TXV – 242 ทางสุนัขผ่าน ?
ในเมืองชิงตู่ ณ ตึกทางเหนือของบริษัทนอส์ซ
ภายในออฟฟิศของกู๋ดิงชานใหญ่มากพอให้ทีมบาสเก็ตบอลฮิวว์เตนร็อกเก็ต และคลียแลนด์ คาเวนเรียย์ มาแข่งกันข้างในได้เลยไม่ว่าใครมาพบเขาที่นี่ก็จะรู้สึกเหมือนกำลังได้พบพระราชาอยู่
ความรู้สึกนี้ก็ไม่เว้นแม้แต่กู๋เค่อวู่ด้วย เขารู้สึกได้ถึงความโกรธและความไม่พอใจแผ่กระจายออกมาจากตัวกู๋ดิงชาน
“พ่อไปดูพวกมันมาแล้วบริษัทไอ้เด็กนั่นถูกสั่งห้ามก็จริงแต่ทำไมแกต้องฆ่ามันด้วยวิธีซับซ้อนขนาดนั้นด้วย?” กู๋ดิงชานกล่าวน้ำเสียงเขาแฝงความโกรธเอาไว้ “ตอนนี้ด่งหวู่ตายแล้ว ฉิงฉี๋ก็ถูกจับแต่ไอ้เด็กนั่นมันยังอยู่ แกทำให้พ่อผิดหวัง!”
กู๋เค่อหวู่เริ่มอธิบาย “พ่อ ผมก็อยากแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุดนะครับ ผมวางแผนไว้รอบคอบแล้วแต่ไม่ได้คิดว่าด่งหวู่ ฉิงฉี๋และลอร์น่าจะมาพลาดแบบนี้”
ลอร์น่าคือผู้หญิงที่ถ่ายหนังสดกับหู่ฮั่วบนเตียง เธอเป็นคนของตระกูลกู๋และเป็นคนที่ทำเรื่องสกปรกให้ตระกูลนี้ด้วย
กู๋ดิงชานตบโต๊ะด้วยความโกรธจัด “แกมันห่ามเกินไป!”
กู๋เค่อหวู่ขยับริมฝีปากจะอธิบายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
กู๋ดิงชานกล่าว “เราไม่ใช่ฝ่ายเดียวที่ฆ่าพวกมันได้อีกแล้วนะ ช่วงเวลาที่เราเหนือกว่ามันผ่านไปแล้ว พ่อบอกหลายครั้งแล้วว่าถ้าอยากให้ใครตาย มันมีตั้งหลายวิธี วิธีที่ไม่ต้องลงมีเองก็มี ลืมคำพูดพ่อไปแล้วรึไง?”
“ผมไม่ได้ลืมครับ” กู๋เค่อหวู่กล่าว “พ่อ รู้มั้ยครับว่าเป้าหมายของผมคือใคร?”
“เฉินตูเทียนหยิน?” กู๋ดิงชานยกมุมปากยิ้มเยาะ “แล้วเธอมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย?”
“ไม่ครับพ่อ ผมจะบอกว่าถ้าไม่มีเซี่ยเหล่ย เฉินตูเทียนหยินก็จะกลายเป็นคนของตระกูลเรา ถ้าผมแต่งงานกับเธอเมื่อไหร่ผมขอเวลาแต่ 3 ปีเพื่อเอาบริษัทเหวี้ยนเทียนมาเป็นของเราแต่ตอนนี้เด็กนั่นมันยังขวางเราอยู่ เฉินตูเทียนหยินเองก็ยังไม่วางใจผม ถ้าผมไม่กำจัดเซี่ยเหล่ยซะ แผนของผมก็คงไม่สำเร็จ……..”
