TXV – 280 ปาร์ตี้วันเกิด
ดูเหมือนเฉินตูเทียนหยินจะกำลังใช้สิ่งที่เธอเรียนมาสอนให้เซี่ยเหล่ยทำแบบเดียวกันอยู่
ในประเทศจีน คนที่ทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์จะขยับขยายธุรกิจให้ใหญ่ได้ยาก เศรษฐีหลายคนต้องใช้เวลามากกว่า 30 ปีเพื่อก่อร่างสร้างตัวและเปิดธุรกิจ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำธุรกิจด้วยทักษะดั้งเดิมของตัวเองจนมีธุรกิจใหญ่โตได้? มันน้อยมากเพราะการขยายธุรกิจคือการกัดกินคนอื่นเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่ง ความเป็นไปในวงการนี้จึงเต็มไปด้วยรสชาติของกลิ่นคาวเลือด
สิ่งที่เฉินตูเทียนหยินสอนเซี่ยเหล่ยวันนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามากแต่ก็สร้างสีสันได้พอควร
ในตอนนี้กลับกลายเป็นเฉินตูเทียนหยินที่ชิงเอาทรัพย์สมบัติของพวกเขามาอย่างถูกต้องแทน นี่เป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบสำหรับกู๋เค่อหวู่เลยทีเดียว
“คงไม่เหมาะจะคุยเรื่องพวกนี้ที่นี่หรอกนะ เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า คุณคือคนที่ควรจะได้เค้กชิ้นนั้นมากที่สุดเลยนะแต่ถ้าคุณยังถือส้อมนิ่งๆอยู่ ฉันว่ามันคงไม่แฟร์กับคุณ?” เฉินตูเทียนหยินกล่าว
เซี่ยเหล่ยส่ายหน้าเบาๆ “เทียนหยิน ผมไม่สนเรื่องตระกูลกู๋หรอกนะแล้วก็ไม่สนเรื่องทรัพย์สมบัติของตระกูลนั้นด้วย”
“คุณ?” เฉินตูเทียนหยินมองเซี่ยเหล่ยด้วยสายตาที่แปลกไป เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงยังดูนิ่งเฉยกับโอกาสดีในการขยายธุรกิจครั้งใหญ่ครั้งนี้ได้
ส่วนเซี่ยเหล่ยเพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไร
โอกาสเติบโตดีๆแบบนี้ใครจะไม่อยากได้กัน? ยกตัวอย่างเช่นซื้อสมบัติมูลค่า 200 ล้านด้วยเงินเพียง 50 ล้านนั่นหมายถึงได้กำไรถึง 300% หรือมากกว่านั้น อาจจะซื้อเหมืองมูลค่าพันล้านด้วยเงิน 100 ล้าน ซึ่งได้กำไรกว่า 10 เท่าตัว จะมีสักกี่คนกันที่ทนต่อสิ่งยั่วยวนแบบนี้ได้? แม้แต่เฉินตูเทียนหยินที่มีเงินพันล้านอยู่ในมืออยู่แล้วก็ยังอดซื้อมาไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับคนอื่นๆล่ะ?
อย่างไรก็ตามเมื่อลบความน่าตื่นเต้นของเรื่องนี้ออกไปแล้ว เซี่ยเหล่ยก็มองเห็นเรื่องบางเรื่องที่คนอื่นมองข้ามไปเช่นกัน
กู๋ดิงชานผันตัวจากอันธพาลข้างถนนมาเป็นนักล่าเงินพันล้าน ตระกูลของเขาก็เช่นกันฉกฉวยมาจากคนอื่น ฉกฉวยจากประเทศ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้เขาก็คงยังอยู่ข้างถนนเหมือนเดิมแต่ชะตากรรมของเขาตอนนี้ล่ะ?
เมื่อเอาของคนอื่นมา ก็ต้องชดใช้คืนกลับไป
เมื่อเอาของประเทศมากฎหมายจะตามล้างบัญชีไม่ช้าก็เร็ว!
