ตอนที่ 188 ระวังตัว
“ลิซ ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? เดี๋ยวฉัน…. ฉันเอาเสื้อไปคืนเขาก็ได้…” ณ ลานบ้านของจูเลีย หญิงสาวมองไปยังสิ่งที่เผาไหม้อยู่ในถังเหล็กนั้น นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ
เอลิซาเบธจัดการโดยการดึงเสื้อเชิ้ตที่อยู่ในมือของจูเลียโยนลงไปในถังเหล็กนั้น แล้วจุดไฟด้วยไม้ขีดไฟทิ้งตามลงไปทันที ไฟลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่กี่นาทีผ้าไหมนั้นก็ถูกไฟเผาจนหลายเป็นเถ้าถ่าน เหลือเพียงกระดุมพลาสติกที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่ท่ามกลางเปลวไฟเท่านั้น
เอลิซาเบธปัดมือก่อนจะหันไปแตะไหล่ของจูเลียที่ยืนมองเปลวไฟอย่างเลื่อนลอย “อย่าไปใส่ใจมากพี่จูเลีย ถ้าพี่อยากให้คนๆนั้นออกไปจากชีวิตของพี่ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พี่ต้องทำ รีบไปเก็บของเถอะ ฉันติดต่อเครื่องบินส่วนตัวไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเราจะไปนิวยอร์กกันก่อนแต่ถ้าพี่ยังเที่ยวไม่เต็มอิ่ม เราค่อยไปลอนดอน และปารีสต่อก็ได้นะ”
“ฉันคิดว่าควรจะคุยกับผู้จัดการฉันก่อน ฉันจำได้ว่าสองวันมานี้ฉันเห็นการแจ้งเตือน…..”
“เฮ้ ตอนนี้พี่เป็นถึงซุปเปอร์สตาร์ของฮอลลีวูดแล้วนะ พี่จูเลีย พี่ไม่ใช่นักแสดงตัวเล็กๆที่ถูกผู้จัดการควบคุมตัว ไม่มีแม้แต่อิสรภาพเป็นของตัวเองแบบนั้นแล้วนะ “
“แต่….”
เอลิซาเบธพูดห้ามจูเลียทันที “ไม่มีคำว่าแต่! พาสปอร์ตพี่อยู่ไหน ถ้าไม่อยากเก็บของก็เอาไปแค่พาสปอร์ตกับบัตรเอทีเอ็มก็พอ พวกเราทิ้งทุกอย่างไว้แล้วไปเที่ยวกันเถอะ”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินส่วนตัวจากสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิสก็ทะยานสู่ท้องฟ้า
ในขณะเดียวกันผู้กำกับหนังเรื่อง The Others อย่างโจนาธาน เดมี่ ที่ได้คำแนะนำของไมเคิล ไอสเนอร์เกี่ยวกับหนัง ก็ได้ติดต่อกับเอริค หลังจากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นโจนาธาน เดมี่ก็บินไปเวนิส ณ ประเทศอิตาลีทันที เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโฆษณาเกี่ยวกับสงครามการเมืองที่จะสอดแทรกในหนังเรื่อง The Others ถึงแม้ว่าจะเหลือเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ก่อนจะถึงงานเทศกาลภาพยนตร์ของเวนิสก็ตาม แต่โจนาธาน เดมี่ผู้ซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับกับประเทศอิตาลีเลย เขาจึงต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ทุกงานยิ่งเราเตรียมพร้อมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
ไม่กี่วันจากนั้นเอริคได้พบกับคาร์พลูโดยบังเอิญ เขาได้ยินคาร์พลูพูดว่า จูเลียถูกหญิงสาวทอมบอยของตระกูลเมอร์ด๊อคพาตัวไปแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น เขาคิดไม่ถึงว่าที่จูเลียตัดสินใจไปนั้นเป็นเพราะตัวเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าถ้าหล่อนได้ไปพักผ่อนอย่างนั้นก็คงจะดีกว่า เพราะคืนนั้นที่หญิงสาวเมาและทำอะไรออกมาโดยไม่มีสติอย่างนั้นเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
ในกลางเดือนสิงหาคม หนังเรื่อง Friend ที่เอริครับผิดชอบเหลืออีกแค่สองฉากก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เขาจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง โชคดีที่นักแสดงนำทั้ง 6 คนของหนังเรื่อง Friend เข้าถึงบทบาทดีมาก จึงช่วยให้ผู้กำกับหนังที่มาทำหน้าที่แทนเอริคอย่าง เควิน ไบร์ทประหยัดแรงไปได้เยอะทีเดียว
หลังจากงานแถลงข่าวเปิดตัวหนัง ใน 1อาทิตย์นั้น บริษัทหนังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Disney , Paramount , Warner ต่างพยายามเสนอราคาให้กับเอริค วันที่สองหลังจากงานแถลงข่าว ไมเคิล ไอสเนอร์ก็เป็นอีกคนที่พยายามเสนอราคาของตัวเองเช่นกัน ส่วนแบ่งจากหนังเรื่อง The Others และ Steel Magnolias คือ 35 %จากบ๊อกออฟฟิสในอเมริกาเหนือและอีก 10 % จากบ๊อกออฟฟิสต่างประเทศ ซึ่งส่วนแบ่งนี้เอริคเองรู้ดีอยู่แล้ว จากข่าวที่เจฟฟรีย์เปิดเผย อัตราส่วนแบ่งนี้ที่ Disney เสนอออกมานั้นทำให้ Fox พึงพอใจอย่างมาก อีกทั้งส่วนแบ่งที่มากกว่า 100 ล้านนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของบ๊อกออฟฟิสในอเมริกาเหนือ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ Disney อาจจะไม่ได้รับผลกำไรใดๆเลย