“พูดต่อ”
กู๋เค่อหวู่จึงพูดต่อ “พ่อครับ ถึงเราจะใช้เส้นสายเราระงับบริษัทเจ้าเด็กนั่น แต่ผมได้ข่าวใหม่มาว่าเขากำลังแยกส่วนและลดผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้เหลือศูนย์ แบ่งงานเป็นส่วนให้คนนอกบริษัททำและรวบรวมซื้ออะไหล่จากทั่วประเทศ ผลคือการสั่งระงับของพ่อก็ไร้ผลไปเลย เราไม่มีอำนาจสั่งให้บริษัทสาขาฟังเราได้ซะด้วย ตระกูลเรามีอำนาจเฉพาะในเมืองชิงตู่กับห่ายจูเท่านั้น ไม่มีใครอยู่ใต้อำนาจเราในเขตอื่น เด็กนั่นก็เลยรีบไปเปิดบริษัทสาขาที่เมืองชู่หลังจากวันที่พ่อปิดบริษัทมันไงล่ะที่นั่นก็พัฒนาแล้วแถมยังมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัทฟื้นตัวหลังวิกฤติอีกด้วย ผมมั่นใจว่าในอีก 35 เดือน บริษัทสาขาของมันคงเริ่มวางขายสินค้าแล้วและจำนวนก็คงมากกว่าบริษัทในห่ายจูด้วย”
กู๋ดิงชานเงียบไปครู่หนึ่ง “พ่อเข้าใจแล้ว ยิ่งเจ้าเด็กนั่นดีเด่นมากเท่าไหร่ แกก็จะเข้าใกล้เฉินตูเทียนหยินได้ยากขึ้นเท่านั้น ถูกมั้ย?”
กู๋เค่อหวู่พยักหน้า
กู๋ดิงชานกล่าว “ตอนแรกพ่อคิดว่าเรื่องนี้มันเล็กน้อยแต่ไม่คิดเลยว่าเด็กนั่นจะทำได้ขนาดนี้ เราคงประมาทเขาเกินไป แล้วแกอยากทำอะไรต่อ?”
สายตาของกู๋เค่อหวู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ฮวงยี่หู่ ด่งหวู่ ฉิงฉี๋แล้วก็ลอร์น่าเป็นคนของตระกูลเราแต่พวกเขากลับตกอยู่ในกำมือเซี่ยเหล่ย เราเริ่มด้วยการปะทะกันแต่จะมาเจรจาสงบศึกทีหลังศักดิ์ศรีตระกูลเราคงไม่เหลือแน่ อีกอย่างเซี่ยเหล่ยก็มีอำนาจของเฉินตูเทียนหยินคุ้มหัวอยู่ชัดเจนผมอยากกำจัดมัน นี่แหละสิ่งที่ผมอยากทำ”
กู๋ดิงชานครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “เอาไว้หลังจากเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแล้วกัน ตอนนี้เรื่องการลักพาตัวกับการฆาตกรรมมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยถึงเราจะอยากกำจัดเจ้าเด็กนั่นแต่เราก็ต้องรอจนกว่าเรื่องจะซาไปถึงจะทำอะไรต่อได้ ที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องฉิงฉี๋กับลอร์น่าอาจจะติดคุกหลายปี ทุกๆปีที่พวกเขาอยู่ในคุกนั่นพ่อจะจ่าย 5,000,000 เข้าบัญชีพวกเขา !”
“อืม ผมรู้ครับว่าต้องทำไง” กู๋เค่อหวู่กล่าว “อีกเรื่องหนึ่งพ่อครับ หู่ฮั่วให้สำนักงานอุตสาหกรรมและการพานิชย์ยกเลิกการสั่งแบนบริษัทเจ้านั่นแล้ว เราต้องหยุดเขาแล้วทำให้เขาเอาการสั่งแบนบริษัทเซี่ยเหล่ยกลับมาใช่มั้ยครับ?”
กู๋ดิงชานส่ายหน้า “หู่ฮั่วตอนนี้ก็เหมือนยืนอยู่หน้าประตูนรกนั่นแหละแต่กระต่ายน่ะ ถ้าเราไปเร่งไปวุ่นวายมันมากเกินไป เราจะโดนมันกัดเอาน่ะสิ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เราอย่าเพิ่งไปยุ่งอะไรกับเขาดีกว่าแล้วแกก็ยังไม่ได้บอกนี่ว่าการสั่งแบนถูกยกเลิกถาวรแล้วงั้นเราจะทำอะไรให้มันซ้ำซ้อนฟุ่มเฟือยอีกทำไม?”
“ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะกลับไปห่ายจูจัดการเรื่องฉิงฉี๋กับลอร์น่า” กู๋เค่อหวู่กล่าว
กู๋ดิงชานพูดต่อ “ช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ พ่อจะกลับไปห่ายจูเตรียมการไว้ด้วยล่ะ”
กู๋เค่อหวู่พยักหน้ารับก่อนจะหันเดินออกไปจากออฟฟิศของคนเป็นพ่อ
กู๋ดิงชานยกยิ้มมุมปาก “เซี่ยเหล่ยเหรอ? ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ขอดูหน้าคุณหน่อยสิ !”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากเลานจ์แล้วตรงมายืนด้านหลังกู๋ดิงชานเงียบๆ
ท่าทางนิ่งๆของกู๋ดิงชานสร้างบรรยากาศที่น่ากลัวขึ้นมา ชายหนุ่มคนนั้นก็สูงและดูแข็งแกร่งภาพลักษณ์ดูเคร่งขรึมสร้างรัศมีความอันตรายให้แผ่ออกมาจากตัวเขา ถ้ากู๋ดิงชานเป็นพระราชาที่นั่งบนบัลลังก์ ชายหนุ่มคนนี้ก็คงเป็นองครักษ์ของพระราชา
เขามีชื่อพิเศษคือ แดลนี่
แดลนี่เป็นชื่อเรียกของหมาป่าที่ดุร้ายและกระหายเลือดตลอดเวลา……
ในอดีตกู๋ดิงชานรับเขามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วตั้งชื่อให้เขาซึ่งชื่อนี้ถือว่าเหมาะกับตัวตนเขามากเพราะเขาคือหมาป่ากระหายเลือดที่อยู่ข้างกู๋ดิงชานแบบตัวเป็นๆ!
ในขอบข่ายอำนาจที่กู๋ดิงชานสร้างขึ้นตำแหน่งของแดลนี่ถือว่าอยู่สูงกว่าด่งหวู่และฉิงฉี๋มาก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาแข็งแกร่งกว่า ฉลาดกว่า และโหดเหี้ยมกว่า!
กู๋ดิงชานหันหลังไปมองแดลนี่ “ตามไปดูที่ห่ายจูด้วยนะ”
แดลนี่ตอบรับเสียงเย็น “คุณอยากให้ผมฆ่าเด็กที่ชื่อเซี่ยเหล่ยมั้ยครับ?”
กู๋ดิงชานตอบ “ไม่ต้อง ผมอยากให้คุณไปไปสืบเรื่องเจ้าเด็กนั่นมาเรื่องครอบครัว เพื่อน ศัตรู เขาทำอะไรบ้าง เรื่องทุกอย่างที่เราต้องรู้ เด็กนั่นจะต้องตายแน่ๆแต่จะตายเมื่อไหร่ ผมจะตัดสินใจเอง”
แดลนี่พยักหน้าแล้วออกจากออฟฟิศของกู๋ดิงชานไป
……
ม่านความมืดของเวลากลางคืนโรยตัวลงปกคลุมโรงอาหารขนาดใหญ่ของบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้ายังคงดูมีชีวิตชีวาเพราะพนักงานกว่า 400 คนกำลังกินมื้อเย็นด้วยกันเป็นภาพที่ดูคึกครื้นมีความสุข
เมื่อการระงับสินค้าบริษัทถูกยกเลิกแล้วนี่ถือเป็นโอกาสดีในการฉลอง จริงๆเซี่ยเหล่ยอยากจะหาโรงแรมดีๆสักที่เพื่อจัดงานเลี้ยงและยกระดับมื้ออาหารให้ดีกว่านี้แต่เขาก็คิดได้ว่าจะต้องเชิญหู่ฮั่วมาด้วย โอกาสดีที่ว่านี้จึงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ในการเชิญเขาไปงานเลี้ยงในโรงแรม งานเลี้ยงจึงถูกจัดในโรงอาหารของบริษัทแทน
