TXV – 301 ดาบอาทิส์ล่า !
เซี่ยเหล่ยเข้าใจได้ว่าทำไมพ่อของเขา เซี่ยฉางห่ายได้ทอดทิ้งทั้งเขาและน้องสาวไปเป็นเวลาห้าปีแต่เมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เขาก็ไม่สามารถรู้สึกยินดีและมีความสุขได้เลย “ให้อภัยเขาเรื่องอะไรหล่ะ เขาไปอยู่ที่ไหนคุณทำให้เขาออกมาหาผมสิไม่ใช่ส่งผู้ช่วยมาแบบนี้ ทำแบบนี้เขาจะเป็นคนประเภทไหนกันหล่ะ? “
เยลเลน่าถอนหายใจก่อนที่จะพูดว่า “เขาอยากพบคุณมากแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแต่เชื่อฉันสิ คุณจะได้พบเขาในเร็วๆนี้”
“นี่! เขาส่งคุณมาด้วยเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ? “เซี่ยเหล่ยพูดด้วยความโกรธพลางพูดต่อว่า ” สิ่งที่ผมต้องการคือการช่วยเหลือไม่ใช่การพูดคุยหรือถ้าหากจะเป็นการคุยกันจริงๆแล้วก็ควรที่จะเป็นเขาที่มาพูดกับผมเอง ไม่ใช่คุณ! “
เยลเลน่าไม่ได้โกรธเซี่ยเหล่ยที่พูดแบบนี้กับเธอเลย จังหวะนี้เธอได้หันไปเปิดกระเป๋าสะพายหลัง จากนั้นก็หยิบเอาอะไรบางอย่างออกมาแล้วส่งให้กับเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยรับของมาจากนั้นก็ถามออกไปทันทีว่า “สิ่งนี้คืออะไร?”
เยลเลน่าตอบไปว่า “คุณไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืองั้นเหรอ? พ่อของคุณรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของคุณเป็นอย่างไร เขาเลยเตรียมทั้งหมดไว้สำหรับคุณ “
เซี่ยเหล่ยแกะกล่องออกมาก็พบว่ามันมีโทรศัพท์ดาวเทียมพร้อมด้วยซองจดหมาย
หลังจากการถูกโจมตีเมื่อคืนที่ผ่านมาสิ่งที่ถ่างหยู่เหยี่ยต้องการมากที่สุดก็คือโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม พ่อของเขาเซี่ยฉางห่ายรู้ว่าทั้งเซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยต้องการอะไรมากที่สุด เขาจึงส่งมันมาให้เป็นของขวัญซึ่งของขวัญชิ้นนี้ดูจะเป็นของขวัญที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้มากที่สุด
เซี่ยเหล่ยเปิดโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมเพื่อให้พร้อมใช้งาน เขาเปิดเข้าไปดูในรายชื่อผู้ติดต่อก็พบว่าไม่มีหมายเลขใดถูกบันทึกไว้เลย เขาคิดว่าอย่างน้อยควรจะบันทึกเบอร์ของตัวเองไว้บ้างแต่ไม่เลยนั่นทำให้เซี่ยเหล่ยเข้าใจและเห็นความสัมพันธ์ข้างต้นของเซี่ยฉางห่ายกับเขาได้อย่างชัดเจน
แต่เซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเก็บโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไว้ในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็หยิบซองจดหมายขึ้นมาและเปิดมันออกภายในมีรูปถ่าย มันเป็นรูปดาบเก่าๆ แต่แม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปถ่ายแต่ก็สามารถทำให้เซี่ยเหล่ยรู้สึกหดหู่ได้ในขณะที่กำลังมองมัน ภาพถ่ายนี้มันเหมือนกับจะบอกว่า มันเคยมีเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้นกับดาบเล่มนี้
“เอาภาพดาบให้ผมทำไม?” เซี่ยเหล่ยมองไปที่เยลเลน่าพร้อมถามออกไปด้วยความสงสัย
เยลเลน่าตอบไปว่า “คุณรู้ไหมว่ามันคือดาบอะไร? นี่คือดาบอ่าทิส์ล่า”
” ดาบอ่าทิส์ล่างั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยทวนชื่อดาบ
“ใช่ ‘อ่าทิส์ล่า’ เป็นกษัตริย์ชาวฮันนิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์นั่นจึงทำให้ดาบเล่มนี้เป็นที่ต้องการอย่างมาก “
เซี่ยเหล่ยถามออกไปว่า “ตอนนี้มันอยู่ที่พ่อของผมงั้นหรอ?”
เยลเลน่าส่ายหัวพร้อมตอบไปว่า “พ่อของคุณไม่ใช่นักโบราณคดีและก็ไม่ใช่นักสะสมของเก่าด้วย เขาแค่รู้ว่าเบาะแสของดาบว่าอยู่ที่ไหน เขายินดีจะมอบเบาะแสนี้ให้กับหัวหน้าเผ่าเฮ็ปตาไลท์ ‘ทีน่า’ เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้คุณออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย พูดง่ายๆก็คือถ้าคุณพบกับชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์อีกครั้ง คุณจงนำมันแสดงให้พวกเธอดูพร้อมบอกว่ารู้เบาะแสของดาบเล่มนี้ นั่นจะทำให้คุณออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย “
ด้วยภาพของดาบอ่าทิส์ล่าที่มีอยู่นี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเซี่ยฉางห่ายไม่กังวลเกี่ยวกับการมาของเขาซักเท่าไหร่
“จริงๆแล้วผู้หญิงที่อยู่กับคุณดูจะเป็นปัญหามากถ้าคุณฉลาดมากพอก็ควรที่จะฆ่าเธอหรือไม่ก็ใช้ประโยชน์จากเธอให้ได้มากที่สุดแล้วค่อยฆ่าเธอและก็หนีไปคนเดียวมันจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เยลเลน่าพูด
เซี่ยเหล่ยพูดไปว่า “ผมและคุณแตกต่างกันตรงไหนรู้มั้ย? ผมและคุณแตกต่างกันตรงที่ผมจะไม่ฆ่าเพื่อนที่เสี่ยงชีวิตมาด้วยกันเพื่อให้ตัวเองหนีรอดได้หรอกนะ และคำพูดแบบนี้ผมไม่ต้องการได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง โปรดจำไว้ด้วย “
เยลเลน่ายิ้มก่อนพูดว่า “คุณและพ่อของคุณดูคล้ายกันจริงๆ”
“ว่าแต่ดาบเล่มนี้อยู่ที่ไหนกัน?” เซี่ยเหล่ยพูดต่อว่า “ถ้าผมไปหาชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์เพียงแค่รูปใบเดียวคงไม่ดีแน่”
“ในซองจดหมายที่คุณได้ไปก่อนหน้านี้ พ่อของคุณได้บอกไว้แล้ว ตอนนี้ฉันเองก็ควรที่จะไปได้แล้วเหมือนกันไม่อย่างนั้นเพื่อนของคุณอาจจะมาเจอฉันได้” เยลเลน่า พูดเสร็จก็เดินไปอย่างไม่ลังเล
เซี่ยเหล่ยต้องการที่จะหยุดเธอแต่ปากของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะเขาเองรู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรออกไปจะคะยั้นคะยอเธอแค่ไหน เธอก็คงจะไม่พูดเบาะแสที่อยู่ของพ่อของเขาอยู่ดี
เซี่ยเหล่ยเปิดซองจดหมายอีกครั้ง จากนั้นก็พบว่ามีกระดาษอยู่ข้างในอีก เขาจึงหยิบมันขึ้นมาอ่าน
ข้อความในจดหมายระบุว่า “ถึงลูกชาย พ่อรู้ดีว่าตอนนี้ลูกคงมีคำถามมากมายที่อยากจะถามพ่อและลูกเองคงอยากจะได้ยินคำตอบจากปากพ่อมากกว่าแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเพราะมันจะอันตรายเกินไป ในตอนนี้ชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์ไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องกลัว สิ่งที่ลูกต้องกลัวคือกองกำลังสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในตอนนี้มันชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้วว่าพวกเขาต้องการที่จะจับตัวพ่อและลูกด้วยในเร็วๆนี้พวกเขาจะมาที่นี่กันเพิ่มขึ้นอีก ลูกต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุดดังนั้นลูกควรรีบเอารูปถ่ายนี้ไปเจรจากับหัวหน้าชนเผ่าเพื่อแลกกับนักวิจัยที่ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่และสุดท้ายอยากให้รู้ไว้ว่า พ่ออยากเจอลูกมาก”
จดหมายมีการลงลายมือชื่อตรงท้ายกระดาษตรงบริเวณนั้นมีข้อมูลของดาบอ่าทิส์ล่า…..
เมื่อเซี่ยเหล่ยเห็นข้อมูลนี้ก็ทำให้เขาตะลึงไปในทันที พร้อมคิดในใจไปว่า “บริษัทก๊อดโดเมน พระเจ้า …… อันกวน! นี่คือพ่อของอันซูฮยอนไม่ใช่เหรอ? ไม่คิดเลยว่าดาบนี่จะไปอยู่ไกลถึงเกาหลีใต้ได้ มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่พ่อรู้เรื่องนี้ได้ “
ดาบอ่าทิส์ล่าถือเป็นสัญลักษณ์ของราชาซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับประวัติศาสตร์ของชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์แต่สำหรับคนอื่นๆมันก็เป็นเพียงแค่ของสะสมที่ล้ำค่าและมีอายุก็เท่านั้น
เมื่ออ่านจบเซี่ยเหล่ยหยิบไฟแช็คขึ้นมาเพื่อจุดไฟเผาจดหมายจากนั้นก็เก็บรูปภาพเอาไว้อย่างดี
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยเดินกลับไปในขณะที่เดินนั้นเขาชะลอความเร็วลงพร้อมคิดไปในหัวว่าเขาจะอธิบายเรื่องโทรศัพท์ดาวเทียมและภาพถ่ายให้ถ่างหยู่เหยี่ยเข้าใจอย่างไรดี…..
เซี่ยเหล่ยกลับมาถึงที่เดิมแล้ว เขาไม่พบกับถ่างหยู่เหยี่ยแต่อย่างไรก็ตามเขายังไม่ทันได้ใช้ความสามารถจากตาซ้าย ถ่างหยู่เหยี่ยก็กระโดดลงมาจากด้านบนเสียก่อน
เซี่ยเหล่ยรีบหลบไปด้านข้างทันที ไม่อย่างนั้นเซี่ยเหล่ยคงจะโดนถ่างหยู่เหยี่ยล้มทับ….
ถ่างหยู่เหยี่ยผลักเซี่ยเหล่ยเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า “คุณไปไหนมา? ฉันกังวลมากเพราะถ้าคุณไม่ได้กลับมา ฉันก็จะออกไปตามหาคุณแล้ว “
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “ฉันได้พบกองกำลังทหารหญิงคนหนึ่งของชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์“
“ห๊ะ?”ถ่างหยู่เหยี่ยพูด และพูดต่อว่า “แล้วคุณจัดการอย่างไร? “
เซี่ยเหล่ยตอบไปว่า “แน่นอน ผมไม่ปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อแน่ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะกลับไปบอกกองกำลังของเธอให้มาจัดการพวกเรา”
“คุณทำถูกแล้ว ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบที่จะทำแบบนี้แต่เราไม่มีทางเลือกหรอกนะ” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดปลอบใจเซี่ยเหล่ย
จังหวะนี้เซี่ยเหล่ยหยิบโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมขึ้นมาจากนั้นก็พูดว่า “แต่ก็ยังโชคดีที่ผมพบสิ่งนี้บนเสื้อผ้าของเธอ”
ถ่างหยู่เหยี่ยตื่นเต้นอย่างมาก เธอคว้าโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมจากมือของเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดอย่างดีใจว่า “เยี่ยมไปเลย เท่านี้ฉันก็สามารถติดต่อกับสำนักงานใหญ่ให้ส่งกู้ภัยและ……..ว่าแต่กองกำลังทหารหญิงของชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์จะมีโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมได้อย่างไร? “
เซี่ยเหล่ยส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่ค้นไปที่ตัวของเธอก็พบว่าเธอเก็บมันไว้ที่เสื้อตัวนอก บางทีมันอาจจะเป็นของเผ่าไบซีที่เธอไปเก็บได้เข้าละมั้ง “
จู่ๆถ่างหยู่เหยี่ยก็มองไปที่มือของเซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พบว่ามีรูปถ่ายอยู่รูปหนึ่งเธอเห็นว่ามันเป็นรูปดาบเธอจึงถามไปว่า“ดาบโบราณงั้นเหรอ ไปได้มันมาจากไหน?”
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนพูดขึ้นว่า “จากผู้หญิงคนนั้นนั่นแหละบังเอิญผมไปรู้เรื่องนี้เข้า มันมีชื่อว่าดาบอาทิส์ล่าแล้วรู้ไหมว่าใครคืออาทิส์ล่า? เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวฮัน และเป็นหนึ่งตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดดาบนี่จึงเป็นตัวแทนของความรุ่งเรืองและถือเป็นดาบที่สำคัญอย่างมากสำหรับชาวชนเผ่าเฮ็ปตาไลท์ “
“แล้วยังไงหล่ะ ?” ถ่างหยู่เหยี่ยพูด
“แม้ว่าผมจะไม่มีดาบจริงๆอยู่ในมือแต่ผมรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนข้อมูลนี้อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเรา “เซี่ยเหล่ยพูด
ถ่างหยู่เหยี่ยพูดอย่างประหลาดใจไปว่า “ว่าแต่…คุณรู้เรื่องดาบนี้ได้อย่างไรหล่ะ?”
“ผมชอบที่จะอ่านหนังสือ ดังนั้นมันคงไม่แปลกหรอกนะที่ผมจะรู้อะไรหลายๆอย่างแต่ผมว่าเอาเวลาที่จะมาสงสัยผมมาคิดกันดีกว่าว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีและใกล้ๆกันนี้ผมก็พบกับซากปรักหักพักแห่งหนึ่ง เราจะไปดูกันหน่อยมั้ย ? “เซี่ยเหล่ยพูด
ในความเป็นจริงถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้เป็นคนโง่แต่กลับกันเลยการที่เซี่ยเหล่ยหายตัวไปครึ่งชั่วโมงนั้นแต่กลับมาแล้วเขาได้ในสิ่งที่จำเป็นอย่างมากถึงสองอย่าง
แม้ว่าเรื่องนี้จะน่าสงสัยมากแค่ไหนก็ตามแต่เมื่อฟังจากที่เซี่ยเหล่ยพูดก็ไม่พบพิรุธเลย ทำให้ถ่างหยู่เหยี่ยไม่สามารถสอบสวนอะไรได้ต่อ….
“เอาเหอะ ออกเดินทางกันดีกว่า” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดพร้อมเดินไปพร้อมกับเซี่ยเหล่ย พวกเขาตรงไปยังซากปรักหักพัง
แม้ว่าเซี่ยเหล่ยจะรู้ว่าถ่างหยู่เหยี่ยสงสัยก็ตามแต่เขาก็เชื่อว่าเธอจะต้องคิดไม่ถึงแน่ว่านี้เป็นฝีมือของพ่อของเขาที่หายตัวไปนานถึงหกปี
สิบนาทีต่อมาทั้งเซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยก็เดินมาถึงซากปรักหักพัง ชิ้นส่วนต่างๆของโบราณสถานถูกสร้างไว้อย่างเป็นระเบียบนั่นตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่เคยรุ่งเรื่องอย่างมากมาก่อนในอดีต
ถ่างหยู่เหยี่ยเปิดเครื่องค้นหาพร้อมเดินเข้าไปโดยที่ในมือถือปืนพกไว้ข้างกาย เธอเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและกระตืนรือร้น ส่วนเซี่ยเหล่ยนั้นเขาเดินไปอย่างสบายใจ เขาคิดเพียงแค่เดินชมสถานที่แห่งนี้ก็เท่านั้นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเหล่านักวิจัยได้ถูกพาตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ตอนนี้เซี่ยเหล่ยไม่สามารถบอกกับถ่างหยู่เหยี่ยได้
“จากเครื่องส่งสัญญาณ ตำแหน่งของนักวิจัยของเราอยู่ที่ไหนหล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถามออกไป
“ด้านหน้าน่าจะอีกราวๆ 50 เมตร …… แต่แปลกมาก ทำไมถึงไม่เห็นคนอยู่ที่นี่เลย” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดด้วยความสงสัยจากนั้นก็พูดต่อว่า “จากสัญญาณตอนนี้เราควรที่จะเจอผู้ที่คอยเฝ้ายามบ้างแล้ว”
เซี่ยเหล่ยพูดว่า “อาจจะอยู่ที่ฐานหรือห้องใต้ดินหรือป่าวเพราะโบราณสถานส่วนใหญ่จะมีห้องใต้ดิน? “
“อืม…ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล ฉันหวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดพร้อมเดินต่อ
เมื่อเดินไปจนถึงห้าสิบเมตรก็พบเข้ากับที่ซ่อนของทางเข้าใต้ดิน ทั้งเซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยมองหน้ากัน จากนั้นก็มองเข้าไปที่ทางเข้าภายในมันลึกอย่างมาก มันมืดจนทำให้ไม่รู้เลยว่ามันมีความลึกและความยาวแค่ไหนแถมยังมองไม่ออกเลยว่าภายในนี้จะมีอะไรอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามทั้งเซี่ยเหล่ยและถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้ขยับไปไหนเพราะพวกเขาทั้งคู่เห็นเครื่องส่งสัญญาณอยู่บนขั้นบันไดหินตรงทางเดินสำหรับเดินลงไปชั้นล่าง…….และทันใดนั้นเอง
กุบ กุบ กุบ …… กุบ กุบ กุบ ……. (เสียงฝีเท้าม้า)
ติดตามตอนต่อไป………..