”อย่าขยับสิ….. บอกแล้วไงว่าอย่าขยับถ้าคุณขยับฉันเย็บแผลไม่ได้นะ”
”แต่คุณทำผมเลือดออกนะแล้วผมจะอยู่นิ่งๆไหวได้ไง?”
ภายในห้องถ่างหยู่เหยี่ยหรือหมอผ่าตัดจำเป็นกำลังใช้เข็มเย็บแผลให้เซี่ยเหล่ยอยู่ เขามีร่างกายช่วงบนที่ผอมเพรียวพร้อมด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงถึงจะดูหยาบกร้านและแข็งทื่อไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเขามีรูปร่างที่สมส่วนดี แผลที่ถ่างหยู่เหยี่ยต้องเย็บอยู่บริเวณเอวของเซี่ยเหล่ย มันยาวหลายเซนติเมตรเนื่องจากถูกเศษกระจกบาดเข้า
แม้ว่าจะไม่สาหัสมากแต่เธอก็ต้องทำแผลให้เขาอยู่ดี
รอยเย็บแผลพาดผ่านเนื้อบนร่างกายของเซี่ยเหล่ย ทำเอาเขาต้องหายใจเข้าอย่างทรมาน เลือดยังคงไหลออกมาจากปากแผลและไหลจากเอวลงไปถึงกางเกงชั้นในสร้างความรู้สึกร้อนประหลาดๆให้กับบั้นท้ายของเขา
ถ่างหยู่เหยี่ยหยิบผ้าก๊อซมาจุกลงไปใต้เข็มขัดเซี่ยเหล่ย นิ้วของเธอจึงสัมผัสโดนก้นเขาโดยตรง
”คุณ……ทำอะไรน่ะ?” เซี่ยเหล่ยหันหลังไปถามอีกคนด้วยความตกใจ
ถ่างหยู่เหยี่ยกลอกตามองเขาตอบ “แน่นอน ก็ซับเลือดคุณไงล่ะ คุณคิดว่าฉันอยากจับก้นคุณรึไง? นี่พ่อคนตูดเหม็นต่อให้คุณบอกให้ฉันจับ ฉันก็ไม่จับหรอกน่า”
เซี่ยเหล่ย “……”
ถ่างหยู่เหยี่ยไม่เพียงแต่ช่วยเหลือเซี่ยเหล่ยเท่านั้นแต่เธอยังดุเขาอีกด้วย นั่นทำให้เซี่ยเหล่ยพูดอะไรไม่ออกเลย
”ยังจำได้มั้ยว่าฉันก็เย็บแผลตรงก้นให้คุณที่อัฟกานิสถานด้วยน่ะ?” ”พี่ครับ เราอย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยดีกว่ามั้ยครับ?”
”ฮ่าฮ่า…..” ถ่างหยู่เหยี่ยหัวเราะอย่างมีความสุขไม่รู้ว่าทำไมแต่เธอชอบแหย่เซี่ยเหล่ยเล่นจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเธอนึกภาพวันนั้นขึ้นมาในหัว เธอเองก็หน้าแดงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ผ่านไปหลายนาที การเย็บแผลก็เสร็จสิ้นลง
”ยังอยากให้ฉันเช็ดเลือดที่ก้นคุณอยู่มั้ยล่ะ?” ถ่างหยู่เหยี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์
เซี่ยเหล่ยรีบยืนขึ้นทันที “ไม่เป็นไร ผมทำเองได้ คุณไปนอนพักเถอะ”
เธอยักไหล่เป็นการตอบรับ “งั้น ฉันจะอยู่ห้องข้างๆคุณนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้เลย”
หลังจากที่เธอออกไปแล้ว เซี่ยเหล่ยก็ถอดกางเกงในอาบเลือดออกแล้วจึงอาบน้ำในห้องน้ำ เขาไม่ได้ห่วงเลยว่าแผลของเขาจะอักเสบไหมเพราะถึงอย่างไรมันก็แค่แผลเล็กๆอยู่แล้ว
เมื่อเขาล้มตัวลงบนที่นอนกำลังจะหลับพักผ่อน สายเรียกเข้าจากในประเทศก็ดังขึ้น
ปลายสายเป็นอเลน่าที่โทรมา “ลูคัส นี่ฉันเอง คุณอยู่ในมอสโกรึเปล่า?”
