TXV – 245 อยากกินอมยิ้ม
ในช่วงวันหยุดปีใหม่การที่ได้มาเที่ยวชมสวนสาธารณะพร้อมกับไปที่ศาลเจ้าเพื่อประกอบประเพณีของชาวจีนนั้น การกระทำเหล่านี้แม้แต่ผู้ที่เป็นเศรษฐีก็จำเป็นต้องทำโดยไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อเซี่ยเหล่ยขับรถมาถึงบริเวณสวนจิ่งชานก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ซึ่งก็คือเฉินตูเทียนหยินและเฉินตูเหยินที่รออยู่ก่อนแล้ว โดยที่เฉินตูเทียนหยินเป็นคนเข็นเก้าอี้รถเข็นให้กับเฉินตูเหยินพร้อมด้วยข้างๆพวกเขาฟู่เฉินฟู๋และฟู่หมิงเหม่ยคอยเป็นบอดี้การ์ดปกป้องอยู่อย่างเข้มงวด
เซี่ยเหล่ยได้หยุดรถแล้วจอดบริเวณที่จอดของสวนสาธารณะจากนั้นก็เดินไปหาเฉินตูเทียนหยิน
เฉินตูเหยินที่เห็นเซี่ยเหล่ยเดินเข้ามาก็ได้ยกมือขึ้นเพื่อที่จะทักทาย
เซี่ยเหล่ยเดินเข้าไปหาเฉินตูเหยินก่อนจากนั้นก็ยิ้มก่อนพูดไปว่า “ลุงเหยิน คุณสามารถยกมือขึ้นได้แล้ว คุณฟื้นตัวได้เร็วดีจริงๆ”
“นี่ไม่ใช่เพราะโชคดีของผมแต่มันเป็นเพราะคุณ” เฉินตูเหยินพูดพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดต่อว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงจะได้แต่รอนอนความตายอยู่บนเตียงแค่นั้นเอง”
“ลุงเหยินก็พูดเกินไปแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
“แล้วในตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ ยุ่งมากอย่างนั้นเหรอ? คุณไม่ได้มาหาผมนานมากแล้วนะ “เฉินตูเหยินพูดขึ้นพร้อมแกล้งทำเป็นน้อยใจ
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ในความเป็นจริงผมก็อยากที่จะไปเยี่ยมคุณอยู่นะแต่บริษัทของผมเกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างเลย “
“คุณแก้ปัญหาได้แล้วหรือยัง?” เฉินตูเหยินถาม
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “ผมแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้วครับ”
เฉินตูเหยินพูดว่า “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ในภายหลังถ้าคุณเจอปัญหาอะไรก็มาบอกผมได้ ถ้าผมช่วยได้ ผมจะช่วยอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อแม้เลย”
“ครับ…ขอบคุณครับ” เซี่ยเหล่ยตอบไปอย่างสุภาพ
เฉินตูเทียนหยินพูดว่า “เราไปกันเถอะ”
เฉินตูเหยินพูดขึ้นว่า “พวกคุณไปกันเถอะ ผมรู้สึกว่าวันนี้อากาศและแสงแดดกำลังดี ผมเลยอยากที่นั่งจะอาบแดดซักหน่อย มันจะได้ช่วยทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นคงจะดีไม่น้อย “
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหล่ย เธอยิ้มขึ้นจากนั้นก็พูดไปว่า “เราไปเดินเล่นกันเถอะ”
“อื้ม ไปกันเถอะ” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นจากนั้นก็เดินเข้าไปในสวนสาธารณะพร้อมกับเฉินตูเทียนหยิน
ภายในสวนสาธารณะนั้นมีผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นทั้งคู่รัก ครอบครัวพ่อแม่ลูกหรือบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของพวกเขาเหล่านี้ทำให้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวามาก การที่เฉินตูเทียนหยินมาเดินในตอนนี้ไม่ได้มีฟู๋หมิงเหม่ยตามมาเป็นบอดี้การ์ดแต่เธอก็ยังสบายใจว่าจะปลอดภัยอยู่เพราะตอนนี้เธอมีเซี่ยเหล่ยอยู่ใกล้ๆ เธอรู้สึกมั่นใจว่าเขาจะต้องปกป้องเธอได้อย่างแน่นอนดังนั้นเธอจึงได้ไปเที่ยวตามสถานที่ยอดนิยมของสวนแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ
“ฉันอยากจะกินอมยิ้ม” จู่ๆเฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นในขณะที่คนขายคนหนึ่งเดินผ่านมา ดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายด้วยความอยากกินอย่างมาก
เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นว่า “งั้นเราไปซื้อกัน”
เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยไปว่า “แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเลย”
“ผมจะซื้อให้คุณเอง” เซี่ยเหล่ยพูดขึ้นจากนั้นก็เดินไปยังชายขายอมยิ้ม
เฉินตูเทียนหยินเดินตามเซี่ยเหล่ยไปจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ฉันต้องการกินอมยิ้มรูปฟีนิกซ์”
เซี่ยเหล่ยหยิบอมยิ้มรูปฟีนิกซ์ให้กับเฉินตูเทียนหยิน
จากนั้นเฉินตูเทียนหยินก็หยิบอมยิ้มรูปมังกรใส่มือเซี่ยเหล่ยแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นคุณกินนี่ก็แล้วกัน”
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนพูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ ผมเองก็ไม่ได้กินอมยิ้มเป็นเวลาหลายปีแล้ว”
เซี่ยเหล่ยจ่ายเงินค่าอมยิ้มจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดที่มีเคเบิ้ลคาร์สำหรับเที่ยวชมมุมสูงของสวนสาธารณะ พวกเขาก็ไม่พลาดจึงได้ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ มันได้พาพวกเขาไปเที่ยวชมทั้งทะเลสาบและภูเขาอย่างช้าๆ ซึ่งมันสวยงามอย่างมาก
“ก่อนหน้านี้ ทำไมคุณถึงไม่ให้ฉันช่วย ” เฉินตูเทียนหยินถามขึ้นในขณะที่เคบิ้ลคาร์กำลังแล่นพาชมสวนและเธอเองก็มองไปนอกหน้าต่าง
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ผมคิดว่าถ้าคุณมาช่วยผม คุณก็จะเจอกับความวุ่นวายจากตระกูลกู๋ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นและอีกอย่างผมคิดว่าเรื่องนี้ผมยังพอที่จะแก้ปัญหาได้ “
ในความเป็นจริงเซี่ยเหล่ยไม่เพียงแค่แก้ปัญหาได้เท่านั้น แต่เขายังสร้างปัญหาให้กับตระกูลกู๋เพิ่มได้อีกต่างหาก
เฉินตูเทียนหยินจากที่มองไปนอกหน้าต่างก็ได้หันกลับมามองเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เอาเถอะ แต่ถ้าครั้งหน้าคุณมีปัญหาอะไรอีก คุณก็บอกฉันได้เลยอย่าปฏิเสธความช่วยเหลือจากฉัน “
เซี่ยเหล่ยยิ้มจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้าจำเป็น ผมก็จะบอกคุณ”
“เอ่อ …… ทุกวันนี้คุณได้ติดต่อกับคุณหลางมั้ย?” เฉินตูเทียนหยินถามขึ้น
เซี่ยเหล่ยได้แต่ส่ายหัวเพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
เฉินตูเทียนหยินเองก็เงียบลงและไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอเคยพูดกับพ่อของเธอว่าเธอนั้นชอบเซี่ยเหล่ยและเซี่ยเหล่ยเองก็คงจะชอบเธอเหมือนกันแต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งเซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้ติดต่อเธอมาเลยนั่นทำให้ความมั่นใจของเธอลดลงและนี่จึงทำให้วันนี้เธอเป็นฝ่ายชวนเซี่ยเหล่ยออกมาข้างนอก แต่เมื่อมาถึงแล้วเขาไม่ได้เป็นไปตามที่เธอหวังไว้ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย….
