TXV – 279 จระเข้กับเค้กก้อนโต !
แม้แผนตอนแรกจะเป็นการกลับไปยังห่ายจูแต่เซี่ยเหล่ยก็เปลี่ยนใจชั่วคราว เขาบินตรงไปยังเมืองชู่และพักที่นั่น 2 วันเพื่อตรวจดูความคืบหน้าของโรงงานสาขาที่สองของเขาและจัดการเรื่องต่างๆ จูเสี่ยวหงดูแลที่นี่ได้ดีทีเดียวความสัมพันธ์ของเธอกับคนในท้องถิ่นก็ไปได้สวยทั้งยังมีหยินฮ่าวคอยช่วยอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ก็เหลือเรื่องให้เซี่ยเหล่ยกังวลไม่มากแล้ว
2 วันต่อมา เซี่ยเหล่ยก็กลับไปยังห่ายจูตามแผนเดิม
ลู่เชิงออกจากโรงพยาบาลและพร้อมกลับมาทำงานที่บริษัทแล้ว ในขณะเดียวกันเซี่ยเหล่ยขับรถไปยังบริษัทซึ่งมีทางเข้าส่วนตัวสำหรับเซี่ยเหล่ยเมื่อทั้งสองคนเจอกันก็พูดคุยอะไรบางอย่างเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนจะเดินเข้าบริษัท
เมื่อมาถึงออฟฟิศ เซี่ยเหล่ยก็เรียกฉิงเสวียงเข้ามา
กวนหลิงชานรับหน้าที่เสิร์ฟน้ำชาให้ทั้งสอง “ประธานเซี่ย พี่เสวียง ดื่มชากันก่อนสิ”
ฉิงเสวียงไม่คิดมากที่กวนหลิงชานเรียกเธอด้วยคำว่า “พี่สาว” แต่มีความสุขมากเสียอีก เธอยิ้มอย่างเขินอายออกมาเล็กน้อยในขณะที่กวนหลิงชานกำลังวางแก้วชาลงตรงหน้าเธอ ฉิงเสวียงก็ส่งมือไปล้วงกระเป๋าเสื้อสูทของกวนหลิงชานก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างติดมือออกมา
กวนหลิงชานไม่รู้สึกตัวเลยต่างจากเซี่ยเหล่ยที่เห็นชัดเจนซึ่งฉิงเสวียงแอบขโมยผ้าอนามัยมาจากเธอ…..
ฉิงเสวียงขโมยมันมาราวกับว่าตอนนี้เธออยู่ในช่วงที่ต้องใช้มันแต่เธอปาห่อผ้าอนามันใส่ตักเซี่ยเหล่ยแทน
เซี่ยเหล่ยรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตสะท้านไปทั้งร่าง เขารีบหยิบห่อผ้าอนามัยแล้วยืนขึ้นแตะบ่ากวนหลิงชานทันที “หลิงชาน ช่วงนี้คงทำงานหนักเลยสินะ”
กวนหลิงชานขยับแว่นกรอบดำของเธอขึ้นมาบนจมูกแล้วพูดอย่างเขินอาย “ประธานเซี่ย เรื่องพวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่ฉันพอทำได้น่ะค่ะ จริงๆฉันกลัวว่าจะยังทำงานได้ไม่ดีพอด้วยซ้ำ”
ในระหว่างที่เธอพูดนั้นเซี่ยเหล่ยก็แอบเอาห่อผ้าอนามัยใส่กลับลงกระเป๋าของเธอเงียบๆ
“งั้นผมขอเวลาคุยกับฉิงเสวียงหน่อยนะ คุณไปทำงานของคุณเถอะ” เซี่ยเหล่ยกล่าว
“ได้ค่ะ พวกคุณคุยเถอะ ฉันจะไปตรวจสอบเรื่องการเงินสักหน่อย” กวนหลิงชานตอบ
เมื่อเธอออกไปเซี่ยเหล่ยก็จ้องฉิงเสวียงเขม็ง “เดี๋ยวนี้ขโมยผ้าอนามัยคนอื่นแล้วเหรอ?”
