ตอนที่ 197 การเสียอํานาจเพียงชั่วคราว
ณ อพาทเม้น เสียงอาบน้ําที่ดังอยู่พักใหญ่ได้เงียบลง เอริคที่เพิ่งอาบน้ําเสร็จเดินเช็ดตัวออก มาจากห้องน้ํา
แสงแดดสีทองอ่อนๆในตอนเช้าค่อยๆทอแสงเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อต้อนรับเข้าสู่เดือนกันยาในฮอลลีวูด อุณภูมิประมาณ 22 องศาเป็นอากาศที่เย็นกําลังพอดี ซึ่งเป็นอุณภูมิที่เหมาะสมกับร่างกายของเอริค
เขาค่อยๆปีนขึ้นไปข้างหญิงสาวที่กําลังหลับพริ้มอยู่บนเตียงอย่างเบาที่สุดเพื่อหยิบเสื้อที่ห่ออยู่ บนผ้าห่มข้างตัวหญิงสาวขึ้นมาสวมใส่ ร่างกายที่เปลือยเปล่าของหญิงสาวที่ปรากฏเด่นชัดอยู่เบื้องหน้าของเอริค ด้วยความที่หล่อนมีสายเลือดของยุโรป ทําให้โครงร่างของหญิงสาวดูค่อนข้างเล็ก ผิวเนียนใสละเอียดกว่าหญิงสาวตะวันตก แผ่นหลังที่โค้งเรียวลงมา เอวคอดได้รูปเผยให้เห็นสะโพกที่นูนออกมาอย่างชัดเจน ดูแล้วช่างน่าเย้ายวนใจจริงๆ ต้นขากลมๆทั้งสองข้างวางขนานกัน ซึ่งมิอาจปิดบังทัศนียภาพระหว่างขาทั้งสองได้
ในขณะที่เอริคกําลังแต่งตัวพร้อมกับมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย หล่อนนอนหลับเหมือนกับเด็กทารกตัวน้อยที่ชอบนอนดูดนิ้วมือ ภาพนั้นทําให้เอริคอดสนใจอีกครั้งไม่ได้ เขาขึ้นไปนั่งบนเตียงเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปดึงนิ้วมือของหญิงออกมา แล้วใช้นิ้วชี้ของตัวเองใส่เข้าไปแทน
ระหว่างนั้นเอริครู้สึกได้ถึงความเปียกของริมฝีปากทั้งบนและล่างที่กําลังห่อหุ้มนิ้วของเขาไว้อยู่ เขาใส่เข้าไปอย่างนุ่มนวล ฟันสองแถวหน้าที่พยายามขบกัดนิ้วเขาหลายครั้งราวกับกําลังทดสอบอะไรบางอย่าง เพราะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของนิ้วนี้ ลิ้นในปากเริ่มตวัดไปมา ราวกับกําลังขับไล่สิ่งแปลกปลอมนี้ออกไป
น่าเสียดายที่พลังของลิ้นนั้นไม่พอต่อความต้องการของเอริค หลังจากที่เขาแกล้งเย้าแหย่อยู่ หญิงสาวพักนึงเขาก็ดึงนิ้วกลับไป หญิงสาวลืมตาขึ้นทันที
”ย้าก!”
หล่อนรีบกุลีกุจอหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวทันที เมื่อกาเบรียลล์เห็นรอบยิ้มเจ้าเล่ห์ของเอริค หล่อนก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืน หล่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“สะ….สวัสดีตอนเช้า เอริค” หญิงสาวยิ้มและกล่าวทักทายด้วยความเกรงใจ
“สวัสดี” เอริคยิ้มพร้อมกับแกว่งนิ้วมือไปมา “คิดไม่ถึงว่าเวลาหลับดูคุณจะดูน่ารักขนาดนี้
”…”อ่า ฉัน..ฉันเหรอ?”
หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย เมื่อตอนที่หล่อนลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นท่าทางแกว่งนิ้ว อย่างนั้นของเอริคก็ทําให้หล่อนนึกถึงภาพเมื่อคืนขึ้นมา
เอริคหัวเราและพยักหน้า “แน่นอนว่าผมพึ่งเคยเห็นผู้หญิงที่นอนดูดนิ้วแบบนี้ครั้งแรก”
“ฉันไม่รู้เลย” หญิงสาวทอดสายตาลงต่ําอีกครั้งแล้วมองไปรอบๆตัวราวกับกําลังหาอะไรบางอย่าง
เอริครู้ว่าหญิงสาวกําลังหาอะไรเขาจึงช่วยหยิบเสื้อผ้าเหล่านั้นยื่นให้หล่อน “นี่เป็นเรื่องปกติ คนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองนอนกรน ขนาดตื่นขึ้นมาก็ยังไม่ยอมรับเลย ”
หญิงสาวรีบใส่กางเกงชั้นในก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ฉัน…ฉันไม่ได้กรนใช่ไหม ? ”
“ไม่เลย” เอริคสายหน้า “ฉันแค่ยกตัวอย่างหน่ะ”
“อื้อ” หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเห็นหญิงสาวที่สวมใส่ชุดชั้นในแล้วกําลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาจึงพูดขึ้นว่า “ที่รัก ฉันต้องไปแล้วนะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นกาเบรียลล์ที่กําลังค้นชุดสวยๆอยู่ในตู้เสื้อผ้าก็หยุดลงทันที ก่อนหันกลับมาพูดว่า “กินอาหารเช้าก่อนค่อยไปไม่ได้เหรอ? ”
เอริคมองนาฬิกาตัวเองแล้วพูดว่า “ตอนนี้ใกล้ 8.30 แล้ว เดี๋ยวรถมันติดหน่ะ นี่ยังไม่รู้เลยว่า 9 โมงจะถึงออฟฟิสไหม ผมมีบินไปเวนิสตอนบ่ายสอง ซึ่งยังมีเรื่องที่ต้องรีบจัดการตอน 10 โมงมี ประชุมกับคุณโรเบิร์ตและคุณเจฟฟรีย์เกี่ยวกับการร่วมมือกันระหว่างบริษัท Firefly กับ บริษัทNew Line Cinema อีก ตารางการถ่ายหนังเรื่องใหม่ของผมก็ออกมาแล้วด้วย ผมต้องไปดูสักหน่อย ผมยังเหลืออีก 5 ชั่วโมงในการจัดการเรื่องราวมากมายเหล่านี้ให้เสร็จ”
เอริคเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของหญิงสาวที่กําลังยืนฟังอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นอย่างนั้นเอริคจึงรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด เขาจึงใช้น้ําเสียงที่ดูอ่อนโยนพูดขึ้นว่า “นี่…แถวนี้มีอาหารเช้าขายไหม บางทีเราไปกินอาหารเช้าด้วยกันก่อนก็ได้ คงจะไม่เกินสิบหรือยี่สิบนาทีหรอก”
” “แน่นอน ฉันขอล้างหน้าก่อนได้ไหม? ” หล่อนเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความดีใจ
ในเมื่อเอริคตัดสินใจแล้ว เขาก็คงไม่อยากกังวลเรื่องเวลาอีก “ไปล้างเถอะ แต่รีบหน่อยก็ดี”
”…“ไม่นานแน่นอนคะ! ”
หญิงสาวเลือกเสื้อผ้าสองสามชิ้นจากตู้เสื้อผ้าด้วยความดีใจ แล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ําผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาที่หล่อนก็ออกมาพร้อมกับใส่ชุดเดรสมีกระเป๋าสีฟ้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งชุดเดรสนั้นดูเข้ากันดีกับถุงน่องสีดํา ผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นอย่างลวกๆ แล้วหันไปหยิบรองเท้าส้นสูงออกมาใส่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินไปหาเอริคก่อนพูดขึ้นว่า “เสร็จแล้วค่ะ ร้านอาหารอยู่ตรงข้ามกับอพาทเม้นนี้เดินไปสักสี่สิบห้าก้าวก็ถึงแล้ว”
“เอริคนี้มันจะเก้าโมงครึ่งแล้ว แล้ววันนี้จะเอายังไง โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง คุณไม่รู้เหรอเรามีเวลาจํากัดค่ะ? ” เมื่อเอริคก้าวเข้ามาในบริษัทเจฟฟรีย์ก็พ่นเอริคทันที
