ตอนที่ 223 การเปิดตัวของลูกคลื่น
หลังจากงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองของชีรี่ย์เรื่อง Friends เมอร์ด็อกก็อดไม่ไหวที่จะใช้สื่อของ New Crops ปล่อยข่าวถึงเรื่องที่ Firefly กําลังจะเข้าสู่เครือข่ายโทรทัศน์ Fox และไม่เพียงแต่ที่เมอร์ด็อกจะระบุถึงเรื่องที่ซีรี่ย์ Friends จะถูกฉายในสถานีโทรทัศน์ Fox แต่เขายังกล่าวถึงความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายที่จะเพิ่มความแนบชิดที่มากยิ่งขึ้นด้วย
หลังจากที่ข่าวถูกเผยแพร่ออกไป สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามแห่งต่างที่เคยมีความเห็นในแง่ร้ายกับ Fox ว่าอาจจะไม่สามารถที่จะรักษาซีรี่ย์เรื่อง Friends ไว้ได้ต่างก็เปลี่ยนความคิดไปในทันที พร้อมกับเริ่มแสดงแนวคิดในแง่ดีของพวกเขาที่มีการพัฒนาของสถานีโทรทัศน์ Fox ราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
ข่าวที่เมอร์ด็อกเผยแพร่ออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ Firefly ร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ FOX และมีเพียง Fox เท่านั้นที่สามารถรักษาซีรี่ย์เรื่อง Friends ไว้ได้ทําให้พวกเขาคิดได้ว่าตราบใดที่ Fox สามารถคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ได้และสามารถผลิตรายการที่ดีขึ้นจนทําให้ได้รับกระแสตอบรับเป็นจากผู้ชมจํานวนมาก เขาก็สามารถที่ทําลายกําแพงลําดับยอดนิยมของสถานีโทรทัศน์อเมริกา เหนือลําดับที่สี่ได้ เพราะดูเหมือนว่าหลังจากนี้หาก Fox ได้รับการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็สามารถที่จะแซงหน้าสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามช่องได้ไม่ยากยิ่งไปกว่านั้นผลที่จะได้รับจากข่าวดีเช่นนี้ก็คงจะทําให้สถานีโทรทัศน์ Fox สามารถทําให้มูลค่าตลาดที่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
การโอนหุ้นในเครือข่ายโทรทัศน์ผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่ข่าวของสถานีโทรทัศน์ Fox ได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามช่องต่างก็ยังพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อที่จะแย่งสิทธิ์ในการครอบครองซีรีย์เรื่อง Friends พวกเขายังคงติดต่อกับเอริค เพื่อที่จะยื่นข้อเสนอที่เหนือกว่าให้กับเขาอย่างต่อเนื่อง
ในปี 1985 สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ได้ร่วมมือกับ Metropolitan Broadcasting Corporation และเป็นเพราะการสูญเสียที่ต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมารวมถึงความต้องการที่จะพลิกสถานการณ์อย่างเร่งด่วนจึงทําให้เกิดการเปิดเงื่อนไขในการถือหุ้นขึ้น ซึ่งเพราะเหตุผลนี้ทําให้ทอม เมอร์ฟี่ยอมที่จะโอนหุ้นกรรมการ 3% ให้กับเอริคทันทีที่เขายอมตกลงกับข้อเสนอ แม้ว่าราคาของหุ้น 3% นี้จะเป็นสองเท่าของหุ้น 10% ของสถานีโทรทัศน์ Fox แต่ในเวลานี้จํานวนเงินเหล่านั้นไม่ได้ทําให้เอริคสนใจแต่อย่างใด เพราะสําหรับเขาแล้วหุ้น 3% ที่ได้รับนั้น หากมองตามเงินที่สูญเสียไปเพื่อซื้อกิจการของ Disney ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าอาจจะต้องใช้เวลา อีกหลายปีที่เขาจะได้รับเงินจํานวนเหล่านั้น และบางทีเขาอาจจะต้องสูญเสียเงินลงทุนจํานวนมากของ Firefly ไปอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหุ้น 3 % นี้ก็ไม่ได้ทําให้เอริคมีสิทธิ์มีเสียงในการออกความคิดเห็นใดๆเช่นกัน ข้อเปรียบเทียบระหว่างความเจริญเติบโตและหลุมโคลนนี้ ดูเหมือนว่าถ้าเป็นคนที่มีไอคิวปกติก็คงจะสามารถรู้ได้ทันทีว่าควรจะเลือกทางใด