ฉิงเสวียงมองเซี่ยเหล่ยกลับบ้าง “ก็นะ ช่วงนี้มือคันน่ะ” เธอพูดก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ตอนนี้ก็ด้วย”
ซึ่งโทรศัพท์มือถือในมือเธอก็คือของเซี่ยเหล่ยนั่นเอง
เซี่ยเหล่ยยกยิ้มแล้วแบมือซ้ายของเขาออกมาเผยให้เห็นลิปสติกภายในมือ
ดูเหมือนว่าผลการประชันฝีมือของสองเทพแห่งการขโมยจะออกมาสูสีกันมากทีเดียว
“ฝีมือคุณพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย จากเด็กน้อยฝึกหัดกลายเป็นเทพไปแล้ว” ฉิงเสวียงยิ้มเล็กน้อยพลางส่งโทรศัพท์คืนให้เซี่ยเหล่ยและหยิบลิปสติกกลับมาเช่นกัน
เซี่ยเหล่ยพูดต่อ “เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า เรื่องไปชิงตู่”
“ไปชิงตู่?”
เซี่ยเหล่ยตอบ “เราจะสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าชื่อแองเจิลล์”
ฉิงเสวียงมองเซี่ยเหล่ยด้วยความแปลกใจ “จะเข้าสู่โลกการกุศลแล้วเหรอ? วงการนี้จุดประสงค์หลักของคนส่วนมากคือเรื่องการเมืองนะ คุณอยากเดินเส้นทางสายการเมืองด้วยเหรอ?”
“เรื่องที่คุณพูด การเมืองที่ไม่ใช่การเมืองน่ะผมไม่สนใจหรอก” เซี่ยเหล่ยกล่าว “ผมอยากให้คุณไปฟื้นฟูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลังจากฟื้นฟูเสร็จ โรงงานกองทัพของเราก็คงก่อสร้างใกล้เสร็จพอดี ผมอยากได้คนที่ไว้ใจได้จริงๆมาอยู่ในโรงงาน”
“จริงๆถึงคุณไม่บอกเรื่องนี้ ฉันก็ตั้งใจจะซื้อตั๋วเครื่องบินไปอยู่แล้ว” ฉิงเสวียงหมุนตัวเดินกลับไป
“เดี๋ยวๆ รีบไปรึเปล่า? เอาแผนงานไปสิหรือว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าต้องซ่อมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ายังไง?” เซี่ยเหล่ยหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋าเอกสารและส่งให้ฉิงเสวียง “แล้วก็….คุณจะพาคุณแม่ไปที่นั่นด้วยก็ได้นะ เรื่องการแพทย์ที่นั่นก็ดีอยู่จะได้ให้คุณแม่พักฟื้นด้วยส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็อยู่ในนามบริษัท”
ฉิงเสวียงมองเซี่ยเหล่ยด้วยแววตาหวานหยดย้อย “ท่านประธาน ถ้าทำแบบนั้นแล้วสาวน้อยคนนั้นจะไม่คิดอะไรเรื่องรายงานการเงินเอาเหรอคะ? นี่คุณหวังอะไรตอบแทนรึเปล่าเนี่ย?”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกวูบวาบที่หลังทันที “ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย พอคุณไปชิงตู่แล้วคุณช่วยผมจับตาดูน้องสาวผมหน่อยสิช่วยระวังอย่าให้คนไม่ดีเข้าใกล้เธอด้วยนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉิงเสวียงยกยิ้มก่อนจะหันเดินไป
สำหรับฉิงเสวียงแล้วการเปลี่ยนงานจากผู้ดูแลซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเป็นหัวหน้าในโรงงานทางกองทัพแบบนี้แทบจะเรียกว่าเป็นการเลื่อนขั้นจากดินขึ้นแตะฟ้าเลยก็ว่าได้ซึ่งนั่นทำให้เธอมีความสุขมากและสำหรับเซี่ยเหล่ย เขาก็ต้องการคนเชื่อใจได้อย่างฉิงเสวียงมาทำงานในโรงงานกองทัพเพื่อจัดการเรื่องต่างๆให้เขาอยู่แล้ว ส่วนอเลน่า เซี่ยเหล่ยเชื่อใจเธออย่างแน่นอนแม้ว่าเธอจะมีความสามารถในทางการช่างไม่เหมาะจะดูแลธุรกิจเท่าไหร่ก็ตามและเหตุผลสำคัญอีกข้อคือสถานะของอเลน่าเป็นเรื่องพิเศษมาก เธอเปิดเผยใบหน้าไม่ได้แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงนั่นก็คือการเป็นหัวหน้าในโรงงานทางกองทัพคงต้องมีการปรากฏตัวในสังคมอีกเยอะแน่ๆ
เมื่อฉิงเสวียงออกไปแล้วเซี่ยเหล่ยก็เข้าสู่โหมดทำงาน เขาจัดการเรื่องบริษัท จัดการประชุม ฟังรายงานของลูกน้อง ภารกิจหลายอย่างทำเขาเริ่มเหนื่อยแล้ว…..
