ตอนที่ 224 สมบัติของสถานี
เอริคเก็บหนังสือพิมพ์วางกองไว้ด้านข้างพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับจ้องมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นรายการในโทรทัศน์หรือในภาพยนตร์ ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะชื่นชอบที่จะสวมใส่เสื้อเชิ้ตเป็นอย่างมาก
และแน่นอนว่าเอริคเองก็ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวเช่นนี้เช่นกัน ซึ่งเขาคิดว่าการแต่งตัวเช่นนี้ดีกว่าหญิงสาวที่แต่งตัวยุ่งเหยิงด้วยผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนตัวในยุคสมัยก่อนหน้านี้ของเขาอีกทั้งสําหรับ เอริคแล้วเสื้อเชิ้ตก็ถือเป็นสิ่งที่ล่อใจได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่หญิงสาวสวมใส่เสื้อเชิ้ตของผู้ชายพร้อมกับเปลือยช่วงขาที่เรียวยาวของพวกหล่อน.
เอลิซาเบธเห็นเอริคจ้องมองหล่อนโดยไม่ละสายตา การแสดงท่าที่ร้ายใส่เขาก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับวางแขนไว้บนโต๊ะเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายชายจับจ้องมาที่อกของหล่อน หล่อนจ้องมองเอริคก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “นี่คุณ มองอะไร ทําไมถึงมองด้วยสายตาแบบนั้น ?”
“ไม่ได้มองอะไรนี่ ฉันก็แค่กําลังคิดว่าเธอจะใส่ชุดแบบนี้มาทํางานจริงๆเหรอ ? “ แม้ว่าในเวลานี้การแต่งตัวของหญิงสาวจะไม่ได้เลวร้ายอะไรทว่ามันก็ยังไม่ใช่เสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในเวลาทํางานอยู่ดี
“ใช่ ฉันมาเป็นผู้ช่วยนายไม่ได้มาเป็นพนักงานออฟฟิศซะหน่อย หรือว่านายอยากจะให้ฉันใส่เสื้อสูท กระโปรงแล้วก็รองเท้าส้นสูงวิ่งไปวิ่งมาในกองถ่าย ? “
เอริคจ้องมองไปที่หญิงสาวก่อนที่จะคิดในใจว่าหากเขาเถียงหล่อนไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเขาจึงส่ายหน้าโดยไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเสื้อผ้าของหล่อนอีก อีกทั้งเขาเองก็ไม่คิดว่าหญิงสาวจะสามารถช่วยอะไรเขาได้ ขอเพียงแค่หล่อนสามารถถือโทรโข่งให้กับเขาและไม่สร้างปัญหาก็เพียงพอแล้ว
“ ตามใจ” เอริคพูดก่อนที่จะดึงลิ้นชักที่อยู่ข้างตัวเขาออกมา
เอลิซาเบธรู้สึกได้ถึงชัยชนะที่หล่อนได้รับ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
หลังจากที่เอริคหาเอกสารและปากกาในลิ้นชักของเขาเจอแล้วเขาก็ผลักไปด้านหน้าเอลิซาเบธพร้อมกับพูดขึ้นว่า ” นี่คือหนังสือสัญญาเซ็นต์ชื่อของเธอซะ หลังจากที่เธอเซ็นต์ชื่อเธอจะกลายเป็นหนึ่งในทีมงานของกองถ่ายเรื่อง Sleepless in Seattle ”
เอลิซาเบธหยิบเอกสารตรงหน้าขึ้นมาพร้อมกับอ่านเนื้อหาในนั้นอย่างจริงจัง เอริคก้มมองนาฬิกาข้อมือของเขาก่อนที่จะหยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาอ่านอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งขณะที่เอริคกําลังอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยความตั้งใจอยู่นั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น “เอริคฉันเซ็นต์ชื่อเสร็จแล้ว ต่อไปจะให้ฉันทําอะไร ?”