ใบหน้าที่ดูโกรธเคืองของชายชรา เอริคอธิบายอย่างรู้สึกผิดว่าว่า “ขอโทษครับ คุณเจฟฟรีย์บนถนนรถมันติดตรับ”
“เป็นไปไม่ได้ จากคอนโดคุณมาถึงที่นี่รถไม่มีทางติดแน่นอน ถนนเส้นนี้ฉันคุ้นเคยดี”
“จริงๆแล้วผมขับมาจากตะวันตกของฮอลลีวูดนะ ” เอริคยกมือขึ้นชี้แจง
“หา…” เจฟฟรีย์อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็เข้าใจได้ทันที เจฟฟรีย์คิดขึ้นได้ว่าตัวเองทําเกินไป เพราะยังไงเอริคก็เป็นเจ้านายของเขา ถึงแม้ว่าเขาเองก็รู้ว่าเอริคไม่ได้ถือสากับความเข้มงวดของเข้าก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนในครอบครัวของเอริค เขาสามารถสอนเอริคได้ครั้งคราวเท่านั้น เอริคเคารพเจฟฟรีย์จึงไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆเข้าอาจจะเกิดไม่พอใจก็เป็นได้
“โอเค มีเอกสารสองสามฉบับที่คุณต้องเซ็น ฉันให้อลันวางไว้ให้คุณบนโต๊ะแล้ว คุณมีเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นที่จะจัดการเอกสารเหล่านั้นให้เสร็จ โรเบิร์ตกับทีมงานใกล้ถึงแล้ว ฉันขอเวลาไปเตรียมประชุมก่อน”
“ผมจะรีบจัดการให้เสร็จ” เอริคพยักหน้าตอบรับ แล้วรีบเดินตรงไปยังโต๊ะทํางานทันที ส่วนเจฟฟรีย์เองก็รีบไปจัดการเรื่องของตัวเอง
ถึงแม้จะมีการลงนามข้อตกลงกันแล้วก็ตาม แต่การที่ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กรของธุรกิจ อย่างเช่น การออกแบบการจัดการองค์กร การปรับโครงสร้างของบริษัท และปัญหาการเลิกจ้างพนักงานของบริษัท ด้วยเหตุนี้ทั้งสองบริษัทจึงใช้เวลาเป็นเดือนกว่า บริษัททั้งสองจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ธุรกิจของทั้งสองบริษัทไม่สามารถหยุดเดินหน้าได้ จึงตัดสินใจเดินหน้าควบคู่กันต่อไป
เอริครีบจัดการเอกสารตรงหน้าอย่างเร่งด่วน จนผู้ช่วยมาตามอีกครั้งเขาจึงวางเอกสารพวกนั้นแล้วรีบตรงไปยังห้องประชุมทันที
ในห้องประชุมนอกจากโรเบิร์ต เชียร์แล้วยังมีผู้บริการระดับสูงอีกหกเจ็ดคนของบริษัท New Line Cinema ที่มาร่วมการประชุมครั้งนนี้ด้วย
ถึงแม้ว่าผลกําไรของบริษัท New Line Cinema จะไม่ได้เทียบเท่ากับ Firefly ก็ตาม แต่ธุรกิจจะมีความมั่นคงได้ก็ต่อเมื่อแผนกต่างๆในบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายหนัง ลิขสิทธิ์ การโฆษณา การจัดจําหน่าย ต้องมีครบสมบูรณ์แบบ อีกทั้งถ้าบริษัท Firefly ไม่ได้กําไรจากหนังแนวสยองขวัญเรื่องนั้นก็คงเป็นได้แค่การเวิร์คชอปเล็กๆเท่านั้น หน้าที่ของเจฟฟรีย์คือเป็นผู้จัดการบริษัท ในขณะที่เอริคทําหน้าที่เป็นผู้อํานวยการสร้างหนัง ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่พวกเขายุ่งมากก็ตาม แต่ส่วนใหญ่พวกเขาเลือกที่จะทําทุกอย่างคนเดียว
การประชุมราวสองชั่วโมงนั้นไม่มีการถกเถียงอะไรกันมากนัก นอกเสียจากหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องวิธีการที่รวมทั้งสองบริษัทให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งหลักๆมักจะโต้แย้งกันในเรื่องอํานาจในการสร้างหนัง
เอริคหวังให้โรเบิร์ตเชียร์ปล่อยวางเรื่องนี้ แล้วไปตั้งใจดูแลการจัดจําหน่ายหนัง ถ้าการจัดจำหน่ายนั้นมีกําลังมากพอ ก็จะทําให้หนังของเขาได้รับการสนใจมากยิ่งขึ้น ไม่กี่ปีบริษัท Firefly อาจะกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหนึ่งบริษัทของฮอลลีวูดก็เป็นได้