ในช่วงบ่ายเมื่อเซี่ยเหล่ยเลิกงานและออกจากบริษัทแล้วเฉินตูเทียนหยินก็โทรมาพอดี
“กลับมาแล้วก็ไม่บอกฉันสักคำเลยนะ” น้ำเสียงเธอแฝงการคาดโทษเอาไว้นิดๆ
เซี่ยเหล่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ที่บริษัทมีงานเป็นกองให้ผมเคลียร์เลยน่ะ วันนี้ผมยุ่งมากเลย จริงๆผมตั้งใจว่าจะไปหาคุณกับคุณลุงพรุ่งนี้อยู่พอดี”
เมืองห่ายจูเป็นเมืองเล็กๆเฉินตูเทียนหยินจึงได้ข้อมูลเรื่องใครสักคนมาได้ไม่ยาก
“แล้วตอนนี้คุณยุ่งอยู่รึเปล่า?”
“เสร็จแล้วล่ะ เพิ่งเลิกงานพอดี”
“อื้ม ดีเลย ฉันอยากชวนคุณมางานปาร์ตี้วันเกิดฉันน่ะ”
“วันเกิด……คุณ?” เซี่ยเหล่ยตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
“อืม ปีนี้ฉันก็แก่ขึ้นอีก 1 ปีแล้ว” เฉินตูเทียนหยินกล่าว
เรื่องอายุถือเป็นหนึ่งในความลับของผู้หญิง สำหรับเฉินตูเทียนหยินก็เช่นกัน
เซี่ยเหล่ยรีบขอโทษ “ผมนี่น่าอายจริงๆ คุณอยู่ที่ไหนเหรอ? ผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“สำนักงานเกตเตอร์ลิ่ง” เฉินตูเทียนหยินตอบ
เซี่ยเหล่ยนิ่งอึ้งไป “ทำไมไปที่นั่นล่ะ?”
“เดี๋ยวคุณมาก็รู้เอง” เธอตอบโดยไม่อธิบาย
“งั้นเดี๋ยวผมไปนะ” เซี่ยเหล่ยพูดก่อนจะวางสายในใจตอนนี้ของเขาสับสนไปหมด
สำนักงานเกตเตอร์ลิ่งคือที่ของตระกูลกู๋ แล้วทำไมงานวันเกิดของเฉินตูเทียนหยินถึงไปจัดที่นั่นกันล่ะ?
