ตอนที่ 235 ซีแอตเทิล
เอริคบอกลาอนิสตันแบบเร่งรีบก่อนเขาจะเดินนําเอลิซาเบธและนิโคลรวมถึงทีมงานคนอื่นๆอีกหลายคนตรงไปเช็คอินแล้วเดินเข้าไป ผู้โดยสารคนอื่นๆต่างก็ตรงไปเช็คอินที่ประตูเช่นกัน หลังจากที่เครื่องบินบินขึ้นแล้ว เอริคจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
เอลิซาเบธชําเลืองไปมองเอริคแวบหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ําเสียงเย็นชาว่า ” นี่เป็นจุดจบของผู้ชายที่โลภมากนะสิ เหอะเหอะ ”
เอริคไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเอลิซาเบธ เพราะเขารู้ว่าเด็กสาวกําลังพูดยั่วเขาอยู่ ทุกคําพูดที่เธอพูดออกมาเป็นคําพูดที่เย้าแหย์ให้อีกฝ่ายไม่พอใจทั้งนั้น ดังนั้นเงียบจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วสําหรับตอนนี้
หลังจากที่นั่งเครื่องบินมากว่าสี่ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงท่าอากาศยานนานาชาติซีแอตเทิล-ทาโค มาเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นเม็ดฝนเกาะอยู่ตรงหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดครื้มไม่มีแม้แต่แสงแดด จึงทําให้รู้ว่าฝนเพิ่งจะตกได้เพียงไม่นาน เมื่อนํามาเปรียบเทียบกันกับอากาศในลอสแองเจลิส มีแต่แสงแดดที่ส่องแสงระยิบระยับตลอดทั้งปี แต่อากาศในซีแอตเทิลกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเมืองนี้ได้รับอิทธิพลความอบอุ่นจากกระแสน้ําในมหาสมุทรจึงทําให้ซีแอตเทิลกักเก็บความชุ่มชื้นได้ตลอดทั้งปี แม้แต่ตอนที่ฝนไม่ตกก็ยังรู้สึกได้ถึงความชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา จึงพูดได้ว่า “ เมืองซีแอตเทิลนี้จะมีฝนตกทุกๆเดือนกันยายนของทุกปี “ ซึ่งผู้กํากับอย่าง นอรา เอฟรอนที่กําลังถ่ายทําหนังอยู่ในเมืองนี้ก็ประสบปัญหานี้เช่นกันเขาจําเป็นต้องเลื่อนกองออกไปก่อนเนื่องจากฝนตกหนักจนถ่ายทําไม่ได้
แอร์โฮสเตสพูดแนะนําให้ผู้โดยสารใส่เสื้อผ้าหนาๆเพราะอากาศข้างนอกนั้นเย็นมาก ซึ่งเอริคเองก็หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาใส่อีกชั้นก่อนเดินลงจากเครื่องบิน แต่ขณะที่กําลังเดินลงจากเครื่องบินนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงลมเย็นที่กระทบใบหน้าของเขา
อุณหภูมิของเดือนกันยายนในเมืองลอสแองเจลิสยังคงเพิ่มสูงขึ้นถึง 30 องศาเซลเซียส ซึ่งแตกต่างจากเมืองซีแอตเทิลที่มีอากาศเย็นสบายของฤดูใบไม้ร่วง และมีอุณหภูมิเพียงแค่ 15 องศาเซลเซียสเท่านั้น
” เฮ้ เอริค ” เจฟฟรีย์ที่มารอรับเอริคที่สนามบินตะโกนเรียกชื่อเมื่อเห็นเอริคเดินออกมา เอริค กอดสองคนที่เดินนําหน้ามาเพื่อเป็นการทักทาย
หลังจากที่เอริคทักทายเสร็จแล้ว ก็ถามเจฟฟรีย์ว่า “ ซีแอตเทิลในช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ? ”
” ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะฉันไม่ชอบอากาศในซีแอตเทิล “ เจฟฟรีย์ส่ายหน้า
เอริคยิ้มอย่างปลอบโยน” อดทนอยู่อีกสักสองสามวันนะ รอผมได้ลู่ทางที่นี่ก่อน ผมจะให้คุณบินไปนิวยอร์กทันที ”
