ตอนที่ 226 ไม่อนุญาตให้รังแกผู้หญิงคนนี้อีก
เมื่อมองเห็นท่าทางที่สับสนของคนเหล่านั้นเอริคก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “จริงๆแล้ว ผมมีความคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากการประชุมสิ้นสุดลงผมจะให้คนส่งแนวคิดเหล่านั้นไปให้กับพวกคุณเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง ในเวลาเดียวกันผมจะให้คําแนะนํากับพวกคุณเพิ่มก็แล้วกัน เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการตามหาน้องสาวที่หายไปและในที่สุดเขาก็สามารถตามหาน้องสาวของเขาไว้ได้ จากความทรงจําและการสะกดจิตที่ลึกล้ําเขาพบว่าการหายตัวไปของน้องสาวเขาเกี่ยวข้องกับการจับตัวไปของมนุษย์ต่างดาว ดังนั้นเขาจึงเริ่มจําแนกและแยกแยะปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เขาค้นพบ มอร์เลอร์เลือกข้อมูลที่มีประโยชน์ผ่านความไวระดับมืออาชีพของเขา พร้อมกับนําทุกอย่างมาปะติดปะต่อกันราวกับจิ๊กซอว์ ในที่สุดก็ก่อให้เกิดเงื่อนงําที่สมบูรณ์เกี่ยว กับการกบฏอาณานิคมของเบร็ทสตาร์ คุณสามารถเพิ่มพล็อตของมอร์เลอร์ที่เขาจดบันทึกในแต่ละตอนได้ ?”
แนวคิด “บิ๊กซอว์” ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เอริคคิดออกมาเพียงชั่วคราว ในบทดั้งเดิมคนที่มักจะจดบันทึกปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติคือดาน่าสดาร์ลี่ย์ ทว่าที่เอริคเคยดูก่อนหน้านี้เขากลับไม่เห็นประโยชน์จากการจดบันทึกของดาน่าเลย ซึ่งในครั้งนี้เขาจึงคิดว่าการนําบทบาทการจดบันทึก ต่างๆให้มาอยู่ที่ตัวพระเอกดูเหมือนจะเป็นการดีกว่า อีกทั้ง “บิ๊กซอว์” ยังสามารถกระตุ้นจินตนา การและความอยากรู้อยากเห็นของคนดูได้เป็นอย่างดี ซึ่งการตั้งปมที่น่าสงสัยนี้เป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมในละครอเมริกันมาโดยตลอด
หลังจากที่เอริคพูดจบแล้ว นักเขียนบทก็ไม่ได้ถามอะไรขึ้นมาอีก พวกเขาถือเป็นนักเขียนบทที่ดีที่สุดที่ Fox และ Firefly หามาได้ เอริคไม่เพียงแต่จะปูเนื้อหาคร่าวๆให้กับพวกเขาแต่เขายังให้ แนวคิดเรื่องการวางแผนของหนังให้กับพวกเขาด้วย หากการรวมตัวกันของคนทั้งหกคนนี้ไม่สามารถที่จะเขียนบทออกมาได้ พวกเขาก็คงจะไม่เหมาะกับชื่อเสียงนักเขียนบทอีกต่อไป
การประชุมได้เดินทางมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ในที่สุดเอริคก็พูดสรุปอีกครั้งว่า “ พวกคุณมีเวลาสองเดือน นําบทที่น่าพอใจกลับมาให้กับผม สิ้นปีนี้ Firefly และ FOX จะมีการร่วมมือในการผลิตตัวอย่างหนังในตอนแรกขึ้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะไม่ทําให้คนดูต้องผิดหวัง ถ้าไม่มีข้อสงสัยอะไรแล้วก็แยกย้ายกันได้”
ทุกคนภายในห้องค่อยๆทยอยเดินออกจากห้องไป ในขณะที่เอริคและเอเลนกําลังคุยเรื่องงานกันอย่างเงียบๆพร้อมกับนําข้อมูลต่างๆตรงหน้าใส่แฟ้ม เอริคก็เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะพบว่าเอลิซาเบธยังคงนั่งอยู่ตรงส่วนท้ายของโต๊ะที่อยู่หลังห้อง โดยใช้มือซ้ายวางเท้าคางของหล่อนไว้พร้อมกับมองมาที่เขาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ฉันจะไปสํานักงานใหญ่ Caa เธอจะไปไหม ?” เอริคถามขึ้น