เซี่ยเหล่ยตอบ “ผมอยู่มอสโกแล้ว นี่คุณนอนบ้างรึยังเนี่ย?”
”ฉันนอนไม่หลับน่ะ” เธอกล่าว “ฉันรอคุณโทรมาแต่ก็รอไม่ไหว ฉันเป็นห่วงว่าคุณจะเป็นอะไรรึเปล่า ฉันเลยโทรหาคุณก่อน”
เซี่ยเหล่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาบอกเธอไว้ว่าจะโทรรายงานเธอเมื่อเข้าเมืองมอสโกอย่างปลอดภัยแล้วแต่เขากลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ความผิดเซี่ยเหล่ยเสียทีเดียวเพราะหลิงฮั่นและถ่างหยู่เหยี่ยก็อยู่ใกล้เขาตลอดเวลา เซี่ยเหล่ยจึงไม่สะดวกโทรหาเธอแม้จะอยู่ที่โรงแรมตอนกลางคืนแล้วก็ยังมีเรื่องเกิดขึ้นได้อีก เขาประมาทไม่ได้เลย ”ผมไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลหรอก” เซี่ยเหล่ยเสริม “ขอโทษจริงๆนะที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
อเลน่ายิ้มออกมา “ขอโทษฉันเหรอ?” เธอพูดต่อ “จริงสิ ฉันจะโทรมาบอกคุณอีกเรื่อง”
”เรื่องอะไรเหรอ?” เขาถามกลับด้วยความไม่สบายใจลึกๆ
”เทียนจวิ้นมาหลังจากคุณไปแล้ว เขาเอาสไนเปอร์ไรเฟิล xl2500 ไป 20 กระบอก เอกสารจัดส่งสินค้าก็ด้วย ฉันขวางเขาไว้ไม่ได้พวกคนที่มากับเขาไม่ใช่ทหาร บางคนก็แต่งตัวด้วยชุดลำลองธรรมดาเลย พวกเขาบอกว่านี่เป็นการตรวจสอบเวิร์คช็อปแต่ฉันสงสัยว่าคนพวกนี้อาจจะเป็นวิศวกรจากบริษัทฮั่นหรือไม่ก็พวกช่างชำนาญการก็ได้”
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้วตามโดยอัตโนมัติ “แล้วฉิงเสวียงสกัดเขาไว้ได้รึเปล่า?”
”ไม่” เธอตอบอย่างเดือดดาล “พวกเขาแสดงเอกสารของแผนกอุปกรณ์แถมยังมีเอกสารสำหรับการตรวจสอบด้วย พวกเราไม่มีข้ออ้างไปหยุดเขาได้เลย ฉันตามไปดูพวกเขา คนพวกนั้นเช็กสายการผลิตของเราที่ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาเช็กเครื่องมือดัดแปลงและพวกอุปกรณ์พิเศษบางอย่างของเราด้วยแล้วก็บางคนถึงขั้นขอดูพิมพ์เขียวเครื่องมือของเราเลยล่ะ แต่ฉันบอกไปว่าไม่มี”
”นี่มันจะมากไปแล้วนะ!” เซี่ยเหล่ยกำหมัดแน่น Aileen-novel
”แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก พวกเขาดูเครื่องมือเราได้แค่ภายนอกเท่านั้นแหละ ยังไงก็มองไม่เห็นโครงสร้างภายในอยู่ดี ทั้งยังเอาโปรแกรมอัจฉริยะและวงจรไฟฟ้าของเราไปไม่ได้ด้วย” อเลน่ากล่าว “ดูเหมือนว่าตอนนี้เราโชคดีนะที่คุณเตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อน ไม่งั้นเราแย่แน่”
เซี่ยเหล่ยใช้เวลาทุ่มเทกับมันมาเนิ่นนานแต่จู่ๆจะให้คนอื่นมาชิงทุกอย่างไปอย่างฉ่าวโฉ่แบบนี้ นี่มันบ้าสุดๆ!