“ท่านนายกฯหู่ ผมขอดื่มให้คุณครับ” เซี่ยเหล่ยยกแก้วไวน์ขึ้นพูดพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งนี้เพราะคุณช่วยจริงๆ”
หู่ฮั่วพยายามยกยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยกแก้วขึ้นแล้วดื่มจนหมดในครั้งเดียว เขารู้ดีว่าเขาไม่ได้ช่วยเซี่ยเหล่ยแต่เรื่องนี้มันคือผลของการบังคับกันด้วยหมัดของเซี่ยเหล่ยแถมเขายังติดหนี้ชีวิตเซี่ยเหล่ยอยู่อีกด้วย
เซี่ยเหล่ยเองก็ดื่มรวดเดียวหมดเช่นกันก่อนจะเข้าไปกระซิบข้างหูหู่ฮั่ว “ท่านนายกฯหู่ ไม่ต้องกังวลไปนะครับช่วงนี้อะไรๆมันก็ดูอ่อนไหวไปหมดตระกูลกู๋ก็ทำอะไรคุณไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องคุณก็ตาม”
หู่ฮั่วถอนหายใจ “แล้วหลังจากนี้ล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “หลังจากนี้เหรอ? ตอนนั้นตระกูลกู๋อาจจะถูกจัดการไปแล้วก็ได้ เขาเป็นเสือก็จริงแต่ไม่ใช่ว่าผู้เล่นในเกมนี้ทุกคนก็เป็นเสือกันหมดแล้วเหรอครับ? เสือพวกนั้นก็ถูกจัดการไปทีละตัวๆ ตอนนี้แค่ยังไม่ถึงเวลาของเขาแต่จะถึงเมื่อไหร่ผมว่าเรื่องนี้คงต้องให้เวลาตัดสิน”
“หวังว่าจะเป็นเหมือนที่คุณพูดนะ ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว” หู่ฮั่วลดเสียงลง “เราต้องช่วยเหลือกันเองว่างั้นมั้ย?”
เซี่ยเหล่ยยิ้ม “แน่นอนครับพี่หู่ หลังจากนี้ให้ผมจัดการเอง”
คำสรรพนามเปลี่ยนไปแล้วรวมทั้งท่าทีของเซี่ยเหล่ยด้วยแต่ไหนแต่ไรนี่ก็เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่แล้ว นักการเมืองต้องการนักธุรกิจและนักธุรกิจเองก็ต้องการนักการเมืองเช่นกันการได้พันธมิตรแบบหู่ฮั่วคือเรื่องน่ายินดีมากสำหรับเซี่ยเหล่ย
ถ้าเป็นหู่ฮั่วก่อนหน้านี้ เขาคงไม่มีทางมาร่วมมือกับเซี่ยเหล่ยแน่ๆแต่ประสบการณ์และสิ่งที่เจอก็สามารถเปลี่ยนใจเขา เขาคือนายกฯที่น่าสงสารขนาดไหน ทั้งถูกลักพาตัวและเกือบเป็นฆาตกรในสายตาของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าเขาตำแหน่งนายกฯเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จะสละออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น! เขาอยากทำอะไรดีๆเพื่อคนอื่นบ้าง เขาอยากเป็นข้าราชการที่สุจริตและรับใช้ประชาชนได้แต่ถ้าเขาไม่มีความเข้มแข็ง เขาก็ไม่มีทางทำได้แน่ๆ! การเป็นพันธมิตรกับม้ามืดอย่างเซี่ยเหล่ย หู่ฮั่วอาจคว้าโอกาสดีๆเพื่อสิ่งที่เขาต้องการได้ก็ได้!
มนุษย์เราก็เปลี่ยนกันได้เพราะเหตุผลแบบนี้แหละ
“พี่หยูยี่มาแล้ว” เซี่ยเสวียที่นั่งอยู่ข้างๆเซี่ยเหล่ยพูดขึ้น
เซี่ยเหล่ยมองไปที่ประตูก่อนจะเห็นเจียงหยูยี่ในชุดยูนิฟอร์มที่ดูสวยและเท่เดินเข้ามา…….