“ห้ะ ?” เอลิซาเบธตอบกลับมาก่อนที่จะมองไปยังนาฬิกาข้อมือของตนเอง “นี่มัน 11โมง แล้วนะอีกแปบเดียวก็ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว”
“มื้อเที่ยงไปกินที่นั้นเลย ถ้าเธอไม่ไปก็กลับบ้านไปซะ”
“ไปซิ! ” หญิงสาวที่ตอบกลับทันทีพร้อมกับพึมพําในใจว่าอย่างไรเสียหล่อนก็จะไม่ยอมให้เอริคหาโอกาสไล่หล่อนออกไปอย่างแน่นอน
เมื่อเอริคขึ้นรถแล้ว เอลิซาเบธก็ขึ้นไปนั่งด้านหลังเช่นเดียวกันกับเขา หลังจากที่รถได้ขับออกไปได้ครู่หนึ่งแล้ว หญิงสาวก็ยังคงมองเอริคเป็นครั้งคราวโดยที่ไม่ได้ซ่อนความอยากรู้อยากเห็นในสายตาของหล่อนลงเลยแม้แต่น้อย เอริคซึ่งกําลังก้มศีรษะลงมองดูเอกสารเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าถูกจ้องมองเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า ” อยากจะพูดอะไร ?”
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่า นาย…คิดบทพวกนั้นออกมาได้ยังไง ทั้งเรื่องของเบร็ทสตาร์ แล้วก็เรื่องของซินดิเคทพวกนั้น”
เอริควางเอกสารบนขาของเขาก่อนที่จะหันไปมองหญิงสาวพร้อมกับตอบด้วยน้ําเสียงลึกลับว่า “จริงๆแล้ว ฉันเป็นคนจากโลกอนาคตที่อยู่หลังจากปีค.ศ. 2012 แล้วเดินทางมายังที่นี่”
“ห้ะ ?’ เอลิซาเบธกรอกตาขึ้นบนโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เอริคลดเสียงของเขาให้ต่ําลงก่อนที่จะพูดกับหญิงสาวที่อยู่ข้างเขาต่อว่า ” เกี่ยวกับเรื่องของเบร็ทสตาร์เป็นเรื่องจริง หลังจากวันที่ 21 ธันวาคม 2012 แบล็คออยได้เปิดตัวผู้รุกราน และ 99% ของมนุษย์ติดเชื้อจากสิ่งเหล่านั้นส่วนที่เหลือของมนุษยชาติที่เหลือก็ได้ก่อกองทัพกบฏขึ้น และผมคือหนึ่งในนั้นทว่าการต่อต้านของพวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพอซึ่งดูเหมือนว่าจะห่างไกลจากการต่อต้านเบร็ทสตาร์เป็นอย่างมาก ในตอนที่เบร็ทสตาร์กําลังจะฆ่าคนที่ก่อกบฏเพื่อต่อต้าน พวกเราก็ได้ใช้ประโยชน์จาก กระสวยอวกาศซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เบร็ทสตาร์คิดค้นขึ้น ก่อนที่เพื่อนของฉันจะส่งฉันมาในปีค.ศ.นี้หวังว่าฉันจะสามารถทําลายแผนการของอีกฝ่ายก่อนที่เบร็ทสตาร์จะเปิดตัวอาณานิคม แต่ตอนนี้ฉันมีเพียงแค่คนเดียวดังนั้นฉันจึงต้องการที่จะใช้ หนัง The X – Files เพื่อที่จะบอกให้กับคนอื่นๆได้รู้ผ่านหนังเรื่องนี้ ”
“งั้นเบร็ทสตาร์จะต้องส่งหุ่นยนต์ที่ชื่อ t-800 เพื่อไล่ล่านายใช่ไหม?” หญิงสาวจ้องมองเอริคก่อนที่พูดดักเขาว่า “นายอย่าคิดว่าฉันไม่เคยดูหนังเรื่อง The Terminator นะ ”
เสียงของคนขับรถดังขึ้นเบาๆจากตําแหน่งของคนขับ เอริคยกมือขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ ฉันพูดความจริงเธอก็ไม่เชื่อ งั้นก็อย่าถามมาก ”
หญิงสาวพูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “ก็เห็นอยู่ว่านายพูดจาไร้สาระ ”
เอริคส่ายหน้าก่อนที่จะก้มลงอ่านเอกสารในมือของเขา ทว่าทันทีที่เขาก้มหน้าลงหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “แล้วเราจะไปทําอะไรที่ Caa ?”
“ไปถึงเดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละ หยุดกวนฉันสักทีได้ไหมฉันจะอ่านเอกสารพวกนี้ให้จบ”เอริคตอบกลับด้วยความเบื่อหน่ายก่อนที่จะโบกมือห้ามไม่ให้หล่อนถามอะไรเขาอีก
เอลิซาเบธเปล่งเสียงออกมาจากลําคอด้วยความไม่พอใจ ทว่าถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่เต็มใจแต่หล่อนก็เลือกที่จะหันหน้าไปนอกหน้าต่างโดยไม่ได้รบกวนเอริคอีก
“เอริค ” เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องรับรองภายในตึกใหญ่ของสํานักงานใหญ่ Caa เงาเล็กๆ ของคนๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นก่อนที่จะวิ่งตรงมายังเอริคในทันที
เอริคกอดสตีเวิร์ด แลงเคิลก่อนที่จะจับร่างเล็กหมุนไปรอบๆ หลังจากที่เขาวางร่างเล็กลงเขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สูงขึ้นเยอะเลยหนิ”
“แต่คุณก็ยังสูงเหมือนเดิมนะ ” สตีเวิร์ดที่ยืนอยู่ด้านข้างเอริค มองเอริคตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาว่า “เอริคดูเหมือนว่าคุณจะไม่สูงไปกว่านี้แล้วสิ”
เอริคยิ้มก่อนจะตอบกลับไปว่า “อย่าเปรียบเทียบกับคนที่อายุต่างกันสิ เด็กอายุ 8 ปีก็ควรที่จะมีรูปร่างส่วนสูงที่เหมาะสมกับวัยถึงจะถูกต้อง”
“เด็กอายุ 8 ปีควรจะมีลักษณะยังไงเหรอ ? “ สตีเวิร์ดถามกลับไป ทว่าเขาก็เห็นว่าเอริคในเวลานี้ได้เดินตรงไปหาพ่อของเขาแล้ว เขาจึงยักไหล่ก่อนที่จะหันไปมองคนที่มาพร้อมกับเอริค เมื่อเขาจ้องมองเอลิซาเบธที่มาพร้อมกับความสวยงามของหล่อน เด็กชายก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า “เฮ้ สวัสดี! ”
เอลิซาเบธคุ้นหน้าเด็กชายคนนี้อยู่ไม่น้อย หญิงสาวย่อตัวลงก่อนที่จะลูบหัวของสตีเวิร์ดก่อนที่จะแสดงอาการประหลาดใจขึ้นมาว่า “เธอคือเควินที่อยู่ในหนังเรื่อง Home Alone สินะ “
“ผมชื่อสตีเวิร์ดแลงเคิล หรือคุณจะเรียกผมว่าสติวก็ได้ ” เด็กน้อยแนะนําตัวเองก่อนที่จะทําท่าไร้เดียงสาพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมขอกอดคุณได้ไหมฮะ ?”