”จริงสิ คนที่ฉันสงสัยว่ามาจากบริษัทฮั่นเขาคุยกับวิศวกรและช่างอาวุโสที่อยู่หน้าฉันกับฉิงเสวียงด้วย ดูเหมือนเขาจะพยายามดึงตัวคนของเราไปอยู่นะ”
”แล้วปฏิกิริยาคนของเราเป็นยังไง?”
”วิศวกรสองคนดูตื่นตัวนิดหน่อยแต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงออกชัดมากเท่าไหร่” อเลน่าพูดอย่างกังวล “ลูคัส ฉันควรทำยังไงกับเรื่องนี้ดี? เพิ่มเงินเดือนเพื่อดึงพวกเขาให้อยู่กับเราเหรอ?”
เซี่ยเหล่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ บริษัทฮั่นต้องพยายามบังคับคนของเราให้ไปแน่ ยังไงพวกเขาก็มีกำลังจ่ายเงินเดือนสูงอยู่แล้ว เราเก็บเงินไว้เถอะถ้าพวกเขาต้องไปก็ปล่อยให้เขาไป”
”แต่……”
เซี่ยเหล่ยขัดขึ้น “อเลน่า เงินเดือนที่เราให้พวกเขาน่ะสูงอยู่แล้วนะนี่เป็นกับดักของบริษัทฮั่นลองคิดดูสิ ถ้าเราเพิ่มเงินเดือนเพื่อดึงคนแล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาโรงงานล่ะ? ถ้าเขาอยากดึงคนของเราไปก็ปล่อยให้เขาทำ เอาไว้เขาดึงคนของเราไปได้แล้ว เราค่อยคุยกันอีกทีนะ”
”อื้ม ถ้าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็เบาใจแล้วล่ะ” อเลน่ายิ้มออกมา “อีกอย่างวิธีนี้ก็ทำให้เราได้เงินค่าปรับด้วยนี่นา คิกคิก”
เงินค่าปรับที่อเลน่าพูดถึงนั่นมาจากสัญญาข้อตกลงของพนักงานซึ่งไม่ใช่เงินจำนวนมากมายนักและเซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้อยากพูดถึงมันเท่าไหร่เพราะมันมาจากการบังคับกันไม่ได้ช่วยอะไรมาก นอกจากนั้นยังน่าหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำ
หลังจากคุยกันอีกพักหนึ่ง เซี่ยเหล่ยก็วางสายและเมื่อได้พักผ่อนหลังจากการต่อสู้ เขาก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่อยู่ในห้วงนิทรา เซี่ยเหล่ยก็ฝันเห็นเจ้าหญิงซูเสวียเหยี่ยผู้งามนิรันดร์นอนอยู่ในโลงหยก บนร่างกายของเธอไม่มีเสื้อผ้าใดๆ ภาพของเธอที่ปรากฏจึงยิ่งสวยงามมากขึ้นไปอีกเมื่อเซี่ยเหล่ยเอื้อมมือไปจะสัมผัสเธอ เจ้าหญิงก็พลันลืมตาขึ้นมา ในตอนนั้น เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยทั้งยังจ้องมองเธอต่อเงียบๆ
เจ้าหญิงผู้งดงามค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เธอจับมือเขาแล้วจึงลุกออกมาจากโลงหยกของเธอก่อนจะจูบเซี่ยเหล่ยบนริมฝีปากเขาโดยไม่มีคำพูดใดๆเกริ่นนำ ตามด้วยการปลดเปลื้องเสื้อผ้าเขาและแสดงความรักความหลงใหลกับเขาในสุสานโบราณแห่งนั้น……
มันเป็นฝันประหลาดที่อธิบายเป็นคำพูดยากได้จริงๆ
แสงอาทิตย์ภายนอกสาดเข้ามาผ่านหน้าต่างห้อง เสียงนกร้องหวานหูดังมาจากยอดไม้อย่างสดชื่น