แต่โรเบิร์ต เชียร์ปฏิเสธข้อเสนอนั้น สถานการณ์นี้อาจคาดการณ์ได้ว่าบริษัทหนังแห่งนี้อาจจะไม่มีผู้ที่อํานาจในการตัดสินใจเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ตลกเลย
เอริคคิดจะยื่นข้อเสนอให้โรเบิร์ต เชียร์อีกข้อเสนอกหนึ่ง คือสามารถให้เขาสร้างหนังแนวสยองขวัญที่ต้นทุนต่ําได้ หนึ่งเรื่องถึงอย่างไรก็แล้วแต่ข้อเสนอนี้ก็คงใช้ไม่ได้กับคนหัวแข็งอย่างเขา
แต่สิ่งที่ทําให้เอริคประหลาดใจมากกว่าก็คือ โรเบิร์ต เชียร์ปฏิเสธทุกข้อเสนอของเอริค เขาไม่เพียงแต่ไม่พอใจกับการสร้างหนังต้นทุนต่ําแบบนี้เท่านั้น เขาหวังจะได้สร้างหนังฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่อง เพราะเขารู้ว่าหนังอีกหลายเรื่องของเอริคจะสร้างกําไรมหาศาลให้กับบริษัท Firefly ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนของบริษัท New Line Cinema ก็ตามแต่โรเบิร์ต เชียร์ก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นเป็นแน่ ถ้าหากบริษัท New Line Cinema ขาดทุนจนเกือบล้มละลาย ก็ยังมีทุนของบริษัท Firefly ช่วยค้ําจุนอยู่ด้านหลังของพวกเขา สาเหตุนี้ทําให้ความทะเยอทะยานของโรเบิร์ต เชียร์นั้นเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ถึงอย่างไรก็ตามในฮออลลีวูดนี้ก็ยังมีหนังม้ามืดต้นทุนต่ําไม่กี่เรื่องที่สร้างรายได้ทะลุบ็อกออฟฟิสก็ตาม แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้มากจนน่าตกใจเหมือนบริษัทของเอริค และเพื่อให้รับผลตอบแทนที่สูงและมั่นคงการลงทุนสูงเท่านั้นที่จะได้เป็นราชาผู้สร้างหนัง
ในความคิดของเอริค สําหรับโรเบิร์ต เชียร์แล้ว วิธีการของเอริคไม่ใช่เป็นวิธีที่เขาจะตัดสินใจได้ทันที บริษัท Firefly มีเงินก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นที่จะทําอะไรแบบนี้ อีกทั้งเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวของโรเบิร์ต เชียร์ด้วย ถึงแม้ว่าหนังเรื่อง The Lord of the Rings ของบริษัท New Line Cinema ในชีวิตที่แล้วของเอริคจะประสบความสําเร็จมากมายก็ตาม แต่ก็ยังมีหนังเรื่อง The Golden Compass อีกเรื่อง ที่ไม่ได้ผลตอบรับเท่าที่ควรเมื่อมองดีๆแล้ว โรเบิร์ต เชียร์น่าจะเชี่ยวชาญในเรื่องการสร้างหนังอยู่ไม่น้อย
แต่เมื่อเอริคเห็นความดื้อรั้นของโรเบิร์ต เชียร์ เขาจํายอมอ่อนข้อให้ชั่วคราว ถึงอย่างไรก็ตามอํานาจในการจัดจําหน่ายตอนนี้ก็ยังอยู่ในมือของอีกฝ่าย ดังนั้นหากบริษัท Firefly รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบริษัท New Line Cinema แล้วนี่คือสิ่งแรกที่ต้องทําการเสียอํานาจเพียงชั่วคราวจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายแล้วข้อเสนอของโรเบิร์ต เชียร์เป็นสิ่งที่เอริคต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ในหนึ่งปีข้าง หน้าจะให้บริษัท New Line Cinemaจะสร้างหนังฟอร์มใหญ่สองเรื่องด้วยต้นทุนรวมกันไม่เกิน 50 ล้านดอลลาห์ และมอบสิทธิ์โรเบิร์ต เชียร์เป็นผู้จัดการ
หลังจากประชุมยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง โรเบิร์ต เชียร์ก็ออกจากบริษัทไปด้วยความพอใจ ส่วนเอริคก็รอเวลาขึ้นเครื่องเขากินอาหารง่ายๆพร้อมกับเปิดดูเอกสารเหล่านั้นเพื่อต้องอ่านเอกสารสัญญาอีกหลายฉบับให้จบเร็วที่สุด