบโทรกลับไปหาเขาทันที
“ทำไมไปไม่บอกกันก่อน” มู่วี่สิงพูดเสียงโกรธๆ เธอไม่รับสายเขาจนเขาต้องโทรไปหาอั้ยเถียนถึงรู้ว่าเธอเดินทางไปต่างจังหวัด
“มันกะทันหัน ฉันเลยลืม… “ เวินจิ้งเกาหัวอย่างรำคาญ
“แล้วนี่เธอลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเราแต่งงานกันแล้วน่ะ” มู่วี่สิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เวินจิ้งหน้าเครียด อันที่จริงเธอชอบคิดว่าเธอยังโสดอยู่ตลอด
“เปล่าซะหน่อย” เวินจิ้งตอบอย่างนั้นไปเพราะไม่อยากให้เขาโกรธมากไปกว่านี้
“งั้นก็นอนเร็วหน่อยแล้วกัน เข้าใจไหม” เป็นเวลานานกว่าเขาจะพูดเสียงอ่อนลง
“โอเค นายก็ด้วยนะ” เวินจิ้งเตือนเขาด้วย
แม้จะวางสายไปนานแล้ว แต่เสียงของเขาก็ยังคงดังก้องอยู่ในหู
ในขณะที่เธอกำลังจะเตรียมตัวพักผ่อน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเดินไปมองตาแมว เลยได้รู้ว่าคนที่เคาะประตูห้องของเธอนั้นคือฉืออี้เหิง
“มีอะไรหรือเปล่า” เธอถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันเอายามาให้น่ะ เห็นเท้าเธอบวม” ฉืออี้เหิงส่งยาให้เธอ
เวินจิ้งขมวดคิ้ว เขารู้ได้ไงน่ะ
วันนี้เธอต้องอยู่บนรองเท้าส้นสูงทั้งวัน จนตอนนี้เท้าของเธอบวมเคล็ดไปหมด
“ขอบคุณนะ แต่ไม่จำเป็น” เวินจิ้งพูดพลางปิดประตู
แต่ฉืออี้เหิงเร็วกว่า เขาวางยาลงกับพื้นแถวๆประตูแล้วพูดขึ้น : “พรุ่งนี้เธอไม่อยากจะเดินแล้วหรอไง พรุ่งนี้ต้องเดินเยอะนะ ไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงไปแล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินออกไป
เวินจิ้งขมวดคิ้ว หยิบยาขึ้นมาแล้วโยนทิ้งอย่างไม่ลังเล พลางเรียกให้พนักงานโรงแรมมาเก็บไป
…
วันถัดมา เวินจิ้งเปลี่ยนไปใส่รองเท้าส้นเตี้ย ที่จริงแล้วเธอต้องโทรไปปลุกเสี้ยวหงด้วย
เธอลุกขึ้นจากเตียงเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พอเห็นว่าเป็นสายจากเสี้ยวหงเธอก็รีบกดรับทันที : “ลงมาที่ร้านอาหารนะ”
เวินจิ้งไม่รอช้า รีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปหาเสี้ยวหง พอไปถึงเธอก็เห็นร่างที่คุ้นตา
ซึ่งเป็นร่างของคนที่เธอพึ่งคุยด้วยเมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับมาอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว
“หัวหน้าเสี้ยวคะ” เวินจิ้งมองมู่วี่สิง พลางพูดติดๆขัดๆ : “มะ… หมอมู่”
“นั่งสิ ฉันน่าจะให้เธอมาพร้อมกับวี่สิงวันนี้เนอะ” เสี้ยวหงยิ้ม
แต่เวินจิ้งยิ้มไม่ออก ขนาดเธอมาทำงานมู่วี่สิงก็ยังตามเธอมานี่อีก
เธอไม่โอเคที่เขาทำแบบนี้เลย
“คุณผู้หญิงมู่ อย่าตกใจไปสิ ที่ไม่ได้บอกก็เพราะอยากจะมาเซอร์ไพรส์เฉยๆน่ะ” มู่วี่สิงมองเวินจิ้งแบบยิ้มๆ
พอเห็นทั้งสองคนยิ้มแบบนั้นแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเหมือนเป็นตัวตลกยังไงยังงั้น
นี่เขาไม่ได้เรียกว่าเซอร์ไพรส์แล้ว… เขาเรียกว่าทำให้ตกใจต่างหากล่ะ!
“คุณผู้ชายมู่นี่น่ารักจริงๆเลยนะคะ” เวินจิ้งพูดกัดๆพลางยิ้ม
พอฟังอย่างนั้น มู่วี่สิงก็ลูบหัวเธอป้อยๆ
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็คุยเรื่องงานกันต่อ ในขณะที่เวินจิ้งที่นั่งทานข้าวเช้าเงียบๆ ก็ได้มองทั้งสองคนคุยกันในเรื่องที่เธอไม่เข้าใจด้วยสายตาที่ชื่นชม
มู่วี่สิงมองมา แล้วเธอก็ถูกจับได้ว่าเธอกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นอยู่
เธอยิ้มกลบเกลื่อน แล้วค่อยๆก้มหน้าลง
แล้วอยู่ดีๆมู่วี่สิงก็ถามเสี้ยวหงขึ้นมาว่า : “เป็นไงบ้างครับ ภรรยาของผมมาเป็นเลขาให้”
“ดีเลย ถ้าไม่รวมเรื่องที่พิมพ์เอกสารผิดไปสามแผ่น จดรายงานการประชุมผิดไป 18 ตัว และก็ปั๊มตรายางผิดไป 1 ครั้ง”
เวินจิ้งที่ฟังอยู่พยายามสงบสติอารมณ์…
“อืม รวมๆแล้วก็ดีเลย เธอก็ไม่ได้ทำอะไรให้โปรเจกต์นี้เดือดร้อนนี่เนอะ”
เวินจิ้งเงียบไม่พูดอะไร : “… “
เสี้ยวหงยิ้ม เวินจิ้งไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าโอเคมากแล้ว
ถึงเขาจะพูดแรงๆ และจุกจิกมากแค่ไหน เธอก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงหรือบ่นอะไร ซึ่งก็ถือว่าผ่าน
“ขอโทษที่เพิ่มภาระให้หัวหน้าเสี้ยวจริงๆค่ะ วันนี้ฉันจะทำให้ดีกว่าเดิมค่ะ!” เวินจิ้งหายใจเข้าลึกๆ
“ดี แต่ติดที่ว่าวันนี้เธอไม่ต้องมาคอยเป็นเลขาให้ฉันแล้วนี่สิ”