เซี่ยเหล่ยสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อท่วมตัว ภาพน่าอายบางฉากยังคงติดอยู่ในหัวซึ่งยากจะลบออกไปได้หมด
เขาเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วก้มลงจ้องมองกางเกงในของตัวเองที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อคืน ก่อนจะยิ้งแห้งๆออกมา เพราะดูเหมือนว่าเขาจะต้องเปลี่ยนมันอีกรอบเสียแล้ว… ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น
”เหล่ย ลุกจากเตียงรึยังน่ะ?” เสียงถ่างหยู่เหยี่ยดังไล่ตามมาจากอีกด้านของประตู
”ยัง มีอะไรเหรอ?” เซี่ยเหล่ยตอบพลางรีบหยิบกางเกงในออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้า
แต่จู่ๆประตูก็เปิดออก
”อ๊ะ!” ถ่างหยู่เหยี่ยรีบปิดตาทันที
ฝ่ายเซี่ยเหล่ยก็รีบเอากางเกงในตัวใหม่ไปซ่อนข้างหลังตัวเอง ใบหน้าแดงแจ๋ พูดต่อด้วยความอาย “ทำอะไรของคุณเนี่ย?”
”ฉัน ฉันจะมาตามคุณไปกินข้าวเช้าน่ะ” ถ่างหยู่เหยี่ยเองก็หน้าแดงยิ่งกว่าแดงแล้วเช่นกัน
”มองพอแล้วมั้งคุณ?”
”หา? ใครเขาอยากมองคุณกันน่ะ…… ฉันจะออกไปรอข้างนอกแล้ว” ถ่างหยู่เหยี่ยปิดประตูเสียงดังด้วยความตระหนก
ภายในห้อง เซี่ยเหล่ยรู้สึกหดหู่ใจลึกๆจนอดบ่นออกมาไม่ได้ “นี่เราสนิทกันในระดับที่เธอเข้ามาดูเราเปลี่ยนกางเกงในได้แล้วเหรอเนี่ย? คนโรคจิต!”
ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยเหล่ยก็ออกมาจากห้อง ถ่างหยู่เหยี่ยยังคงยืนรออยู่หน้าประตู ผิวหน้าเนียนละเอียดของเธอแดงระเรื่อราวกับเพิ่งดื่มไวน์ไปสักอึกสองอึกหรือไม่ก็ได้รับอะไรสักอย่างที่กระตุ้นให้หน้าแดงไปไม่นานนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันคืออย่างหลัง
”เอ่อ ไปกันเถอะ” เซี่ยเหล่ยพูดอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่อยากหยิบประเด็นน่าขายหน้าเมื่อครู่ขึ้นมาพูดอีกแล้ว
”อืมๆ ไปห้องอาหารกัน” เธอดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยแต่ความแดงบนแก้มยังไม่ยอมหายไปไหน
ในห้องอาหารมีคนมากมายกำลังทานมื้อเช้ากันอยู่ เซี่ยเหล่ยเห็นหลิงฮั่นนั่งทานมื้อเช้าอยู่คนเดียวที่โต๊ะในห้องอาหารสถานทูตเงียบๆ นอกจากนั้นเขายังเห็นเย่คุนและเจ้าหน้าที่หลายคนของบริษัทฮั่น คนพวกนั้นมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่ภายในห้องกลับไร้วี่แววของหูฮั่ว ตอนนี้เขาคงมีการ์ดกับปืนเป็นโหลคอยอารักขาอยู่แน่ๆ