คืนของวันที่ 10 กันยายน ภายใต้เสียงหัวเราะของผู้ชมที่ดูซีรี่ย์เรื่อง Friends และความสนใจอย่างใกล้ชิดของบริษัทโทรทัศน์ช่องอื่น จึงทําให้ซีรี่ย์เรื่อง Friends ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงสองสัปดาห์ที่เผยแพร่ออกไป หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป Nielson ได้ประเมินเรตติ้งของผู้ชมออกมา ซึ่งซีรี่ย์เรื่อง Friends ถูกจัดอยู่ลําดับที่สามด้วยค่าผู้ชมเฉลี่ยจํานวนสี่ตอนอยู่ที่ 24.6 ล้านคนซึ่งอันดับสูงสุดในตอนนี้ยังคงอยู่ที่ 29 ล้านคน
หลังจากที่สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามช่องได้เห็นค่าเฉลี่ยผู้ชมแล้ว พวกเขาก็เริ่มที่จะวิเคราะห์ถึงปัจจัยของความสําเร็จของซีรี่ย์เรื่อง Friends ขึ้นมาและในท้ายที่สุดพวกเขาก็ค้นพบว่าซีรี่ย์เรื่องนี้นอกจากจะมีเนื้อหาที่ตลกจนทําให้ได้รับค่าเฉลี่ยผู้ชมที่สูงมากแล้ว สิ่งที่สําคัญที่สุดคือส องตอนแรกของซีรี่เรื่องนี้ถูกกํากับด้วยตัวของเอริคเอง และแน่นอนว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผู้กํากับภาพยนตร์ที่เคยผลิตภาพยนตร์มาก่อนหันมาผลิตละครโทรทัศน์จึงทําให้การกํากับผลงานออกมาได้ดีเกินคาด แม้ว่าทฤษฎีก่อนหน้านี้จะเคยกล่าวไว้ว่าหากผู้กํากับภาพยนตร์ไม่สามารถที่จะผลิตภาพยนตร์ออกมาให้ได้ดี พวกเขาก็ทําได้เพียงผันตัวเองมาเป็นผู้กํากับละครโทรทัศน์ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นหนทางเดียวที่เขาสามารถที่จะเลือกได้ ในความเป็นจริงคงไม่มีผู้กํากับภาพยนตร์คนใดที่จะยอมผันตัวเองมาถ่ายละครโทรทัศน์อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อผู้กํากับที่ประสบความสําเร็จในการถ่ายทําภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ถึงสามเรื่องอย่างเอริคที่ลงมือถ่ายทําละครซีรี่ย์โทรทัศน์ด้วยตัวของเขาเอง จึงทําให้ผู้ชมเกิดความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเองก็อยากจะ เห็นว่าเอริคจะสามารถสร้างปาฏิหารย์และผลงานละครให้กับวงการสถานีโทรทัศน์ Fox ได้หรือไม่ และผลงานที่ได้จะเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นทําให้ซีรี่ย์เรื่อง Friends ได้สร้างความคาดหวังให้กับผู้ชม เป็นอย่างมาก เมื่อนําข้อสรุปทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกันแล้วจึงทําให้ละครซิทคอมเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงและดังเป็นพลุแตกไปโดยปริยาย