ขณะนี้เซี่ยเหล่ยได้มองออกไปนอกหน้าต่างแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆสายตาของเขาก็หันไปมองลงไปที่พื้นข้างล่าง
มีวัยรุ่นคนหนึ่งได้ถือกล้องและถ่ายรูปไปที่เซี่ยเหล่ยและเฉินตูเทียนหยิน
“ถ่ายรูปเคเบิ้ลคาร์ที่อยู่บนฟ้าเนี่ยนะ?” เซี่ยเหล่ยคิดและสงสัยอยู่ในใจจากนั้นเขาก้ได้กระพริบตาซ้ายเล็กน้อยก่อนที่จะเพ่งลงไปที่วัยรุ่นคนนั้น
เซี่ยเหล่ยมองเห็นวัยรุ่นคนนั้นอย่างชัดเจนในมือของเขากำลังถือกล้อง DSLR พร้อมเลนซ์ซูมขนาดใหญ่และเมื่อเห็นว่าเซี่ยเหล่ยกำลังมองลงไปก็ทำให้วัยรุ่นคนนั้นหันไปถ่ายรูปในทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำก่อนหน้านี้
เซี่ยเหล่ยยังคงมองไปที่วัยรุ่นคนนั้นแต่วัยรุ่นคนนั้นขณะนี้ได้เดินสวนทางกับทิศทางที่เคเบิ้ลคาร์เคลื่อนที่ไป หลังจากนั้นไม่นานเซี่ยเหล่ยก็มองไม่เห็นวัยรุ่นคนนั้นอีกแล้ว
“เขาเป็นคนของใครกันแน่ตระกูลกู๋หรือCIA?” เซี่ยเหล่ยคิดและก็สงสัยอยู่ภายในใจ
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทำให้หลังจากนี้เซี่ยเหล่ยจะระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะเขารู้ว่า CIA จะไม่ลดละจากการไล่ล่าเขาและตระกูลกู๋เองก็ไม่ปล่อยเขาไว้แน่เหมือนกัน
“คุณกำลังมองอะไรอยู่?” เฉินตูเทียนหยินถามขึ้น
“มีคนแอบถ่ายรูปของพวกเราเมื่อกี้นี้” เซี่ยเหล่ยตอบ
หลังจากได้ยินเซี่ยเหล่ยพูดแบบนั้นก็ทำให้เฉินตูเทียนหยินมองออกไปข้างนอก แต่ก็พบว่าข้างนอกตอนนี้เป็นป่าปกคลุมและห่างไกลจากพื้นมากเธอจึงพูดขึ้นว่า “เขาอยู่ที่ไหน?”
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “เขารู้ตัวแล้วว่าผมไหวตัวทัน เขาเลยเดินไปทิศตรงข้ามกับเรา”
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนพูดด้วยรอยยิ้มไปว่า “บางทีคุณอาจจะเครียดมากเกินไปจนตาฝาดก็ได้”
ไม่รู้ว่าในระยะนี้กล้องส่องทางไกลจะยังมีความแม่นยำหรือไม่แต่มั่นใจได้กับสายตาของเซี่ยเหล่ยเพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีคนแอบถ่ายและเขาเองก็กังวลอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายของตระกูลกู๋หรือฝ่าย CIA
“อ่อใช่…ฉันรู้ว่าคุณกำลังเปิดสาขาใหม่ที่เมืองชู่มันมีความคืบหน้าอย่างไรบ้างในตอนนี้” เฉินตูเทียนหยินเปลี่ยนเรื่องคุย
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรและจะพร้อมเริ่มทำการผลิตในอีกไม่นาน”
“เรื่องบางเรื่องฉันอาจจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้ แต่ก็ขอให้บอกมาก่อนแต่ถ้าเป็นเรื่องเงิน ฉันสามารถช่วยได้ตลอดเวลานะ” เฉินตูเทียนหยินพูด
ทันทีที่เฉินตูเทียนหยินพูดจบเซี่ยเหล่ยก็คิดไปถึงแผนการของอเลน่าทันทีโดยแผนแรกต้องใช้เงินลงทุนราว 2.5 พันล้านเพื่อที่จะสร้างเครื่องยนต์ในรถยนต์และอีกแผนก็คือการผลิตปืนไรเฟิลซึ่งต้องใช้เงินลงทุนราว 300 ล้าน
ความคิดที่จะกู้ยืมเงินเธอก็ได้ผุดขึ้นมาในเวลานี้เขาคิดในใจว่า ‘เธออาจจะสารถให้เรายืมได้หลายร้อยล้านแต่ถ้าเป็นจำนวนพันล้านมันก็มากเกินไปคงไม่ได้แน่และด้วยจำนวนเงินขนาดนั้นเฉินตูเทียนหยินและเฉินตูเหยินจะคิดกับเราว่าเป็นคนอย่างไรถึงกล้ากู้ยืมขนาดนี้ ถึงแม้ว่าแผนการที่จะสร้างเครื่องยนต์ของรถนั้นน่าสนใจขนาดไหนแต่ปัจจัยตอนนี้ยังไม่เอื้ออำนวยแต่ถ้าเป็นเรื่องการผลิตปืนไรเฟิล ถ้าเราขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลก็น่าจะทำให้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจากการกู้ยืมได้’
แน่นอนว่าถ้าเลือกเขาก็จะเลือกแผนการที่สองของอเลน่าคือการผลิตปืนไรเฟิลหน่วยงานลับ101 เคยบอกที่จะให้เงินทุนในการผลิตเพราะพวกเขาก็หวังให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วแต่เรื่องนี้ก็ยังไม่แน่นอนเพราะเป็นเพียงสัญญาปากเปล่าในเรื่องของเงินทุน ถ้าพวกเขาไม่ให้เงินหล่ะ จะทำอย่างไร?