“ ฉันรู้ไปกันเถอะ รถมารออยู่ด้านนอกแล้ว ” เจฟฟรีย์พูดขึ้นพร้อมกับทักทายคนอื่น แล้วพาทุกคนไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านนอก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทุกคนก็มาถึงสถานที่ที่ถ่ายทําฉากในหนัง ซึ่งเป็นชายหาดอัลกในเมืองซีแอตเทิล ชายหาดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของซีแอตเทิล
ชายหาดแห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเป็นระยะทางกว่า20กิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างห่างไกลความเจริญอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เหล่าทีมงานจึงอยู่แบบเรียบง่ายและเน้นความสะดวกมากที่สุด
เอลิซาเบธที่กําลังยืนมองเตียงและโต๊ะเรียบๆที่อยู่ในห้องนอนของตัวเองด้วยความตกใจ รวมทั้งทีวีเครื่องเล็กที่ดูคล้ายกับกล่องเก่าๆใบหนึ่ง หล่อนจึงไปลากเอริคเข้ามาในห้องด้วยความไม่พอใจก่อนพูดขึ้นว่า ” เอริค นี่เรากังวลเรื่องเงินทุนถึงขนาดเช่าห้องแบบนี้ให้ทีมงานอย่างนั้นเหรอ? “
“ไม่ใช่แน่นอน” เอริครู้สึกอยากแกล้งหญิงสาวจึงพูดหยอกล้อว่า “ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะสร้างโรงแรมห้าดาวให้กับทีมงานหรอกนะ “
“แต่ฉันว่า…” หญิงสาวมีสีหน้าไม่พอใจขณะที่ชี้ไปที่สิ่งของในห้อง
“ลิซ เธอต้องเข้าใจว่าเรามาถ่ายงาน ไม่ได้มาเที่ยวเล่น เพื่อประหยัดเวลาเราจึงจําเป็นต้องหาที่พักที่อยู่ในละแวกนี้ แน่นอนว่ามันค่อนข้างไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่นัก แต่เธอจะให้ทีมงานอีกหลายคนขับรถไปกลับ 20 กิโลทุกวันอย่างนั้นเหรอ ? ซึ่งที่นี้ก็อยู่ห่างจากที่พักไม่กี่กิโลเอง เธอควรจะคิดด้วยว่าถ้าอยู่ในเมืองทีมงานต้องขับรถฝ่ารถติดฝ่าความแออัดออกมาแบบนั้นมันยิ่งทําให้เสียเวลามากขึ้นไปอีก”
เอลิซาเบธขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า ” แต่ที่นี้ดูสกปรกอะ ”
“ถ้าเธอทนไม่ไหว เธอก็ไปเช่าห้องในเมืองคนเดียวก็ได้นะ ที่พักแถวนั้นน่าจะดีกว่าที่นี่แน่นอน เธอดูสิอย่างน้อยที่มีก็มีทีวีให้ดูนะ” เอริคพูดยิ้มพร้อมกับชี้ไปทางทีวีเล็กๆที่ดูค่อนข้างล้าสมัยเครื่องนั้น ซึ่งในใจคิดอยากจะย้ายมันออกไปด้วยซ้ํา สิ่งของที่มีอายุราวสิบกว่าปีถูกวางอยู่ในห้องทําให้รู้สึกถึงรสนิยมเก่าๆของคนรุ่นก่อน
เอลิซาเบธค้อนใส่เอริคเพื่อสื่อว่าเขากําลังล้อหล่อนเล่นไช่ไหม
หลังจากพูดล้อเล่นเสร็จแล้วเอริคก็ตีไปที่ไหล่ของหญิงสาวเบาๆก่อนพูดขึ้นว่า “ ลิซ ไหนๆเธอก็ตั้งใจจะทําหนังไม่ใช่เหรอ ? ถ้าแค่ห้องนี้เธอยังทนไม่ได้ ฉันแนะนําให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะทําหนังตอนนี้เลย เพราะถ้าเธอจะถ่ายหนังในอนาคต ก็ตองเจอกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ การค้างคืนตามป่าตามเขาเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง ถึงตอนนั้นเธอจะทํายังไงละ ?
” ฉัน” หญิงสาวกัดริมฝีปากก่อนที่จะถามขึ้นว่า ” แล้วทีมงานทั้งหมดพักที่นี่ไหม ?”