กู๋ดิงชานเป็นทั้งตัวอย่างของความสำเร็จและตัวอย่างของความล้มเหลว ถ้าเขาไม่ฉกฉวยเอาของประเทศมาเยอะขนาดนี้บริษัทนอส์ซก็คงไม่ล่มจมลงเร็วขนาดนี้ก็ได้
ดังนั้นเมื่อมองผ่านจุดนี้แม้ว่ามันจะยั่วยวนใจและน่าตื่นเต้นแต่เซี่ยเหล่ยก็คงไม่คว้าโอกาสนี้มาเหมือนกับเฉินตูเทียนหยิน กิจการของเขาจะต้องค่อยเป็นค่อยไป เงินทุกเหรียญต้องได้มาอย่างขาวสะอาด เมื่อทำแบบนี้แล้วถ้าในอนาคตมีคนอยากเล่นงานเขาก็จะทำไม่ได้เพราะเซี่ยเหล่ยไม่มีข้อผิดพลาดอะไรให้ใช้ประโยชน์เลย!
“เหล่ย มีโอกาสแบบนี้แค่ครั้งเดียวนะ จะไม่คิดดูอีกหน่อยเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินยังไม่ละความพยายาม “จริงๆฉันจะแนะนำบริษัทนอลฟูเรียสเมทอลล์ของบริษัทนอส์ซให้คุณนะ บริษัทคุณก็ทำเกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรอยู่แล้วถ้าคุณเอามันมาได้ คุณจะประหยัดต้นทุนค่าวัสดุไปได้เยอะมากเลยนะ ฉันพอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง น่าจะช่วยคุณได้นะ”
เซี่ยเหล่ยพูดยิ้มๆ “ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องโน้มน้าวผมหรอก อีกอย่างคุณคงไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ”
เฉินตูเทียนหยินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยและพูดต่ออย่างไม่พอใจ “คุณคิดว่าโอกาสนี้จะทำให้ธุรกิจคุณสกปรกเหรอ? หรือคุณคิดว่าวิธีการทำธุรกิจของฉันมันไม่ถูกต้อง?”
“คุณคิดมากไปแล้ว” เมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงเธอเปลี่ยนไปเซี่ยเหล่ยก็รีบอธิบายทันที “ผมแค่คิดว่ากู๋ดิงชานเป็นคนที่วิ่งก่อนเราแต่เส้นทางที่เขาใช้น่ะคุณอย่าไปตามเขาเลยดีกว่า”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มขมๆ “ดูเหมือนว่าฉันจะยุ่งเกินไปหน่อยงั้นฉันจะไม่โน้มน้าวอะไรคุณแล้วล่ะ วันนี้วันเกิดฉัน ฉันไม่อยากเถียงกับคุณเรื่องธุรกิจเลย คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะไปทักทายแขกก่อนเดี๋ยวกลับมาแล้วเราไปเต้นด้วยกันนะ”
เซี่ยเหล่ยพยักหน้า “อื้ม ตามสบายเลย”
เฉินตูเทียนหยินหันไปเดินผ่านแขกบางกลุ่มไปยังประตูทางเข้า พูดคุยกับคนที่เข้ามาใหม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เซี่ยเหล่ยคิดในใจ “เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดจริงๆ แต่ความทะเยอทะยานของเธอนับวันมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทเหวี้ยนเทียนตอนนี้ก็ยิ่งใหญ่มากแล้วนี่นา เธอยังไม่พอใจอะไรอีกนะ? ถึงต้องยอมแตะต้องทรัพย์สมบัติผิดกฎหมายของกู๋ดิงชานแบบนี้ ไม่รู้ว่าเธอคิดเรื่องนี้รึเปล่าตราบใดที่เธอมีสมบัตินั่นอยู่ในมือตอนนี้มันก็ถูกกฎหมายอยู่หรอกแต่ในอนาคตสัก 20-30 ปีข้างหน้าถ้ามีคนจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา เธอจะรับมือกับมันยังไง?”