เมื่อเข้าใจถึงจุดนี้แล้วสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามช่องก็เริ่มลงมือในทันที เหล่าผู้กํากับฮอลลีวูดอย่างสตีเว่น เสบียวเบิร์ก ฟรานซิส โคเปอร์ล่า มาติน สกอเซสซี่ ทิม เบอร์ตันและคนอื่นๆ ต่างก็ได้รับคําเชิญในราคาค่าตัวที่สูงลิ่ว แม้ว่าราคาที่ถูกเสนอไปนั้นจะมีมูลค่าที่สูงแต่สําหรับสถานี โทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามแล้วพวกเขาคิดว่าตราบใดที่สามารถแขวนชื่อของคนเหล่านี้บนบทละคร ได้พวกเขาก็ยอมที่จะจ่ายเงินจํานวนหลายล้านเพื่อผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคต
ภายใต้ก้อนเงินอันทรงพลังเหล่านี้ แม้ว่าผู้กํากับส่วนใหญ่จะปฏิเสธกับข้อเสนอเหล่านี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเข้ามาลองและหลังจากที่ได้ลงมือทําแล้วผลตอบลัพธ์ก็เป็นได้ด้วยดีการได้แขวนชื่อ ของผู้กํากับฮอลลีวูดเหล่านี้ทําให้การจัดอันดับโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นจนเกินความคาดหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเหล่าผู้กํากับก็จะได้รับเชิญให้มาเป็นผู้กํากับละครสองตอนแรก และดูเหมือนว่าแนวคิดนี้จะมีแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตหากละคร ของสหรัฐอเมริกาเรื่องใดที่ออกอากาศไปโดยไม่มีชื่อของผู้กํากับฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงในการประชาสัมพันธ์ ผู้ชมก็จะรู้สึกในทันทีว่าละครเรื่องนี้ไม่ได้เป็นที่น่าสนใจและไม่ได้มีระดับสูงมากพอที่จะ ติดตาม ซึ่งนั่นก็อาจจะทําให้ค่าเฉลี่ยของละครน้อยลง
ทว่าเรื่องเหล่านี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ไม่ใช้ในเวลานี้
หลังจากที่ซีรี่ย์เรื่อง Friends ถูกฉายออกไปสองอาทิตย์ คนที่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ก็ค้นพบว่ารายการของสถานีโทรทัศน์ Fox ที่พูดถึงซีรีย์เรื่อง Friends ก็ค่อยๆหายไป แม้แต่รายการทอล์คโชว์ที่นําประเด็นร้อนมาพูดคุยในรายการก็ไม่ได้สนใจที่จะพูดถึงซีรี่ย์เรื่อง Friends พวกเขาทําราวกับว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
นี่ทําให้เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามช่องกําลังประกาศให้เอริคได้รับรู้ถึงผลลัพธ์ที่เอริคปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขาก่อนหน้านี้
แต่การ ‘แบน’ เช่นนี้ไม่ได้ทําให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเสียหายให้กับซีรี่ย์เรื่อง Friends แม้แต่น้อยอย่าลืมว่าผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังของสถานีโทรทัศน์ Fox คือสื่อ News Crop ผู้ที่สามารถทําให้สื่อจากกระดาษส่งถึงสื่อโทรทัศน์ได้เพียงแค่กระดิกนิ้ว แม้ว่าสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งสามจะควบคุมสื่อโทรทัศน์ส่วนใหญ่ในอเมริกาเหนือ ทว่าในเวลานี้พวกเขาเป็นเพียงแค่เครือข่ายโทรทัศน์ที่ยังไม่ได้รวมเข้ากับกลุ่มสื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารเกี่ยวข้องน้อยมาก อีกทั้งในยุคนี้การสื่อสารแบบปากต่อปากของละครทีวีผ่านช่องทางของหนังสือพิมพ์และ นิตยสารก็มีส่วนที่จําเป็นอย่างมาก
แม้ว่าคู่แข่งของ Foxจะไม่ลืมที่จะโจมตีกระแสของซีรี่ย์เรื่อง Friends ผ่านหนังสือพิมพ์ที่พวกเขามีอิทธิพล เช่นการลงเนื้อหาโจมตีถึงประเด็นที่ว่าหัวข้อพูดคุยในบทซิทคอมเรื่องนี้มีความไม่เหมาะสมในการเผยแพร่เป็นจํานวนมาก ทว่าการโจมตีเหล่านั้นกลับไม่ได้สร้างปัญหาใหญ่อะไรให้กับ Fox เลยแม้แต่น้อย และยิ่งพวกเขาโจมตีซีรี่ย์เรื่อง Friends มากเท่าไหร่ซีรี่ย์เรื่องนี้ก็ยิ่งได้รับความสนใจจากผู้ชมมากเท่านั้น