การยืมเงินจากครอบครัวเฉินตูเองก็ยังมีปัญหาเหมือนกันถ้าหากเฉินตูเทียนหยินหรือเฉินตูเหยินต้องการหุ้นของบริษัทจะตอบไปว่าอย่างไร?
แม้ว่านี่จะเป็นทั้งหมดที่เซี่ยเหล่ยคิดในใจแต่เขาก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณคุณมาก แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็น แต่ในภายหน้าหากผมต้องการที่จะยืมเงินคุณหวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธผมหรอกนะ “
เฉินตูเทียนหยินพูดด้วยท่าทางที่พยายามให้เห็นถึงเสน่ห์ของเธอว่า “คุณลองทดสอบโดยการขอฉันตอนนี้สิ แล้วดูว่าฉันจะให้คุณยืมหรือไม่?”
เซี่ยเหล่ยจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมขอยืนเงินคุณสิบดอลลาร์ได้ไหม?”
อยู่ๆเฉินตูเทียนหยินก็ได้แสดงออกในลักษณะที่งุ่มง่ามและอ่อนโยนขึ้นมา เพราะเธอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวเลย
เซี่ยเหล่ยจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผมล้อเล่น ตอนนี้ผมไม่ได้จะยืมเงินคุณจริงๆหรอก”
ในขณะนี้เคเบิ้ลคาร์ได้หยุดที่เทอร์มินัลเซี่ยเหล่ยก็ได้พยายามสังเกตหาตัววัยรุ่นคนนั้นแต่เขาก็ไม่เขาคนนั้นอีกแล้ว
“เที่ยงนี้อย่าเพิ่งรีบกลับบ้านนะ ไปที่บ้านของฉันแล้วกินอาหารเที่ยงก่อน” เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้น
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “อื้ม ผมจะไปช่วยนวดและฝังเข็มให้กับพ่อของคุณอีก มันจะช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีก “
เฉินตูเทียนหยินยิ้มจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เยี่ยมไปเลย พ่อของฉันพูดชื่นชมคุณอยู่ตลอดเวลา และเขาก็อยากให้คุณไปหาเขาบ่อยๆ”
“เอ่อ…ผมจะไปบ่อยๆก็แล้วกันแต่ตอนนี้เรากลับกันเถอะ พ่อของคุณคงจะรอแย่แล้ว “เซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
พวกเขาได้นั่งเคเบิลคาร์ลงมาจากภูเขาและกลับมาหาเฉินตูเหยิน ในขณะนี้เองเซี่ยเหล่ยก็ยังใช้ตาซ้ายมองไปรอบๆทุกทิศทางเพื่อที่จะหาวัยรุ่นคนนั้นแต่ที่สุดแล้วเขาก็หาไม่เจอแต่นั่นก็ไม่ทำให้เซี่ยเหล่ยไม่หยุดระมัดระวังตัวเพราะเขายังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เหมือนกับว่าวัยรุ่นคนนั้นยังซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล เพียงแต่ยังหาตัวไม่เจอก็เท่านั้น
“แม้ว่าจะใช้ตาซ้ายมองแล้วแต่ก็ยังหาไม่พบ เขาเป็นใครกันแน่ ? ” ในหัวของเซี่ยเหล่ยคิดถึงเรื่องวัยรุ่นคนนั้นอยู่ตลอดเวลาแท้จริงแล้วเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ !
ตอนนี้จบกลุ่มที่ 3 แล้วนะครับ เจอกันกลุ่มที่ 4 นะ ขอบพระคุณที่ติดตามกันมาตลอดเนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแน่นอนครับ ^^
ติดตามตอนต่อไป……….