“นี่พี่ ฉันจะไปนั่งที่โต๊ะอีกตัวนะ พี่คุยกับพี่หยูยี่เถอะ” เซี่ยเสวียพูดแล้วลุกขึ้นเดินไปทางเจียงหยูยี่
เจียงหยูยี่ตอบรับสุภาพเช่นกันที่เซี่ยเสวียสละที่นั่งให้เธอซึ่งถือว่าทำได้ดีเพราะที่นั่งนั่นอยู่ข้างเซี่ยเหล่ยพอดี เจียงหยูยี่จึงเริ่มด้วยการทักทายหู่ฮั่วก่อนแล้วจึงโน้มไปกระซิบข้างหูเซี่ยเหล่ย “ผู้ชายคนนั้นรับข้อหาไปแล้วนะ ฉันคุยกับทนายแล้ว พวกเขาบอกว่าโทษหนักสุดคือประหารไม่ใช่การจำคุกส่วนผู้หญิงใบ้คนนั้น เราถามอะไรไปเธอก็ไม่ยอมตอบสนอง เรากำลังขอให้ครูสอนภาษาใบ้จากโรงเรียนผู้พิการมาช่วยสื่อสารอยู่”
เซี่ยเหล่ยไม่ได้แปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ฟังนัก “ผมรู้แล้วล่ะ สองคนนั้นแค่ระดับลูกสมุนไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก” เซี่ยเหล่ยหยิบขวดไวน์มารินใส่แก้วให้เจียงหยูยี่ “คุณมาช้านะ เดี๋ยวผมรินให้”
เจียงหยูยี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องธุรกิจเพียงแต่มองเซี่ยเหล่ยอยู่อย่างนั้น “เจ้าหน้าที่หลายคนในสำนักงานต้องมาจัดการเรื่องนี้ คุณคิดว่าฉันทำให้คุณยุ่งรึเปล่า? แต่ที่เราตกลงกันไว้คือกินมื้อเย็นที่บ้านคุณนะ แล้วทำไมกลายเป็นที่โรงอาหารแทนล่ะ แถมฉันยังไม่ทันพูดอะไร คุณก็บอกว่าฉันมาสายซะแล้ว”
เซี่ยเหล่ยยิ้ม “ไว้วันอื่นนะ ผมมีพนักงานหลายคนที่ต้องดูแลและผมต้องคิดถึงความรู้สึกพวกเขาด้วย”
“แล้วหลางซือเหยาโทรมาหาคุณบ้างมั้ย?” เจียงหยูยี่ลดเสียงลงถาม
เซี่ยเหล่ยนิ่งไปเล็กน้อย “ไม่เลย ถามทำไมเหรอ?”
“ฉันเป็นห่วงคุณนะ คุณเพิ่งเลิกกับเธอ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยห่วงคุณเท่าไหร่ ตอนนี้ฉันเลยเป็นห่วงคุณมากเป็นพิเศษ” เจียงหยูยี่ยิ้มบางๆ
จู่ๆในหัวเซี่ยเหล่ยก็มีภาพหลางซือเหยาซ้อนทับขึ้นมามันชัดเจนมากราวกับอยู่ห่างกันแค่เอื้อม
ตอนนี้เธอจะทำอะไรอยู่กันนะ?
“คุณคิดถึงเธออยู่เหรอ?” ในใจเจียงหยูยี่ตอนนี้ก็อ่อนไหวไม่แพ้กันเธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณควรลองเดทกับผู้หญิงคนอื่นดูนะ อย่างน้อยมันก็ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดของคุณได้”
“เดทกับใครล่ะ?”
“กับ……” เจียงหยูยี่อยากจะพูดชื่อของเธอใจจะขาดแต่ชื่อนั้นกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น เจียงหยูยี่จึงเหยียบที่เท้าเซี่ยเหล่ยเบาๆ
คำใบ้สำหรับเขาแค่นี้พอรึยังนะ?
เซี่ยเหล่ยยกผ้าปูโต๊ะขึ้นเล็กน้อยก้มหัวมองลงไปทั้งซ้ายขวาแล้วพูดกับตัวเอง “ที่นี่มีสุนัขเดินผ่านด้วยเหรอ?”
ติดตามตอนต่อไป……….