ในเวลานี้เอริคนั่งอ่านบทความของ Los Angeles Times ที่ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับข่าวเรื่องซีรี่ย์ Friends
“ตามที่นักวิเคราะห์ข้อมูลของ Nielsen ได้เผยว่าภายในสัปดาห์ที่สองของซีรี่เรื่อง Friends ซิทคอมเรื่องนี้ได้รักษาค่าเฉลี่ยของผู้ชมอยู่ที่ประมาณ 22 ล้านคน จากผลสรุปนี้คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าซิทคอมเรื่องนี้กําลังจะได้เป็นราชาแห่งเรตติ้งของละครโทรทัศน์แห่งปี”
“มีข้อมูลถูกเผยแพร่ออกมาว่าวีรีย์เรื่อง Friends มีรายได้โฆษณาเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ล้านเหรียญต่อตอน ซึ่งนั่นทําให้ซีรี่ย์เรื่องนี้ได้รับรายได้มากกว่า 70 ล้านเหรียญ แม้ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าเงื่อนไขในการแบ่งสัดส่วนของ Fox และ Firefly ถูกกําหนดไว้ว่าอย่างไร แต่เอริค วิลเลี่ยมก็ถือว่ายังมีรูปแบบที่แข็งแกร่งเสมอ โฆษณาของซีรี่ย์เรื่อง Friends จะต้องทะยานไปสู่จุดสูงสุดอย่างแน่นอน ซึ่งจากการคํานวณนี้ทําให้เห็นว่าซีรีย์เรื่องนี้ที่ถูกเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ Fox ซึ่งนั่นหมายความ ว่า Fox จะสามารถนํารายได้กว่า 30 เหรียญส่งให้กับ Firefly ได้อย่างแน่นอน”
“และที่ทําให้ผู้คนตกตะลึงไปมากกว่านั้นคือลิขสิทธิ์ของซีรี่ย์เรื่อง Friends เป็นของ Firety ดังนั้นการถ่ายโอนสิทธิ์และการเปิดตัววีดิโอเทปของซิทคอมเรื่องนี้จะสามารถสร้างรายได้ที่มีจํานวนมากกว่าสามเท่าของรายได้จากการโฆษณารอบแรก โดยที่การลงทุนทั้งหมดในซิทคอมเรื่องนี้มีมูลค่าน้อยกว่า 5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น เอริค วิลเลี่ยม “เด็กน้อย ที่สร้างกระแสให้กับวงการฮอลลีวูดได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ส่องประกายเฉพาะในบทบาทของผู้กํากับภาพยนตร์เท่านั้น ทว่าบทบาทของผู้กํากับละครของเขาก็สามารถทําออกมาได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน”
“เมื่อเขียนบทความนี้ผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดอยู่เสมอว่า เส้นทางต่อไปของ เอริค วิลเลี่ยม จะเดินทางไปสายดนตรีหรือไม่ เพราะภาพยนตร์ที่เขากํากับหลายเรื่องต่างก็มีชื่อของเอริค วิลเลียมที่ถูกแทรกอยู่ในรายชื่อของเพลงประกอบอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจว่าในหนังเรื่อง (Dark War )) ที่มีเพลง The Silent Love ปรากฏขึ้นในฉากบนรถบัสจะมีกี่คนที่คลั่งไคล้กับบทเพลงที่ ไพเราะนี้ บทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่ทําให้ทอม ครูซ และบรุ๊ค ชิวส์มองเห็นภาพของกันและกัน จนทําให้ได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็นภาพยนตร์ที่งดงามที่สุดแห่งปีบริษัทค่ายเพลงรายใหญ่ทุก ท่านคะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทําไมยังไม่รีบลงมือยื่นข้อเสนอให้กับเขาก่อนที่จะมีคนเสนอมันให้กับ เขาหล่ะ ?”