1 ชั่วโมงผ่านไป เซี่ยเหล่ยก็ขับรถไปยังสถานที่จัดงาน ที่ลานจอดรถเต็มไปด้วยแสงวิบวับจากรถคันหรูมากมาย รวมทั้งผู้คนทั้งชายหญิงในชุดสวยงามกำลังเดินเข้าไปในตึกกันเป็นคู่ๆ ท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้นมีทั้งดาราดัง คนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง หรือแม้แต่นักกีฬาดาวเด่น งานนี้เป็นงาน VIP มากจริงๆ
เซี่ยเหล่ยเดินลงมาจากรถในมือถือกุหลาบไว้ช่อหนึ่ง เขาค่อยๆกวาดสายตามองจนเห็นเฉินตูเทียนหยินที่ยืนรับแขกอยู่หน้าประตู เซี่ยเหล่ยจึงเดินไปหาเธอ
จริงๆเซี่ยเหล่ยอยากจะซื้อของขวัญที่เหมาะกว่านี้มาด้วยแต่เพราะมีเวลาจำกัด เมื่อเขาขับรถผ่านร้านดอกไม้ระหว่างทาง เซี่ยเหล่ยจึงเลือกซื้อกุหลาบมาช่อหนึ่ง ดอกกุหลาบยังสวยและสดอยู่แต่ที่ห่ออาจจะดูราคาถูกไปหน่อยแต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยเหล่ยก็คิดว่าคงไม่มีของขวัญอื่นให้เลือกแล้วอีกอย่างผู้หญิงอย่างเฉินตูเทียนหยินก็คงมีของขวัญไม่ขาดมืออยู่แล้วหรือแม้แต่ดอกกุหลาบสวยๆก็ต้องมีใครสักคนให้เธอแล้วแน่ๆ
เฉินตูเทียนหยินเห็นเซี่ยเหล่ยและดอกไม้ในมือแล้วเช่นกัน เธอจ้องมองช่อกุหลาบในมือเขาครู่หนึ่งก่อนจะแสดงท่าทีขำๆออกมา
“สุขสันต์วันเกิด” เซี่ยเหล่ยเดินเขาไปหาเฉินตูเทียนหยินและยื่นช่อกุหลาบในมือให้เธอ
เฉินตูเทียนหยินรับไปและสูดกลิ่นกุหลาบลึกๆ ก่อนจะเข้าสวมกอดเซี่ยเหล่ย “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้เลย”
เซี่ยเหล่ยพูดอึกอัก “จริงๆผมอยากซื้อกระโปรงหรืออะไรมาให้คุณนะ แต่…… ไม่มีเวลานี่สิ”
“ฉันชอบกุหลาบที่คุณให้นะ” เฉินตูเทียนหยินยื่นหน้าเข้าใกล้หูเซี่ยเหล่ยแล้วกระซิบเบาๆ “อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่ากุหลาบหมายถึงอะไร?”
เซี่ยเหล่ยชะงักไป ดอกกุหลาบเป็นตัวแทนของความรักนี่เป็นเรื่องง่ายๆที่แม้แต่เด็กประถมก็คงรู้ ผู้ชายให้กุหลาบกับผู้หญิงแปลว่าเขาอยากจะจีบเธอ
เซี่ยเหล่ยมองเฉินตูเทียนหยินที่มองเขาอยู่เช่นกัน เธอยังสวยราวกับนางฟ้าที่ความงามไม่มีวันร่วงโรยความรู้สึกตอนที่เขาเจอเธอครั้งแรกก็หวนกลับมาทันทีในใจเซี่ยเหล่ยเริ่มสับสนเพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อดอกกุหลาบมาเพื่อสื่อถึงความรัก หรือว่าในใจลึกๆของเขาอยากจะซื้อดอกกุหลาบมาสารภาพรักกับเธอจริงๆกันแน่
แต่เพราะใบหน้ายิ้มแย้มกับคำพูดหยอกล้อของเฉินตูเทียนหยินก็ทำเอาเซี่ยเหล่ยไปต่อไม่ถูกเช่นกัน
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” เฉินตูเทียนหยินรู้จักนิสัยของเซี่ยเหล่ยดีถ้าเขากล้าให้ดอกกุหลาบกับเธอนั่นหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาที่เพิ่มขึ้นมาก เฉินตูเทียนหยินเองก็ไม่ได้คิดจะรวบรัดทำทุกอย่างที่ต้องการในเวลาสั้นๆอยู่แล้ว
เซี่ยเหล่ยรู้สึกผ่อนคลายลง เขาเดินตามเฉินตูเทียนหยินเข้าไปด้านในพลางพูดต่อ “จริงสิ ทำไมปาร์ตี้วันเกิดถึงมาจัดที่นี่ล่ะ?”