ถ้าผู้คนกำลังพยายามป่ายปืนให้สูงขึ้นในทุกๆวัน คนที่มีเงินหมื่นล้านก็เข้าใกล้แสนล้านมากขึ้น คนที่มีเงินแสนล้านก็เข้าใกล้ร้อยล้านมากขึ้นและเรื่องบ้าบอนี่ก็จะไม่มีวันจบเว้นเสียแต่จะตายจากกันไปเท่านั้น
“คุณเซี่ย คุณมันบื้อ” ฟู่หมิงเหม่ยที่จู่ๆก็มาพูดขึ้นสั้นๆ
แต่เซี่ยเหล่ยไม่ได้คิดมากอะไร เขาเพียงแต่ตอบกลับยิ้มๆ “ขอบคุณที่เตือนครับ ไม่งั้นผมลืมแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ” ฟู่หมิงเหม่ยกล่าว “พี่เทียนหยินน่ะเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองมาก เธอมีความสามารถแบบที่แทบไม่ต้องมีคนไปสอนเธอทำงานเลยแต่คุณกลับสอนเธอแบบนี้ ทั้งๆที่คุณก็ไม่ได้พัฒนาให้ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย เธอต้องให้คะแนนคุณน้อยมากแน่ๆ”
“ให้คะแนนน้อย?” เซี่ยเหล่ยถามด้วยความแปลกใจ “คะแนนอะไร?”
ฟู่หมิงเหม่ยพูดข้างหูเซี่ยเหล่ย “ผู้ชายที่เธอต้องการจะต้องเป็นสุภาพบุรุษแบบ 100% แต่ความผิดพลาดที่คุณทำเมื่อกี้คะแนนคุณคงโดนหักไปสัก 5 คะแนนเป็นอย่างต่ำแล้วล่ะ”
เพียงได้ฟังเซี่ยเหล่ยก็รู้สึกไม่สบายใจไม่มีใครบนโลกนี้ที่เพอร์เฟ็คหรอกแต่ผู้ชายที่เธอต้องการต้องเพอร์เฟ็คถึง 100% นี่ไม่เป็นการขอมากไปหน่อยเหรอ?
“คุณน่ะ รีบหาโอกาสทำให้เธอประทับใจดีๆเข้าล่ะ เผื่อคะแนนของคุณจะเพิ่มขึ้นได้บ้าง”
เซี่ยเหล่ยยิ้ม “ผมไม่คิดมากหรอกครับว่าเธอจะให้คะแนนผมเท่าไหร่ ผมก็คือผม และผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อใครทั้งนั้น”
ฟู่หมิงเหม่ยจ้องมองเขาก่อนจะชี้ไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุยกับเฉินตูเทียนหยินอยู่ “ฉันจะเตือนคุณอีกครั้งนะ คุณเห็นผู้ชายคนนั้นมั้ย? เขาชื่ออันซูฮยอนเป็นผู้อำนวยการอายุน้อยของบริษัทก๊อดโดเมนในเกาหลีใต้ พ่อของเขาเป็นนักการเมืองที่ได้รับการยอมรับและได้รับความคาดหวังว่าจะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนต่อไป”
เซี่ยเหล่ยมองไปยังอันซูฮยอนคนนั้นตามที่ฟู่หมิงเหม่ยบอกแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เซี่ยเหล่ยก็อดมองตาเป็นประกายไม่ได้ อันซูฮยอนมีรูปร่างสูง รูปร่างดีราวกับจับปั้นขึ้นมาทั้งยังมีออร่าของความสูงส่งแผ่ออกมาจากตัวเขาเป็นความสูงส่งที่แท้จริงไม่ใช่เงินช่วยสร้าง