เมื่อเอริคอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times จบแล้วเขาก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดขึ้นมา ในตอนที่เขากําลังถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Pretty Woman เป็นเพราะเขานึกถึงเพลงรวมของวงดนตรีป๊อปร็อคแซทที่โด่งดัง เอริคจึงได้เกิดไอเดียขึ้นว่าเขาอยากจะฝึกนักร้องเพื่อส่งคน เหล่านั้นไปแทรกแซงในอุตสาหกรรมดนตรี และยุค 90 เป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในอุตสาหกรรม บันทึกแผ่นเสียงของโลก ตราบใดที่ในบริษัทมีนักร้องเป็นของตนเองกําไรที่จะได้รับก็ดูเหมือนว่า จะไม่ได้น้อยไปกว่าสถานีโทรทัศน์หรือบริษัทภาพยนตร์เลย ถึงแม้ว่าในอนาคตจะถูกยุคของอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกแซงจนทําให้อุตสาหกรรมบันทึกแผ่นเสียงถูกลดบทบาทลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าลิขสิทธิ์ของเพลงก็เป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างรายได้ระยะยาว ซึ่งในตะวันตกมีการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวด
เอริคลงมือขีดเขียนบันทึกสิ่งที่เขาคิดไว้ลงบนกระดาษเพื่อไม่ให้ลืมก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือพิมพ์เล่มใหม่แต่ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องทํางานของเขาก็ดังขึ้น “คุณวิลเลี่ยม คุณผู้หญิงเมอร์ด็อกมาแล้วค่ะ”
เอริคขานรับกลับไปก่อนที่ร่างของเอลิซาเบธ ที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีฟ้าขาวกับกางเกงยีนส์สีเข้ม พร้อมกับมือที่กําลังถือกระเป๋าสตรีสีน้ําเงินเข้มเดินตรงเข้ามาในห้องเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่หล่อนจะนั่งลงตรงข้ามเอริคโดยที่ไม่รอให้ฝ่ายชายกล่าวเชิญด้วยท่าทางที่มั่นใจ ดูเหมือนว่าจูบในคืนก่อนหน้านี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับหล่อนเลยแม้แต่น้อย
เอลิซาเบธวางกระเป๋าถือลงบนตักของตนเองก่อนที่จะจ้องมองไปยังหัวข้อหนังสือพิมพ์ที่อยู่ตรงหน้าเอริค ก่อนที่จะจีบปากจีบคอพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณจะหลงตัวเองขนาดนี้ ถึงขั้นกับต้องแอบซ่อนตัวไว้ในห้องเพื่ออ่านบทความที่เขียนถึงตัวเอง”
เอริคไม่ได้สนใจคําเหน็บแนมของหญิงสาว หากเขาเป็นแค่ผู้กํากับภาพยนตร์เขาอาจจะไม่จําเป็นต้องสนใจเรื่องภายนอกเช่นนี้ ทว่าในเวลานี้เขาเป็นถึงประธานกรรมการของบริษัทภาพยนตร์ ซึ่งการติดตามข่าวสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่จําเป็นที่เขาต้องทํา แต่เป็นเพราะช่วงนี้เขายุ่งมากเอริคจึงต้องให้เลขาของเขาช่วยสรุปและเลือกข่าวที่สําคัญให้กับเขา และในทุกๆวันที่เขาเดินทางมาถึงบริษัทเขาก็จะดูข่าวต่างๆบนหนังสือพิมพ์เป็นสิ่งแรกก่อนที่จะเริ่มจัดการเรื่องอื่นๆ ตามลําดับ