“แน่นอนสิ” เอลิซาเบธไม่ได้คิดอะไรพร้อมกับยิ้มก่อนที่จะทําท่าเข้าไปกอดเด็กชายตรงหน้า
หลังจากที่เอริคเดินเข้าไปทักทายพ่อของสตีเวิร์ดและเอเจนซี่คนใหม่ที่ชื่อว่าไบรอัน คัซแมน แล้วเขาก็หันกลับไปมองด้านหลังก่อนที่จะได้ยินสตีเวิร์ดเรียกร้องอ้อมกอดจากหญิงสาวที่มากับเขา เอริคก็ยิ้มพร้อมกับใช้มือของเขาลากเด็กชายออกมาในทันที
“สติว ไม่อนุญาตให้ยุ่งกับหญิงสาวนะ ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปีทําไมนายถึงได้เปลี่ยนกลายเป็นหมาปาเด็กแบบนี้ได้หล่ะเนี่ย ?”
เด็กชายพยายามที่จะบิดมือตัวเองออกจากมือใหญ่ของเอริคพร้อมกับพูดว่า “เอริค ผมยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ ยังทําอะไรไม่เป็นเลยด้วย ผมแค่ขอกอดแค่นั้นเอง อีกอย่างก็ไม่ได้ทําให้พี่สาวเขาเสียหายอะไรซะหน่อย”
“รอให้อายุถึง 18 ปีค่อยว่ากัน ตอนนี้ตั้งใจทําหน้าที่ของเด็กที่ควรจะทําให้ดีก็พอแล้ว”
สตีเวิร์ดทําท่าจะเอ่ยปากค้าน ทว่าคุณนายแลงเคิลกังวลว่าลูกชายของเขาจะรบกวนเอริคมากไปกว่านี้หล่อนจึงยิ้มให้ก่อนที่จะลากเด็กชายออกมา
ในเวลานั้นเอลิซาเบธที่ได้ยินบทสนทนาทั้งสองก่อนหน้านี้ก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึงขึ้นมาในทันทีนี่คือ…เด็กอายุ 8 ปีจริงๆเหรอ ?
ภายในห้องรับรองยังคงสนทนาต่อไปโดยที่ไม่ได้มีใครสนในเอลิซาเบธ เพียงครู่หนึ่งเอริคก็เดินนําเอเลนและชาร์ลี แลงเคิล เข้าไปยังห้องประชุมเล็กๆที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะเหลือเพียงเอลิซาเบธ สตีเวิร์ดและแม่ของเขาที่นั่งอยู่ภายในห้องรับรอง
ภายในห้องรับรองเงียบลงอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะไม่ได้สนใจถึงสิ่งรอบข้าง เขากระโดดขึ้นไปบนโซฟาก่อนที่จะหยิบรูบิกออกมาจากกระเป๋าก่อนที่จะเล่นอย่างเงียบๆ
เอลิซาเบธเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ไม่น้อย หล่อนเดินไปนั่งตรงโซฟาก่อนที่จะเลือกนิตยสารบนโต๊ะกาแฟพร้อมกับเปิดดูอย่างตั้งใจ ในเวลานี้มีเพียงแม่ของสตีเวิร์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องประชุม พร้อมกับเอียงหูฟังอย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าหล่อนอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมภายในห้องนั้นเป็นอย่างมาก ทว่าหล่อนก็ยังไม่กล้าพอที่จะใช้มือผลักประตูตามเข้าไป หล่อนจึงทําได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าประตูห้องประชุมขนาดเล็กอยู่อย่างนั้น
เอลิซาเบธที่กําลังดูนิตยสารอยู่นั้นก็ได้ยินหนึ่งดังขึ้น “เธอชื่ออะไร ? ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะหันไปมองเด็กชายที่กําลังหมุนรูบิกในมือข้างหล่อนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เธอถามฉันหรอ ? เรียกฉันว่า…ลิซ ”
“ผมยังไม่ได้สนิทกับคุณสักเท่าไหร่ งั้นผมเรียกคุณว่าเอลิซาเบธก็แล้วกัน” เด็กชายพูดจบก็ถามต่อพร้อมกับสายตาที่กลมโตของเขาว่า “เอลิซาเบธ คุณเป็นผู้หญิงของเอริคเหรอ ?”