“ แน่นอน ” เอริคตอบ “ ห้องของฉันอยู่เยื้องๆตรงข้ามห้องเธอ ซึ่งห้องตรงข้ามเธอเป็ นห้องของนิโคล อีกอย่างทีมงานก็ไม่ได้พักที่นี่กันทุกคน ดังนั้นฉันถึงได้บอกไงว่าที่นี่ดีที่สุดแล้ว เพราะห้องพักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเราที่พวกทีมงานจัดเตรียมอุปกรณ์การแสดงยังแย่กว่านี้อีก”
เอลิซาเบธคิดอยู่สักครู่ก่อนหมุนตัวออกไปลากกระเป๋าเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ
หลังจากที่กินอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เอริคใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายในการเลือกสถานที่ถ่ายทํากับเจฟฟรีย์ ตกเย็นก็มีงานปาร์ตี้เล็กๆสําหรับทีมงาน เช้าวันที่สองจึงได้เริ่มลงมือถ่ายทําหนังเรื่อง Sleepless in Seattle
“เอ้ วิกเตอร์ ช่วงชี้ทํางานกับลุงแฮงค์เป็นยังไงบ้าง ? ” ขณะที่ทีมงานกําลังเช็ครางที่เอาไว้เคลื่อนตัวกล้องถ่ายรูป เอริคก็นั่งยองๆลงท่ามกลางสิ่งของระเกะระกะนี้ เพื่อถามไถ่เด็กผู้ชายตัวเล็กที่ใส่เสื้อสีแดงและสวมหมวกเบสบอลคนหนึ่ง
เด็กผู้ชายที่ชื่อว่าวิกเตอร์ มอร์ริสเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ของเขา เมื่อเข้าได้ยินคําถามแบบนี้จึงตอบกลับไปว่า “ ลุงแฮงค์เป็นคนใจดีมาก เขาชอบซื้อของขวัญมาให้ผมเยอะแยะเลย ” เด็กชายพูด ก่อนจะล่วงกระเป๋าแล้วหยิบหุ่นทรานฟอร์เมอร์ตัวเล็กออกมาชูให้เอริคดู เมื่อพิจารณาดูแล้วหุ่นตัวนั้นน่าจะเป็นตัวที่ชื่อว่าออพติมัสไพรม์
เอริคยิ้มและพูดว่า ” โอเค แล้วถ้านายแสดงได้ดีฉันก็จะให้ของขวัญนายเหมือนกัน หุ่นทรานฟอร์มเมอร์ทุกชุดเลยเป็นไง ? ”
เด็กชายหันหน้าไปสบตากับแม่ของเขาก่อนส่ายหน้า “ ไม่เอาดีกว่า คุณผู้กํากับ แม่ผมบอกว่า พวกคุณจ่ายค่าตัวให้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีของขวัญให้ ยังไงผมก็ต้องแสดงมันออกมาให้ดีที่สุด ”
เอริคลูบหัวเด็กชายด้วยความเอ็นดู แล้วนั่งพูดคุยกับเด็กชายอีกสักพักก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันไปพูดกับแฮงค์ว่า “แล้วคุณละเป็นยังไงบ้าง ? “
” วิกเตอร์เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก และฉลาดมากด้วย แต่บางทีเขาก็ไม่รู้ว่าจะแสดงออกมาได้ตามความต้องการของคุณหรือเปล่า ซึ่งถ้าจะให้พูดตามความจริง ฉันคิดว่ายังมีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งเหมาะสมกับบทบาทโจนาสเหมือนกัน “
เอริครู้ว่าแฮงค์กําลังพูดถึงสเตวอร์ด แลงเกลอยู่ ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดเป็นแค่ตัวประกอบ สเตวอร์ด ก็ได้ค่าตัวก็เป็นล้านดอลลาห์ไปละ ซึ่งเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเอริคคนนี้เรียกค่าตัวแค่เพียงหนึ่งแสนดอลล่าห์เท่านั้น ถึงแม้ว่าบริษัท Firefly ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินก็ตาม แต่เขาก็ไม่จําเป็นต้องเสียเงินให้กับเรื่องไร้สาระแบบนั้น และแม้ว่าบทบาทโจนาสจะค่อนข้างน่าสนใจมากก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็เป็นได้แค่ตัวประกอบเท่านั้น ซึ่งพระนางหลักของหนังเรื่องคือแซมกับแอนนี่ต่างหาก
“ลองดูก่อนสักสองสามตอนก่อนก็ได้ การคัดเลือกนักแสดงเด็กผู้ชาย สิ่งสําคัญที่สุดคือเขาต้องเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ถึงแม้ว่าการถ่ายทําหนังในซีแอตเทิลจะค่อนข้างสบายๆก็ตาม แต่ถ้านักแสดงเด็กที่เลือกมาไม่เชื่อฟัง ไม่ตั้งใจแสดง ยังไงก็ต้องมีผลกระทบต่องานและทีมงานคนอื่นๆอย่างแน่นอน”