เฉินตูเทียนหยินยกยิ้มกว้าง “กู๋ดิงชานหายตัวไป กู๋เค่อหวู่ก็ถูกจับแล้ว นี่คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?”
ซึ่งเรื่องที่เธอพูดต้นเหตุก็คือเซี่ยเหล่ยทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ “เรื่องนั้นผมรู้แล้วแต่มันมีความเกี่ยวข้องยังไง คุณถึงมาจัดงานที่นี่ล่ะ?”
เฉินตูเทียนหยินลดเสียงลง “ฉันได้ข่าวมาว่าคุณสู้กับตระกูลกู๋ได้อย่างกล้าหาญแต่รีแอคชั่นคุณช้าไปหน่อยนะ”
“หา?” เซี่ยเหล่ยเริ่มงง “ผมช้ายังไง?”
“อุตสาหกรรมของตระกูลกู๋น่ะมีบทบาทในวงการการค้าและในชีวิตเกือบทุกด้านของคนทั่วไปเลย ตระกูลกู๋มีทรัพย์สินเป็นสิบๆล้านซึ่งส่วนใหญ่ก็ครอบครองแบบผิดกฎหมาย มีคนมากมายมองของพวกนั้นตาเป็นประกายเลยล่ะ พวกเขาพร้อมจะฉวยมันไปได้ทุกเมื่อคุณต่อสู้กับตระกูลกู๋ด้วยตัวเองแท้ๆแต่กลับไม่ทำอะไรเลยนี่ไม่ใช่เหรอที่เรียกว่าความรู้สึกช้าน่ะ?” เฉินตูเทียนหยินถาม
ในที่สุดเซี่ยเหล่ยก็เข้าใจว่าที่เฉินตูเทียนหยินบอกว่าเขาตอบสนองช้าหมายถึงอะไร
อันที่จริงทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของตระกูลกู๋นั้นได้มาอย่างผิดกฎหมายแถมถูกกดมูลค่าอีกด้วยแต่ตอนนี้เมื่อตระกูลกู๋สิ้นอำนาจทรัพย์สินเหล่านั้นก็เหมือนเค้กก้อนโตที่ไม่มีเจ้าของแน่นอนว่านั่นต้องเป็นของหวานล่อตาล่อใจพวกจระเข้โลภมากที่พร้อมชิงมันมาอยู่แล้ว อีกทั้งคนที่ล้มตระกูลกู๋ได้ด้วยตัวเองยังไม่ลงมือทำอะไรอีกช่างเป็นการตอบสนองที่ช้าจริงๆ
“คุณวางแผนจะเอามาบ้างรึเปล่าล่ะ ?”
เซี่ยเหล่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอามายังไงล่ะ?”
เฉินตูเทียนหยินตอบ “ตระกูลกู๋ล่มไปแล้ว ทรัพย์สินหลายอย่างก็กลายเป็นของรัฐแม้แต่พวกกิจการก็ด้วย ทรัพย์สินพวกนั้นจะถูกนำมาประมูลแต่ที่ประมูลได้ก็แค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้นแหละ ฉันว่าเนื้อชิ้นใหญ่จะต้องถูกฉกชิงจากผู้มีอิทธิใหญ่โตในเงามืดแน่ๆ ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆนะ มีคลับกลุ่มหนึ่งของตระกูลกู๋ที่มูลค่าประมาณ 219 ล้านแต่ฉันได้มาในราคา 23 ล้านเอง”
เซี่ยเหล่ยรู้สึกทึ่งในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ข้าวของเบาะแสของกู๋ดิงชานก็ยังไม่มีใครพบ กู๋เค่อหวู่ก็ยังไม่ได้รับการตัดสินโทษแต่ทรัพย์สินของพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว!
และการมีเฉินตูเทียนหยินอยู่ด้วยแบบนี้ เซี่ยเหล่ยก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่ควรพูดถึงธุรกิจเล็กๆของตัวเองที่นี่แน่ๆ….