“ไม่ใช่” หญิงสายตอบกลับไปพร้อมกับรู้สึกได้ว่าหล่อนไม่ควรที่จะสนทนากับเด็กชายคนนี้อีก แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะหากหล่อนไม่ตอบสิ่งที่เด็กชายสงสัยให้ชัดเจน “ฉันเป็นผู้ช่วยของเขา”
พูดจบหญิงสาวก็ได้ยินเสียงที่ดูหมิ่นหล่อนในทันที “เหอะ”
“เหอะ”
“นี่เจ้าหนู ทําเสียงแบบนั้นหมายความว่ายังไง ?” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะวางนิตยสารในมือลงก่อนที่จะเงยหน้าจ้องเด็กชายที่อยู่ด้านข้างหล่อน
สตีเวิร์ดตอบกลับมาด้วยถ้อยคําที่ตรงไปตรงมาว่า “ผมก็แค่คิดว่าคุณโกหก ”
“ฉันโกหก ? ” หญิงสาวชี้นิ้วไปที่ตัวเองพร้อมกับทําท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากปากของเด็กชาย “เธอเอาอะไรมาตัดสินว่าฉันโกหก ? ”
เด็กชายยักไหล่ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ก็เมื่อกี้เอริคไม่ได้ชวนให้คุณเข้าไปข้างใน ซึ่งนั่นก็ชัดเจนมากพอแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นผู้ช่วยที่จําเป็นของเขา เงินเดือนของคุณก็คงจะไม่ได้สูงอะไร ถ้าคุณไม่ได้เป็นผู้หญิงของเอริค คุณจะมีเงินซื้อของแพงๆที่อยู่บนตัวคุณได้ยังไง กระเป๋าชาแนลที่คุณถืออยู่ก็ดูเหมือนว่าจะแพงกว่าเงินเดือนของคุณในแต่ละเดือนไม่ใช่เหรอ ?”
“บ้านฉันมีเงินมากกว่าคนๆนั้นถึงสิบเท่า!” หญิงสาวลืมอายุของเด็กน้อยตรงหน้าไปโดยปริยาย ในเวลานี้หล่อนเป็นเหมือนกับแม่แมวตัวเล็กที่ถูกกระตุกหนวดจนทําให้เกิดอาการเคืองโกรธขึ้นมา
“อ่อออออ…” เด็กชายลากเสียงยาวก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจแล้ว “
เอลิซาเบธกลับไปนั่งตรงโซฟาก่อนที่จะหยิบนิตยสารขึ้นเปิดผ่านๆตา พร้อมกับไม่สนใจไปมองเด็กชายที่อยู่ด้านข้างอีก
ทว่าเด็กชายกลับยังคงไม่ปล่อยหล่อนก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “คุณชอบเอริค ก็เลยยอมทิ้งสมบัติที่บ้านเพื่อวิ่งมาหาเข้าเพื่อเป็นผู้ช่วยให้กับเขาใช่ไหมหล่ะ ?”
เมื่อได้ยินประโยคจากปากของเด็กชาย หญิงสาวที่คิดอยากจะเพิกเฉยต่อเด็กที่อยู่ด้านข้างของหล่อนก็หันกลับมาก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้ชอบคนงี่เง่าแบบนายนั่นซะหน่อย!”
เด็กชายลากเสียงยาวออกมา “เฮ้ออออ ผู้หญิงเนี่ยปากไม่ตรงกับใจเอาเสียเลยนะ ขนาดเด็กยังโกหกกันได้ ”
“เธอ…”
เด็กชายทําท่าราวกับว่าจะหยอกหญิงสาวต่อ ทว่าหญิงสาวผู้เป็นแม่ของสตีเวิร์ดที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงที่ฟังชัดว่า “สติว เงียบเดี๋ยวนี้นะห้ามรังแกผู้หญิงคนนี้อีก! ”