” คิคิ ฉันเข้าใจ “ แฮงค์หัวเราะ
การถ่ายทําผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะเอริคที่กําลังคุยกับทีมงานสองคนอยู่ แฮงค์ก็พาเด็กชายไปเดินผ่อนคลายที่ชายหาด
ฉากแรกนั้นเป็นฉากที่ง่าย ซึ่งเป็นฉากที่แซมพาโจนาสมาพายเรือเล่นในทะเล ด้วยเห็นที่เป็นฉากไกลๆจึงไม่จําเป็นต้องใช้ทักษะการแสดงมากนัก ด้วยเหตุนี้แฮงค์และเด็กชายคนนี้ทําแค่เพียงแกว่งมือไปมาเท่านั้น เอริคก็หันไปกําชับตากล้องและรองผู้กํากับ ให้พวกเขาช่วยเก็บบรรยากาศให้มากที่สุด ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังรถลาก
ซึ่งประตูรถลากนั้นได้เปิดก่อนอยู่แล้วเขาจึงเดินขึ้น ขณะที่ช่างแต่งหน้ากําลังเติมหน้าให้กับนิโคลอยู่ ระหว่างรอให้แฮงค์และเด็กชายถ่ายฉากพายเรือเล่นเสร็จ ซึ่งเป็นฉากที่พ่อลูกกําลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน และเป็นฉากแรกที่แอนนี่ต้องพูดสนทนากับแซมในเรื่องด้วย
แม้ว่าฉากเปิดเรื่องจะต้องเป็นฉากที่พระนางคุยกันก็ตาม แต่เอริคกลับหยิบยกฉากพายเรือนั้นมาถ่ายเป็นฉากแรก
“ คุณวิลเลี่ยม “ เมื่อเห็นเอริคเดินเข้ามาช่างแต่งหน้าทั้งสองคนก็กล่าวทักทายขึ้นทันที
“ พวกคุณทํางานต่อเถอะ ” เอริคยืนข้างๆนิโคลก่อนที่เขาจะเดินไปด้านหลังของหญิงสาว แล้วมองความสวยของหญิงสาวผ่านกระจก
ช่างแต่งหน้าปัดแป้งส่วนเกินบนใบหน้าของหญิงสาวออกก่อนจะหันไปถามเอริคว่า ” คุณวิลเลี่ยมช่วยดูหน่อยว่าแบบนี้ได้ไหม ?”
นิโคลก็ยืนขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเอริคก่อนจะหมุนตัวไปมารอบหนึ่ง
หญิงสาวใส่เสื้อสูทสีขาวกับกระโปรงทรงเอซึ่งเข้ากันดีกับรองเท้าส้นสูงสีขาว นอกจากนี้ก็ยังมีเสื้อโค้ชตัวใหญ่สีเทาใส่คลุมทับอยู่ด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมองดูคล้ายเม็ก ไรอันในความทรงจําของเอริค ทั้งสองคนนั้นสวยเหมือนกัน แต่นิสัยส่วนตัวกลับไม่มีส่วนไหนที่คล้ายกันเลย ซึ่งเอริคเองต้องการนางเอกที่ดูอ่อนหวานไร้เดียวสา
” นิโคล ให้คิดว่าตัวเองเป็นแอนนี่ ไรเดอร์ ไหนยิ้มให้ผมดูหน่อยสิ “ เอริคยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะแล้วพูดกับหญิงสาว
นิโคลทําสมาธิอยู่พักหนึ่งก่อนที่ปากเล็กๆของหล่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แล้วมองไปที่เอริคด้วยสายตาไร้เดียงสา ซึ่งรอยยิ้มที่ดูโง่ๆไร้เดียงสาที่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานทําให้เอริคนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนดีดนิ้วและพูดอย่างชื่นชมว่า “ ดีมาก เอาแบบนี้แหละ ”
หลังจากที่นิโคลได้รับคําชื่นชมจากเอริคหล่อนก็รีบเก็บสีหน้าเมื่อครู่นั้นทันทีก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้าของนิโคลคิดแมนคนเดิมอีกครั้ง แล้วมองเอริคเพื่อรอคําสั่งถัดไปของเขา
เอริคไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางแบบนั้นของนิโคลมากนัก แค่หวังว่าตอนแสดงนิโคลจะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วก็เพียงพอแล้ว
” จริงสิ วิธีการเดินของแอนนี่คุณศึกษามาอย่างละเอียดแล้วใช่ไหม ? “
” แน่นอน “ นิโคลพยักหน้า แล้วมองซ้ายมองขวาก่อนจะหยิบกระเป๋าที่อยู่บนพื้นหญ้าขึ้นมาสะพายบ่า และเดินออกไปด้านนอกตัวรถในคราบของตัวละครที่ชื่อว่าแอนนี่
“ เก่งมาก “ เอริคพูดชมอีกครั้ง ซึ่งสีหน้าของนิโคลค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน