TXy – 315 ไล่ตาม !
ณ เกาหลีใต้สนามบินนานาชาติอินชอน
ในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน เซี่ยเหลี่ยเห็นบอดี้การ์ดหลายสิบคนซึ่งพวกเขา เป็นคนของอันซูฮยอน อันซูฮยอนเลือกพวกเขาเหล่านั้นด้วยตัวเอง เหล่าบอดี้การ์ดในตอนนี้ใส่ชุดสูทสีดํา แว่นสีดํา พร้อมกับติดเครื่องสื่อสารขนาดเล็กติดไว้ที่หูของตัวเองเห็นได้ชัดว่าอันซูฮยอนได้ เตรียมพวกเขาเหล่านี้ไว้เพื่อเฉินตูเทียนหยินและต้องการให้เธอได้เห็นถึงอํานาจของเขาในประเทศเกาหลีใต้
ทันทีที่เซี่ยเหลี่ยเห็นเหล่าบอดี้การ์ดเหล่านี้ตัวเขาเองกลับรู้สึกแปลกๆ บอดี้การ์ดเหล่านี้ดูไม่น่ากลัวเลย มันเทียบไม่ได้กับสถานการณ์ที่เขาต้องเจอก่อนหน้านี้ในขณะที่อยู่ที่อัฟกานิสถานได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกองกําลังพิเศษ กองกําลังทหารหญิงชนเผ่าเฮปตาไลท์ หรือแม้แต่ชนเผ่าต่างๆก็ตาม
เฉินตูเทียนหยินพาคนมาด้วยสองคนนั่นก็คือฟู่หมิงเหม่ยและเซี่ยเหล่ย ภาพของเฉินตูเทียนหยินและอันซูฮยอนตอนนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมาก เนื่องจากจํานวนผู้ติดตามที่ตามเฉินตูเทียนหยินมาด้วยมีแค่สองคนเท่านั้นแตกต่างจากของอันซูฮยอนที่พามาด้วยหลายสิบคน
ฟู่หมิงเหม่ยพูดว่า “นี่เรามาเข้าร่วมพิธีวางรากฐานไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ซักหน่อย” จากนั้นเธอก็ใช้ข้อศอก ศอกไปที่ท้องเซี่ยเหล่ยหนึ่งครั้งเบาๆพร้อมพูดต่ออีกว่า “คุณเซี่ย ดูเหมือนว่าคุณจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหน่อยนะ เพราะลูกวัวตัวนี้กําลังไล่ตามเทียนหยินของเราอยู่ เขาอาจจะทําอะไรคุณก็ได้ ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกถ้าเขาคิดจะทําอะไรผม ผมจะทําให้เขาไม่มีโอกาสที่จะทําได้”
“เฮเฮ้” ฟู่งหมิงเหม่ยพูด
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่ฟู่หมิงเหม่ยหนึ่งครั้งพร้อมทําสีหน้าไม่พอใจ
พวกเขาทั้งหมดได้พบกันที่ห้องโถงของสนามบินทันทีที่อันซูฮยอนเห็นเฉินตูเทียนหยิน ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มสดใสแต่พอเขาหันไปด้านข้างแล้วพบกับเซี่ยเหล่ยที่เดินมาด้วยนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนทันที มันจืดชืดและดูเศร้าหมอง
เซี่ยเหล่ยเห็นปฏิกิริยาของอันซูฮยอนแล้วเขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยกับใบหน้าของอันซู ฮยอนแต่เซี่ยเหล่ยก็เลือกที่จะทําเป็นไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะก่อนที่ภารกิจในการเอาดาบอาทิส์ล่ามาได้นั้น เขาจะไม่ไปกระตุ้นอารมณ์ของอันซูฮยอนเป็นอันขาดเพราะมันจะไปเพิ่มความเสี่ยงในภารกิจให้มากขึ้นซึ่งนั่นอาจจะทําให้ไม่สามารช่วยเหล่านักวิจัยหรือแม้แต่ถ่างหยู่เหยี่ยที่ตอนนี้กําลังถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ที่ชนเผ่าเฮปตาไลท์ในอัฟกานิสถานก็เป็นได้
“เทียนหยิน ผมมารอคุณอยู่ที่นี่ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้วเลยนะ” อันซูฮยอนพูดขึ้นขณะ ที่เลื่อนสายตาจากเซี่ยเหล่ยไปมองที่เฉินตูเทียนหยินแทนจากนั้นก็พูดไปพร้อมรอยยิ้มต่อว่า “คุณมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ตอนนี้เราไปกันเถอะแต่ผมไม่ได้จะพาคุณไปพักที่โรงแรมหรอกนะ ผมจะให้คุณไปพักที่บ้านของผม”
“นี่” เฉินตูเทียนหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย “มันคงจะไม่ดีหรอกมั้ง? ฉันจะไปพักที่โรงแรมดีกว่า”
“ทําไมหล่ะ?” อันซูฮยอนพูดต่อทันทีว่า “คุณมาเกาหลีใต้ทั้งที่ไม่ยอมให้ผมทําตัวเป็น เจ้าบ้านที่ดีหน่อยงั้นเหรอ?”
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหล่ยหนึ่งครั้งจากนั้นก็หันกลับมาพูดกับอันซูฮยอนไปว่า “ความหวังดีของคุณนั้นฉันขอขอบคุณ แต่การมาครั้งนี้มีเซี่ยเหล่ยมาด้วย ฉันไม่สามารถทิ้งเขาให้พักอยู่ที่โรงแรมคนเดียวได้ “
หลังจากเฉินตูเทียนหยินพูดจบสายตาของอันซูฮยอนก็มองไปที่ใบหน้าของเซี่ยเหล่ยทันที ในตอนนี้เขาไม่สามารถปกปิดความเกลียดชังที่มีต่อเซี่ยเหล่ยไว้ได้เลย เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเซี่ยเหล่ยจะมาเกาหลีใต้พร้อมกับเฉินตูเทียนหยินด้วยแต่การที่ฮันซูฮยอนจะไม่พอใจเชี่ยเหล่ยก็ไม่แปลกเพราะเขาวางแผนไว้มากมายสําหรับการดูแลเทียนหยิน
แม้แต่ตอนนี้เซี่ยเหล่ยก็เลือกที่จะไม่มองไปที่อันซูฮยอนเลย เขาหันไปยิ้มให้กับเฉินตู เทียนหยินจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เทียนหยิน บางทีบ้านของอันซูฮยอนคงจะมีห้องรับรองไม่พอ ผมไม่อยากรบกวนเขา ผมคิดว่าพวกเราทั้งหมดพักที่โรงแรมคงจะดีกว่า ”
เฉินตูเทียนพยักหน้า
ไม่มีคําพูดใดเป็นพิเศษแต่ดูเหมือนอันซูฮยอนจะพูดขึ้นแบบไม่ค่อยพอใจไปว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ? มีห้องไม่พองั้นเหรอ? ในความเป็นจริงแม้ว่าคุณจะเรียกพนักงานในบริ ษัทเล็กๆของคุณมาด้วย ผมก็สามารถให้พวกเขาพักได้ทั้งหมด ”
เห็นได้ชัดว่าอันซูฮยอนมองบริษัทอุตสาหกรรมอาชาสายฟ้าของเซี่ยเหล่ยเป็นเพียงบริษัทเล็กๆก็เท่านั้น
เซี่ยเหล่ยไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขาพูดอย่างเรียบง่ายกลับไปว่า “ผมก็แค่แซวเล่นเท่านั้น คุณอันอย่าถือสาเลย ถ้าไม่ลําบากอะไรพวกเราอยากจะพักที่โรงแรมดีว่า ไม่อยากจะไปรบกวนคุณ ”
“หึ!” อันซูฮยอนส่งเสียงออกจากลําคอดูเหมือนว่าเขาไม่อยากจะคุยกับเซี่ยเหล่ยเลย จากนั้นเขาก็หันไปหาเฉินตูเทียนหยินพร้อมกับพูดว่า “เทียนหยิน ถ้าไม่ติดขัดอะไรจนเกินไปก็มาพักที่บ้านของผมจะดีกว่า พ่อของผมเองก็อยากที่จะเจอคุณด้วย เขาอยากเจอขนาดที่ว่าขอเลื่อนนัดสําคัญหลายนัดเพราะรู้ว่าคุณจะมาเลยนะ เขาอยากที่จะเจอคุณมากจริงๆ”
“ก่อนอื่นต้องขอบคุณการให้เกียรติของพ่อของคุณด้วย” เฉินตูเทียนหยินพูดกับอันซู ฮยอนจากนั้นก็หันไปหาเซี่ยเหลียพร้อมพูดขึ้นว่า “เหล่ย คุณลอง…”
เฉินตูเทียนหยินยังพูดไม่ทันจบเซี่ยเหล่ยก็พูดขัดขึ้นว่า “ถ้าคุณอันตั้งใจที่จะชวนไปพักที่บ้านของเขาขนาดนั้น” เซี่ยเหล่ยยิ้มเล็กน้อยก่อนพูดต่อว่า “ถ้าขืนยังคงปฏิเสธต่อไปและต้องการที่จะไปพักที่โรงแรมให้ได้ คงถือว่าเป็นการเสียมารยาทแล้ว ”
เฉินตูเทียนหยินพูดพร้อมรอยยิ้มไปว่า “เอาล่ะ งั้นเราจะไปพักด้วยกัน ”
การที่เซี่ยเหล่ยมาด้วยในครั้งนี้อันซูฮยอนรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก เขาคิดในใจว่า “แมลงวันตัวนี้น่ารังเกียจจริงๆ เขามาทําอะไรที่นี่นะ? บริษัทเหวี้ยนเทียนและบริษัทก็อดโดเมนของเรากําลังจะร่วมมือทางธุรกิจด้วยกัน บริษัทเล็กๆอย่างเขาจะมาด้วยทําไมนะ? คงต้องทําให้รู้จักที่ต่ำที่สูงซักหน่อยแล้ว!
แม้ว่าอันซูฮยอนจะคิดแบบนั้นแต่ตอนนี้เขากําลังยิ้มจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตกลง งั้นเรา
ไปกันเถอะ”
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยรู้สึกผ่อนคลายลงเพราะถ้าต้องพักที่โรงแรมจริงๆคงจะเป็นเรื่องยากอ ย่างมากที่จะขโมยดาบอาทิส์ล่าได้ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ได้พักที่บ้านของอันซูฮยอนแล้วแต่เขาจะต้องเจอกับคําพูดดูถูกและสายตาที่เหยียดหยามและแฝงไปด้วยความเกลียดชังไปตลอดจนกว่าภารกิจจะสําเร็จ
เมื่อทุกคนเดินออกมานอกสนามบินและรออยู่ด้านหน้า ไม่นานก็มีขบวนรถเมอร์เซ เดสเบนซ์สิบคันขับมาช้าๆและก็จอดต้อนรับตรงหน้าพวกเขาทั้งหมด กลางขบวนมีรถ Bugatti Veyron ขับมาด้วยและจอดอยู่ตรงหน้าของอันซูฮยอน อันซูฮยอนได้เดินไปที่รถและเปิดประตูให้กับเฉินตูเทียนหยิน ด้านเฉินตูเทียนหยินไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดเพราะไม่อยากที่จะเสียมารยาทอีก จากนั้นอันซูฮยอนก็ขึ้นไปขับรถแทนคนที่นํารถมาส่งให้
เซี่ยเหล่ยและฟู่หมิงเหม่ยเองก็ขึ้นรถเช่นกัน ในขณะที่กําลังจะเริ่มออกเดินทางนี้ Bugatti Veyron ก็ขึ้นไปนําขบวนจากนั้นรถทั้งหมดก็เริ่มออกตัวตามโดยพวกเขาทั้งหมดมีเป้าหมายอยู่ที่กรุงโซล
“เดือนที่แล้วฉันไม่เห็นคุณโผล่มาเลย คุณไปที่ไหนมาอย่างนั้นเหรอ?” ฟู่หมิงเหม่ยถามเซี่ยเหล่ยขณะที่นั่งอยู่ในรถเมอร์เซเดสเบนซ์
จังหวะนี้เซี่ยเหล่ยไม่ได้สนใจคําถามของฟู่หมิงเหม่ยเลย เขาเอาแต่มองออกไปแต่ นอกตัวรถนั่นทําให้เซี่ยเหล่ยก็เจอหลงบิงกําลังนั่งอยู่ในรถคันหนึ่งที่กําลังขับตามพวกเขามา เธอปลอมตัวโดยการสวมหมวกเบสบอลพร้อมกับแว่นกันแดดและทําผมทรงใหม่ ด้วยลุคที่เธอปลอมตัวมานี้เซี่ยเหล่ยตกใจเล็กน้อยเพราะนี่ไม่ใช่ตัวของเธอเลย เซี่ยเหลี่ยมองถัดไปจากหลงบิงก็พบว่าเป็นถ่างปั่วฉ่วนเขานั่งอยู่ข้างหลงบิง เขาก็ปลอมตัวเช่นกัน เซี่ยเหล่ยพยายามมองให้รอบๆอีกครั้งแต่เขาก็ไม่พบฉินเสวียง เซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้แปลกใจมาก เขาเดาเอาว่าเธอคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่หรอก
มุมปากของเซี่ยเหล่ยตอนนี้ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจว่า “นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น”
“เฮ้…นี่! ฉันถามคุณอยู่นะ ทําไมคุณไม่สนใจที่จะตอบคําถามฉันเลยหล่ะ?” ฟู่หมิงเหม่ ยตบไปที่ไหล่ของเซี่ยเหล่ยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
เซี่ยเหล่ยละสายตาจากการที่มองไปนอกหน้าต่าง เขาหันกลับไปหาฟู่หมิงเหม่ย จากนั้นก็ยิ้มก่อนที่จะตอบไปว่า “ผมไปอัฟกานิสถานมา”
“คุณไปที่อัฟกานิสถานทําไมงั้นเหรอ?” ฟู่หมิงเหม่ยถาม
“ซื้อแกะ….ผมเตรียมที่จะเปิดร้านขายซุปเนื้อแกะ” เซี่ยเหล่ยตอบ
“…” ฟู่หมิงเหมยมองด้วยสายตาเล่ห์เหลี่ยมและมีเลศนัยไปที่เซี่ยเหล่ยจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ความจริงฉันมีความลับที่จะบอกคุณแต่ดูเหมือนว่าคุณไม่พร้อมที่จะฟังซักเท่า ไหร่ เอาเป็นว่าลืมเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน “
“ทําไมมองผมอย่างนั้นหล่ะ? ผมไปอัฟกานิสถานนั่นเป็นการลงทุนทําธุรกิจ” เซี่ยเหล่ยพูดจบก็เงียบอยู่ครู่หนึ่งและก็ถามต่อทันทีว่า “ความลับอะไรงั้นเหรอที่จะบอกผม?”
“กู๋เค่อเหวินกลับมาแล้ว” ฟู่หมิงเหม่ยตอบเซี่ยเหล่ย
เซี่ยเหล่ยทําหน้าสงสัยเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นว่า “บอกผมมาว่าเรื่องนี้มันยังไงกันแน่?”
แม้ว่าตอนนี้คนในตระกูลจะลดลงไปแล้วก็ตามแต่กู๋เค่อเหวินก็ยังอยู่ เธอยังไม่ได้ถูกจับหรือหายตัวไปไหนซึ่งเมื่อดูแล้วการกลับมาในครั้งนี้ของเธอทําให้คิดได้ว่ากู๋เค่อเหวินจะยังไม่ยอมแพ้ในเรื่องของบริษัทนอส์ซแน่ๆ แม้ว่าเซี่ยเหล่ยจะไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหนก็ตามแต่เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเธอและพร้อมรับมือกับมัน
ฟู่หมิงเหม่ยพูดว่า “เธอมาหาเฉินตูเทียนหยิน เธอต้องการร่วมมือกับเฉินตูเทียนหยิน “
“ร่วมมือทําอะไร?” เซี่ยเหล่ยถาม
“บางทีพูดไปคุณอาจจะไม่เชื่อ เธอช่วยให้เทียนหยินซื้ออุตสาหกรรมและลงหุ้นในบริ ษัทของตระกูล” การแสดงออกของฟู่หมิงเหม่ยตอนนี้ดูแปลกมากๆจากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “และด้วยความช่วยเหลือจากเธอทําให้เทียนหยินสามารถซื้ออุตสาหกรรมของตระกูลไปได้อย่างราบรื่นในช่วงที่คุณไม่อยู่ทําให้ตอนนี้หนึ่งในห้าของอุตสาหกรรมบริษัทนอส์ซอยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทเหวียนเทียน”
“เหลือเชื่อจริงๆ ทําไมกู๋เค่อเหวินถึงได้ทําแบบนี้กันนะ?” ในใจของเซี่ยเหล่ยตอนนี้ สงสัยกังวลและต้องการอยากจะรู้คําตอบอย่างมากครั้งหนึ่งเขาเคยเตือนเฉินตูเทียนหยินไปแล้วว่าไม่ควรซื้อทรัพย์สินของตระกูลธุ์มาแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเฉินตูเทียนหยินจะไม่ได้สนใจคําเตือนนี้
เซี่ยเหล่ยเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “กู๋เค่อเหวินไม่ใช่คนที่ควรจะร่วมมือหรือลง ทุนอะไรด้วยฝากเตือนเทียนหยินไว้หน่อยว่าอย่าถลําลึกจนเกินไปเพราะมันอาจจะเป็นกลลวงของกู๋เค่อเหวินก็ได้ ”
“ฉันบอกความลับนี้กับคุณก็เพื่อให้คุณช่วยเตือนเทียนหยินแต่คุณกลับมาบอกให้ฉัน เตือนเธองั้นเหรอ คุณคิดว่าเธอจะฟังฉันหรือเปล่าหล่ะ?” ฟู่หมิงเหม่ยพูด
เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขมขึ้นก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ผมเคยเตือนเธอในเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เธอไม่ฟังผมเอาเป็นว่าในเมื่อคุณเตือนผมครั้งนี้แล้ว ผมจะพยายามเตือนเธออีกครั้งเมื่อมีโอกาสก็แล้วกัน
“ฉันก็เหมือนกัน” ฟู่หมิงเหม่ยพูดพร้อมรอยยิ้มและพูดต่ออีกว่า “ฉันจะบอกความลับ อีกอย่างกับคุณ”
“ยังมีความลับอะไรอีกงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถาม
“เกี่ยวข้องกับตัวคุณเอง” ฟู่หมิงเหม่ยพูด
“เกี่ยวกับผมด้วยงั้นเหรอ?” เซี่ยเหล่ยถามและสงสัยมากขึ้น
ฟู่หมิงเหม่ยยิ้มก่อนที่จะพูดว่า “อันซูฮยอนไล่ตามเทียนหยินอย่างบ้าคลั่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่เขาอยู่ที่ประเทศจีนนั้นแม้ว่าทุกวันจะไม่ได้มีของขวัญที่พิเศษอะไรแต่เขาก็คอยส่งดอกไม้ให้เธอทุกวัน เขาโทรหาเทียนหยินทุกวันแม้ว่าจะไม่ได้พูดกันนานก็ตาม ฉะนั้นคุณเองก็ต้องคอยระวังไว้ด้วยหล่ะเพราะวันไหนที่เทียนหยินตกหลุมรักอันซูฮยอนเข้า มันจะทําให้คุณสิ้นหวังเลยนะ”
เซี่ยเหล่ยยิ้มก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวกับผมยังไงหล่ะ?”
“ดูคุณพูดเข้า ทําไมคุณเป็นคนแบบนี้หล่ะ?” ฟู่หมิงเหม่ยมองตาโตไปที่เซี่ยเหล่ยก่อนที่จะพูดต่อว่า “ถ้าฉันเป็นเทียนหยิน ฉันคงจะเลือกอันซูฮยอนและไม่สนใจคุณแน่ๆ ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย!!”
ติดตามตอนต่อไป………