เอริคนําเอกสารบนโต๊ะเก็บลงแฟ้มก่อนที่จะพูดกับหญิงสาวว่า “เธอกลับไปได้แล้ว อีกไม่กี่วันกองถ่ายจะเดินทางไปยังซีแอตเทิลเมื่อถึงเวลานั้นจะมีคนโทรไปบอกเธอเอง”
“ห้ะ…” เอลิซาเบธอ้าปากออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าใจได้ในทันที่ว่าเอริคไม่ได้สนใจหล่อนเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่คิดได้เช่นนั้นเอลิซาเบธก็เกิดกล่าวออกมาด้วยความโกรธว่า “นายทําแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่ยอมนะ ถ้านายไม่ให้งานฉันจะอยู่ที่ห้องทํางานของนายไม่ไปไหนทั้งนั้น! ”
เอริคได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะนึกด่าขึ้นมาในใจเพราะเขาเองก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเขาไม่มีทางเลือกเขาคงจะไม่ยอมรับคําขอของเมอร์ด็อกตั้งแต่แรก
ขณะที่กําลังคิดว่าจะเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากห้องนี้อย่างไร ประตูห้องทํางานของเขาก็ถูกเคาะอีกครั้งก่อนที่เอเลนจะชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมกับกล่าวว่า ” คุณเอริคคะ นักเขียนมากันครบ แล้วค่ะตอนนี้นั่งรออยู่ในห้องประชุมแล้วค่ะ ”
” อืม…ผมกําลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เอริคพยักหน้าตอบรับ หลังจากที่เอเลนออกไปแล้วเขาก็ พูดกับเอลิซาเบธว่า “ ลิซเธอไม่สามารถช่วยอะไรในนี้ได้จริงๆ ดังนั้นเธอกลับไปซะเถอะ ถึงเวลานั้นจะมีคนโทรไปบอกเธอเอง ”
“ฉันไม่ไป ในเมื่อเซ็นต์สัญญาแล้วนายก็ควรจะมอบหมายงานให้กับฉันสิ”
เอริคได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกรําคาญขึ้นมาเขาใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ถูกกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะชี้ไปยังเครื่องทํากาแฟพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าอยากทํางานงั้นก็ไปเอากาแฟมาให้ฉัน ”
หญิงสาวตอบกลับไปทันทีที่ได้ยินคําสั่งของเอริคว่า “ฉันไม่ใช้คนรับใช้ของนายนะ! ”
“นี่เป็นหนึ่งในงานของผู้ช่วยฉัน ถ้าไม่เต็มใจที่จะทําก็กลับไปซะ แล้วรอให้ทีมงานติดต่อกลับไป ”
“นาย” เอลิซาเบธจ้องเอริคด้วยความโมโห หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวหล่อนก็เดินไปยังเครื่องทํากาแฟพร้อมกับยกกาแฟมาวางไว้ตรงหน้าเอริค
ที่จริงแล้วเอริคไม่ได้ต้องการที่จะดื่มกาแฟแต่เขาเพียงแค่อยากจะดูว่าเอลิซาเบธจะทําอย่างไร เขาหันไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะก่อนที่จะยกหูกดเลขพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอเลนนำหนังสือสัญญาลับ สองฉบับที่คุณพิมพ์ออกมาใหม่ก่อนหน้านี้เข้ามาให้ผมที”
ทันใดนั้นเอลิซาเบธก็เกิดสายตาที่เจ้าเล่ห์ขึ้นมาในทันที หล่อนค่อยๆก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับยืนอยู่ด้านข้างเอริค ผ่านไปครู่หนึ่งเอเลนก็นําหนังสือสัญญาลับสองฉบับเข้ามา
“นี่เป็นหนังสือสัญญาลับที่เอเลนทําไว้ก่อนหน้านี้เนื้อหาข้างในยาวมากเพราะฉะนั้นเธอไม่จําเป็นต้องอ่านมันหรอก ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของเมอร์ด็อกฉันคิดว่าเธอเองก็คงจะรู้ว่าเนื้อหา คร่าวๆด้านในเป็นยังไง หากเธอละเมิดไม่เพียงแต่ที่จะต้องชําระค่าเสียหายเธอยังต้องติดคุกด้วย หลังจากเซ็นต์สัญญานี้ช่วงเวลาที่ถ่ายทำ Sleepless in Seattle เธอสามารถติดตามฉันได้ในฐานะเลขาของฉันและเธอก็ต้องช่วยเอเลนทํางานเหล่านี้ด้วย”
ในครั้งนี้หล่อนไม่ได้สนใจที่จะอ่านมันอย่างละเอียด หล่อนพลิกหนังสือสัญญาสิบกว่าหน้าผ่านตาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะรีบเซ็นต์ชื่อตัวเองลงไป