ถ้าคิดอย่างละเอียดในความเป็นจริงข้อกำหนดส่วนแบ่งนี้มันมากกว่าราคาที่ Fox เสนอเสียอีก เพราะเดิมทีนั้น Fox ได้ลิขสิทธ์และสิทธิ์การจำหน่ายจากหนังหลายเรื่องของเอริค ซึ่งทำให้ทางบริษัทได้รับผลกำไรอย่างมหาศาล แต่ครั้งนี้บริษัท Firefly เห็นว่าไม่สมควรให้ลิขสิทธ์และสิทธิ์การจำหน่ายของหนังเรื่อง The Other และอีกหลายเรื่องกับ Fox อีก เขาอยากจำหน่ายเพียงแค่อเมริกาเหนือกับต่างประเทศเท่านั้น
นอกจาก Disney ผู้ที่อยากได้สิทธิ์ในการจำหน่ายหนังอันดับสองก็คงจะไม่พ้นบริษัท Paramount ตามมาด้วย Warner ส่วน Colombia นั้นไม่ได้เสนอราคาให้กับเอริคโดยตรง
วันที่สองของงานแถลงข่าว สิ่งที่เอริคคาดการณ์ไม่ถึงนั้นคือ Fox ส่งคนไปรับบทหนังเรื่อง Sleepless in Seattle และไม่กี่วันหลังจากนั้น กัลป์ตาร์ ฮันล์ ก็เข้าพบเอริค เพื่อเสนอบทหนัง Sleepless in Seattle ให้กับเอริคแลกกับหนังเรื่อง The Others ส่วนหนังเรื่อง Steel magnolia เขาไม่ได้กล่าวถึงแต่อย่างใด
เห็นได้ชัดว่าแบร์รี่ ดิลเลอร์นั้นให้ความสนใจกับวิธีการที่คิดได้ในเวลาอันสั้นของเอลิซาเบธ อีกทั้งก็ได้คิดใคร่ครวญหนังเรื่อง Sleepless in Seattle มาดีแล้ว และด้วยความที่ Fox นั้นอยากได้หนังเรื่อง The Others มาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้ดำเนินการนี้
ถึงแม้ว่าเอริคจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่เอริคก็ได้ปฏิเสธสิ่งที่ Fox นั้นเสนอมา เขาคิดว่าถ้าตอบตกลงไปก็ต้องมีการเจรจาแก้สัญญากันอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดอะไรขึ้นในช่วงนี้มันเป็นอะไรที่ยากจะตัดสินใจ ตั้งแต่ Disney และ fox ได้เสนอราคาเดียวกัน ซึ้งเอริคเองนั้นก็ไม่อยากมีปัญหาใดๆกับ Disney
หลังจากตัดสินใจว่าจะไม่ร่วมการแข่งขันนี้แล้ว Firefly และ Disney จึงรีบเซ็นสัญญาจัดจำหน่ายหนังสองเรื่องนี้ทันที
ณ งานเลี้ยงหลังเซ็นสัญญา “เอริค ได้ยินมาว่าคุณจะเปิดเส้นทางใหม่กับ Pixar เหรอ?” ไมเคิล ไอสเนอร์ถามขึ้น
เอริคที่กำลังแกว่งแก้วไวน์แดงที่อยู่ในมือหันมาตอบว่า “ใช่ครับ ผมสนใจอยากจะทำการ์ตูนอนิเมชั่น เลยอยากลองซื้อไว้เล่นๆดูนะครับ”
“ยัง….เด็กจริงๆเลยนะ” ไมเคิล ไอสเนอร์คิดไรไม่ออก จึงทำได้เพียงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น การร่วมมือกันทำการ์ตูนอนิเมชั่นระหว่าง Disney และ Pixar ต้องแยกขาดจากกันก็เป็นเพราะคุณนะสิ?”
“บริษัทใหญ่โตอย่าง Disney จะไปสนใจทำไมกับบริษัทเล็กๆอย่าง Pixar ละ? แค่เพียง Disney เอ่ยปาก บริษัทอนิเมชั่นเล็กๆอีกหลายแห่งก็ยินยอมยอมพร้อมใจกันร่วมมือกับพวกคุณแล้ว”
ไมเคิล ไอสเนอร์ ยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา ถึงแม้ว่า Disney จะทำการ์ตูนอนิเมชั่น ก็ตาม แต่หลังจากที่ไมเคิล ไอสเนอร์มารับช่วงต่อ เค้าก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำการ์ตูนอนิเมชั่นมากเหมือนเมื่อก่อน และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บรรดาผู้บริหารต่างพากันคัดค้าน ตอนนี้ Disney หวังเพียงว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัทนั้นเจริญเติบโตมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้เสียงคัดค้านเหล่านั้นลดลงได้บ้าง
แม้ไมเคิล ไอสเนอร์ จะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำการ์ตูนอนิเมชั่นเท่าที่ควร แล้วก็ไปเน้นการทำหนังไลฟ์แอคชั่นมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไมเคิลจะไม่ให้ความสำคัญกับการ์ตูน Disney ในฮอลลีวู้ดนะ ด้วยเหตุนี้เมื่อครึ่งปีก่อนหลังจากที่เอริคได้มีความคิดที่จะรับซื้อหนังจาก Pixar จึงทำให้ไมเคิล ไอสเนอร์สนใจขึ้นมา เขายังได้ยินมาว่า Pixar จะสร้างการ์ตูนอนิเมชั่นรูปแบบใหม่ เป็นรูปแบบ 3 มิติขึ้น ยิ่งทำให้ไมเคิล ไอสเนอร์นั้นต้องระวังตัวมากขึ้น