เฉินตูเทียนหยินที่ยืนคู่กับอันซูฮยอนทำให้คนรู้สึกเหมือนฟ้ากับดวงอาทิตย์ได้เลย ภาพของทั้งสองคนเป็นภาพที่สวยงามมาก จะอิจฉาก็ไม่แปลก
จากนั้นฟู่หมิงเหม่ยก็เปลี่ยนมาชี้ไปที่คนข้างๆ อันซูฮยอน “คนนั้นคือเจ้าชายแห่งการดำน้ำถู่ชิงหลง เขาเป็นคนหนึ่งที่ติดตามพี่เทียนหยินด้วยสื่อหลายสื่อบอกว่าเขาน่ะมียีนส์มนุษย์ที่เพอร์เฟ็คที่สุดเลยล่ะ”
เซี่ยเหล่ยมองตามไปยังถู่ชิงหลงแม้ร่างกายของเขาจะไม่ได้ดูดีเท่าอันซูฮยอน แต่รูปร่างของเขามีความเป็นเงือกอยู่ด้วยนั่นทำให้เขาดูเซ็กซี่และเป็นผู้ใหญ่กว่า หน้าตาดูดีของเขาเข้ากับรูปร่างมาดแมนนั่นเป็นอย่างดีทั้งยังให้ความรู้สึกของแสงอาทิตย์ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นแบบสุขภาพดี ถ้าเขาเป็นคนรักของเฉินตูเทียนหยินก็คงเหมาะสมกันเป็นกิ่งทองใบหยกเลยก็ว่าได้
เซี่ยเหล่ยหันกลับมายิ้มหน่อยๆไม่ได้พูดอะไรต่อ
“คุณยิ้มอะไร?” ฟู่หมิงเหม่ยมองเซี่ยเหล่ยอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะลุงหยี่ ฉันคงไม่มาบอกคุณแบบนี้หรอกนะ คุณไม่รู้หรอกว่ามีผู้ชายดีๆที่ไล่ตามพี่เทียนหยินอยู่เยอะแค่ไหนก่อนหน้านี้ที่กู๋เค่อหวู่ยังอยู่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรอกแต่พอเขาถูกจับกุมไปแล้วคนอื่นๆคงไม่ยอมแพ้แน่ถ้าคุณไม่พยายามมากกว่านี้คุณคงโดนเขี่ยทิ้งเข้าสักวัน”
ตอนที่ตระกูลกู๋ยังอยู่อำนาจของกู๋เค่อหวู่ก็ยังอยู่เช่นกันเหล่าคนที่ไล่ตามเฉินตูเทียนหยินก็ไม่มีใครกล้าแย่งชิงผู้หญิงกับกู๋เค่อหวู่เลยสักคนแต่เมื่อเขาถูกจับไปแล้ว คนเหล่านั้นก็กล้าออกมาเดินหน้าเต็มที่การอยู่เหนือตระกูลกู๋ได้ช่างเป็นความสุขจริงๆ
เซี่ยเหล่ยยังคงยิ้ม “คุณหมิงเหม่ย ผมว่าคุณยังประสบการณ์น้อยนะนี่หัวใจของผม คนเราควรทำตามหัวใจตัวเองนะว่าแต่….เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่ามั้ย ?”
“เอาเถอะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปสักวันหนึ่งคุณต้องนอนร้องไห้แน่” ฟู่หมิงเหม่ยตัดบทก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เซี่ยเหล่ยยังคงยืนอยู่ที่เดิมถามตัวเองในใจเงียบๆ “นอนร้องไห้งั้นเหรอ?”
หลังจากหลางซือเหยาจากไปเขาก็นอนร้องไห้จริงๆแต่เขาสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทำแบบนั้น
เซี่ยเหล่ยมองกลับไปที่เฉินตูเทียนหยิน อันซูฮยอนและถู่ชิงหลงอีกครั้งทั้งสามคนกำลังพูดคุยและหัวเราะกันสนุกสนานบรรยากาศดูเข้ากันได้ดีทีเดียว อันซูฮยอน กับภาษาจีนคล่องแคล่วของเขากำลังพูดอย่างมีอารมณ์ขันส่วนถู่ชิงหลงก็ไม่น้อยหน้า ท่าทางบุคลิกของเขาช่างดูเหมาะสม เขาเก่งในเรื่องการแสดงด้านดีของตัวเองออกมา ทั้งยังเป็นผู้ชายที่เอาใจผู้หญิงเป็นอีกด้วย
ตอนนั้นเองรถเข็นที่ตกแต่งสวยงามคันหนึ่งก็ถูกเข็นเข้ามาบนรถเข็นมีเค้กก้อนโตที่ตกแต่งเป็นรูปดอกกุหลาบวางอยู่บนหน้าเค้กมีชื่อเฉินตูเทียนหยินเขียนด้วยช็อคโกแลตและมีข้อความอวยพรเป็นภาษาเกาหลีเขียนอยู่
เสียงปรบมือดังก้องไปทั้งห้องโถง
เฉินตูเทียนหยินพูดด้วยความดีใจ “ซูฮยอน ขอบคุณนะ ตรงนั้นเขียนไว้ว่าอะไรเหรอ?”
อันซูฮยอนยกยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “ผมจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกนี้ให้คุณ”
เฉินตูเทียนหยินยิ้มกว้างแก้มเธอขึ้นสีแดงระเรื่อไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอเหลือบมองมาทางเซี่ยเหล่ย
เขาทำได้เพียงยิ้มตอบกลับ….
อันซูฮยอนจุดเทียนบนเค้กก่อนจะพูดเสียงอบอุ่น “เทียนหยิน อธิษฐานสิ”
เฉินตูเทียนหยินหลับตาลงและอธิษฐานกับเปลวเทียนที่วูบไหวไปมา
แขกในงานเริ่มร้องเพลงวันเกิด บรรยากาศภายในงานจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ตัดเค้กเลย” อันซูฮยอนพูดเสียงนุ่มนวลแบบนี้เสมอ
เฉินตูเทียนหยินรับมีดมาจากอันซูฮยอนเพื่อตัดเค้กตอนนี้เธอกำลังมีความสุขอยู่กับเค้กกุหลาบและคำอวยพรตรงหน้าจนลืมคนที่เธอเป็นห่วงเป็นใยและแคร์ที่สุดไป
“สุขสันต์วันเกิด” เซี่ยเหล่ยพูดเสียงเบามาก เบาจนมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน
ในตอนนั้นก็มีบริกรคนหนึ่งเดินมาข้างๆเซี่ยเหล่ยและกระซิบกับเขา “คุณครับ มีคนอยากพบคุณครับ”
เซี่ยเหล่ยมองบริกรคนนั้น “ใครอยากพบผม ?”
เขาตอบอย่างสุภาพ “สุภาพสตรีท่านหนึ่งครับ แต่เธอไม่ได้บอกชื่อเพียงแต่ฝากข้อความให้ผมมาบอกคุณเท่านั้น กรุณามากับผมด้วยครับ”
“เธออยู่ไหน?” เซี่ยเหล่ยกวาดตามองรอบห้องโถงตอนนี้สายตาแขกทุกคนไปรวมกันอยู่ที่เฉินตูเทียนหยินและอันซูฮยอนกันหมดไม่มีใครมองมาที่เขาเลยสักคน
“คุณครับ กรุณามากับผมด้วยครับ” บริกรคนนั้นไม่ได้บอกว่าเธออยู่ไหนแต่เขาเดินนำไปทางประตูแล้ว
เซี่ยเหล่ยรู้สึกสับสนไปหมด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจเดินตามบริกรคนนั้นไป
ติดตามตอนต่อไป………..