“เอาหล่ะตามฉันมา อ่ออีกอย่างช่วงระยะเวลาที่อยู่ลอสแองเจลิสไม่กี่วันนี้ ฉันไม่อนุญาตให้สวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาทํางาน ไปเปลี่ยนให้เป็นทางการมากกว่านี้ด้วย”
“เข้าใจแล้ว “ หญิงสาวตอบกลับโดยไม่โต้เถียงเขาเหมือนก่อนหน้านี้พร้อมกับเดินตามเอริคไปยังห้องประชุมในทันที
ภายในห้องประชุมมีคนนั่งรออยู่ในนั้นแล้วซึ่งเป็นผู้ชายหกคนและหญิงสาวอีกสองคนซึ่งดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วคงจะมีอายุราวๆ 20-30 ปี
ซึ่งคนเหล่านี้คือทีมงานเขียนบทที่เอริคได้คัดเลือกมาเป็นพิเศษสําหรับละคร โทรทัศน์เรื่องต่อไป
ช่วงไม่กี่วันมานี้สถานีโทรทัศน์ Fox และ Firefly ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจํานงเบื้องต้น สําหรับการโอนหุ้นแล้วและการทําธุรกรรมนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ ดังนั้นเอริคจึงวางแผนที่จะสร้างภาพยนตร์สองเรื่องสุดท้ายก่อนจบปีนี้รวมถึงเริ่มเตรียมตัวสําหรับละครโทรทัศน์และรายการวาไรตี้ตามที่สัญญาไว้กับเมอร์ด็อกก่อนหน้านี้ด้วย
จากการวางแผนของเขารายการวาไรตี้โชว์จะออกอากาศในฤดูใบไม้ผลิ ทว่ารายการวาไรตี้ที่กําลังจะเกิดขึ้นนั้นค่อนข้างง่ายในการวางแผนดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนในเวลานี้
แม้ว่าละครโทรทัศน์อีกเรื่องหนึ่งจะออกอากาศในช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปีหน้าแม้ว่าเขาจะเป็นควบคุมการสร้างด้วยตัวเขาเอง ทว่าเมื่อได้ยินถึงค่าใช้จ่ายการผลิตเฉลี่ยของละครเรื่องนี้ที่สูงถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ Fox ก็ได้แนะนําว่าให้ถ่ายทําไปออกอากาศไปทว่าคําแนะนํานี้ได้ถูกเอริคปฏิเสธในทันที เพราะนอกจากที่เขาจะมีความมั่นใจมากเกี่ยวกับละครเรื่องนี้แล้วเขายังคิดว่าการถ่ายทําไปและออกอากาศไปจะทําให้กระทบกับคุณภาพของละครอันเกิดจากการที่ผลิตเร็วเกินไป
เดิมที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมรับความเห็นของอีกฝ่ายโดยเฉพาะเอริคที่ไม่ยอมที่จะใช้วิธีที่ได้รับคําแนะนําอย่างเด็ดขาด เขาจึงบอกกับทาง Fox ไปว่าหากไม่อยากได้รับความเสี่ยง Firefly สามารถที่จะลงทุนการผลิตด้วยตนเองได้แต่หากผลตอบรับดีเขาเองก็ไม่ยินยอมที่จะให้อีกฝ่ายได้รับส่วนแบ่งเช่นเดียวกัน ข้อเสนอนี้ต่างไม่มีใครกล้าพยักหน้าเห็นด้วยแม้แต่แบร์รี่ ดิลเลอร์เองก็เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าละครเรื่องนี้จะสามารถเรียกเรตติ้งได้เท่ากับซีรี่ย์เรื่อง Friends หรือไม่
หลังจากที่ทั้งสองถึงทางตันแล้วผ่านไปไม่กี่วันในที่สุดเมอร์ดอกก็ตัดสินใจด้วยตัวเขาเองว่าหากเอริคมั่นใจเช่นนั้นแล้ว Fox ที่เป็นถึงบริษัทใหญ่จะไม่กล้าที่เสี่ยงกับเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าคะแนนในตอนท้ายที่สุดจะไม่ได้โด่งดังแต่เขาก็แค่สูญเสียไปเพียงแค่ 20 กว่าล้านเหรียญเท่านั้น และถึงแม้ว่าในเวลานี้สถานีโทรทัศน์ Fox จะได้รับซีรี่ย์เรื่อง Friends มาครอบครองได้แต่พวกเขาก็อาจจะต้องสูญเสียเงินจํานวนหลายสิบล้านเหรียญได้เช่นกัน
สิ่งที่เอริคจะทําคือ The X-Files ซึ่งถือเป็นสมบัติของสถานีโทรทัศน์ Fox ในยุค 90 และจากในความทรงจําของเอริค นี่เป็นรายการโทรทัศน์อเมริกันเพียงรายการเดียวที่สถานีโทรทัศน์ Fox สามารถผลิตได้ในปี 1990
ทว่าเรตติ้งของรายการโทรทัศน์อเมริกันในช่วงสองสามฤดูกาลแรกนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่เป็นพราะกลุ่มของแฟนคลับที่ไปปลุกความสนใจให้กับคนอื่นๆบนโลกอินเตอร์เน็ตในตอนนั้นจึง เป็นผลให้เรตติ้งสูงกว่าการออกอากาศครั้งแรกในระหว่างการถูกออกอากาศซ้ําอีกครั้งและดูเหมือนว่าในซีซั่นแรกนั้นจะถูกตัดออกไป
แม้ว่ารูปแบบของซีรี่ย์เรื่อง The X-Flies ในสามซีซั่นแรกจะมีความเป็นเอกลักษณ์ทว่าการจัดอันดับที่เกิดขึ้นนั้นก็ถูกปรับให้สูงขึ้นหลังจากที่มีซีชั่นที่สี่และซีซั่นที่ห้าซึ่งนั่นทําให้เรตติ้งพุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ในที่สุด
สําหรับเอริคแล้วเขาคิดว่าสาเหตุที่สามซีซั่นแรกไม่สามารถที่จะดึงเรตติ้งได้คงเป็นเพ ราะเนื้อเรื่องที่ยังไม่มีหลักการที่แน่นอน แม้ว่าทุกตอนจะมีสัตว์ประหลาดหรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติจนทําให้คนดูรู้สึกแปลกใจ ทว่าเนื้อหาเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทําให้ผู้ชมรู้สึกสนใจจนต้องติดตามได้ หลังจากที่ผู้เขียนบทคริส คาเตอร์ได้เขียนมาจนถึงซีซั่นที่สี่เขาถึงได้เริ่มนําปมต่างๆมา เชื่อมต่อกันก่อนที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงบางอย่างในซีซั่นที่สี่จนทําให้ผู้อ่านเริ่มตระหนักขึ้นได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังไซไฟที่สมบูรณ์
หนังไซไฟ The X-Flies เรื่องนี้ไม่ได้เป็นที่นิยมของ Fox ในตอนแรกเนื่องจากโทรทัศน์ในอเมริกาเหนือพยายามที่จะสร้างหนังไซไฟประเภทนี้ขึ้นมาเช่นกันแต่ที่ประสบความสําเร็จนั้นมีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น ดังนั้นเอริคจึงคิดว่าบทของ The X Flies ที่ยังมีส่วนบกพร่องก่อนหน้านี้ควรจะได้รับการแก้ไขเรื่องราวให้ชัดเจนมากขึ้น
ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจจะสร้างละครเรื่องนี้ เอริคได้ให้คนไปตามหาคริส คาร์เตอร์พร้อมกับตั้งใจจะให้อีกฝ่ายเป็นผู้เขียนบทละครชาวอเมริกันให้กับเขาซึ่งนั่นทําให้คริส คาร์เตอร์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากในยุคนี้คริส คาร์เตอร์ยังไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงอีกทั้งในเวลานี้เขาก็เป็นผู้เขียนบทให้กับ Disney ทว่าหลังจากที่เอริคได้ส่งคนไปหาเขา คริสคาร์เตอร์ก็ตอบกลับมาว่าเขา ไม่สนใจบทแนวไซไฟเหล่านี้ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะรับงานที่เอริคเสนอให้กับเขา
คําตอบของเขาทําให้เอริคได้พบกับปรากฏการณ์ที่วุ่นวายอันทรงพลังบิดาของเรื่อง The XFlies กลับไม่สนใจบทไซไฟ…น่าทิ้งเสียจริง
ภายในห้องประชุม เอริคชี้ตําแหน่งที่อยู่ด้านท้ายสุดของโต๊ะประชุมก่อนที่จะให้เอลิซาเบธนั้งลงตรงตําแหน่งนั้น ในขณะที่เขาก้าวเดินไปด้านหน้าพร้อมกับกล่าวทักทายทุกคนภายในห้องประชุมแห่งนี้ หลังจากที่เขาแนะนําตัวเองเสร็จแล้วเอริคก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินไปยังกระดานที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง
พร้อมกับเขียนคําว่า ‘the-x’ ด้วยปากกาเมจิกอย่างรวดเร็ว
“พวกคุณทุกคนเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับไซไฟและละครโทรทัศน์ ดังนั้น พวกคุณก็คงจะรู้ว่าหนังที่ผมจะสร้างก็ต้องเป็นหนังที่เกี่ยวกับไซไฟ และหนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The XFiles”
เอริคควงปากกาเมจิกในมือท่ามกลางสายตาสนใจของคนภายในห้อง ทันใดนั้นเขาก็ ตบฝ่ามือของตัวเองเบาๆก่อนจะพูดขึ้นว่า ” เอาหล่ะ ผมจะเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับหนังไซไฟเรื่องที่ผมจินตนาการไว้ในหัวให้กับทุกคนฟังนะ ”
“เรื่องราวเริ่มต้นมาจากต้นกําเนิดของชีวิต จักรวาลมีขนาดใหญ่มากซึ่งมันใหญ่จนพวกเราแทบจะไม่สามารถนึกได้ว่ามันกว้างใหญ่ขนาดไหน แต่ที่รู้แน่ๆคือมันกว้างใหญ่จนไร้ขอบเขตอีก ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย ดาวหลายร้อยล้านดวงสามารถสร้างโลกแห่งชีวิตที่มีภูมิปัญญา แน่นอนว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่โลกของเราเท่านั้น และเบร็ทสตาร์เป็นผู้ริเริ่มเรื่องราวทั้งหมดนี้ ”