เซี่ยเหล่ยรับอาหารสำหรับสองที่มา ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะกับถ่างหยู่เหยี่ยและเริ่มทานด้วยกัน อาหารเช้าของที่นี่หรูหรามากแต่เซี่ยเหล่ยกลับไม่รู้สึกอยากอาหารเท่าไหร่
”ไม่ต้องห่วงไปหรอกที่นี่คือสถานทูตของเรา” ถ่างหยู่เหยี่ยกระซิบ “เย่คุนกับคนของเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามที่นี่หรอก”
ฝ่ายเซี่ยเหล่ยได้แต่พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา อันที่จริงเขาไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะรับมือเย่คุนยังไง เขาคิดเพียงแค่วิธีสลัดหลิงฮั่นและถ่างหยู่เหยี่ยให้หลุดเพื่อไปพบพ่อของเขาเซี่ยฉางห่ายเท่านั้น
เซี่ยฉางห่ายก็อยู่ในมอสโกเช่นกันซึ่งนี่คือโอกาสดีที่จะไปพบเขา เซี่ยเหล่ยไม่อยากจะพลาดซ้ำอีกแล้ว
ตามแผนของเซี่ยเหล่ยเรื่องสไนเปอร์ไรเฟิล xl2500 กับพ่อของเขาไม่ใช่เรื่องยากแต่สิ่งที่เขาไม่ได้คิดมาก่อนคือคนรอบคอบและรับมือยากอย่างหลิงฮั่น เซี่ยเหล่ยรู้ดีว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด ถ้าเขาไม่คอยจับตามอง เขาคงถูกหลิงฮั่นจับได้แน่ๆ
เซี่ยเหล่ยหันไปมองหลิงฮั่นโดยอัตโนมัติและเพราะหลิงฮั่นเองก็มองเขาอยู่ ทั้งคู่จึงสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลิงฮั่นพยักหน้าทักทายเซี่ยเหล่ยตามมารยาท
เซี่ยเหล่ยยิ้มตอบรับพลางคิดในใจ “ถ้าเราส่งปืน xl2500 ไม่ว่าจะให้เยลเลน่าหรือพ่อของเรา มันต้องทำให้เขาสงสัยแน่ๆ ตอนนี้สิ่งที่บริษัทฮั่นกำลังพยายามทำคือการหาช่องโหว่ของเราถ้าเย่คุนรู้ว่าเราส่งปืนให้ใคร มีหวังได้เป็นเรื่องใหญ่แน่แต่เอาเถอะ ยังไงการไปหาพ่อก็คือเรื่องที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องปืนเอาไว้ค่อยคิดหาทางทีหลังก็แล้วกัน”
จู่ๆ ถ่างหยู่เหยี่ยก็เตะเท้าเซี่ยเหล่ยข้างใต้โต๊ะขัดความคิดเขาก่อน “คุณลืมสัญญาอะไรของเรารึเปล่า?” ”สัญญาอะไร?” เซี่ยเหล่ยถามอย่างงุนงง
เธอย่นจมูกสวย “นี่คุณลืมเร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ก็ที่คุณสัญญากับฉันเมื่อวานว่าจะออกไปข้างนอกด้วยกันไง”
เซี่ยเหล่ยตอบ “ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา แต่ไปคุยกับหลิงฮั่นก่อนเถอะ ถ้าเขาโอเค เราก็ไปกันได้เลย”
”เยี่ยม งั้นคุณรอฉันก่อนนะ ฉันจะไปคุยกับเขา” ถ่างหยู่เหยี่ยพูดอย่างตื่นเต้น เธอไม่ได้อยากทานอาหารเช้าต่อแล้วแต่ลุกขึ้นยืนและตรงไปหาหลิงฮั่นทันที
ถ่างหยู่เหยี่ยมองหลิงฮั่นอย่างคาดหวังแต่เขาส่ายหน้าอย่างง่ายดาย “ถ้าเมื่อคืนไม่เกิดเรื่องขึ้น ผมก็คงอนุญาตให้คุณไปได้แล้วล่ะแต่เพราะว่ามันดันมีเรื่องที่ว่าดังนั้นผมคงให้คุณไปไม่ได้ คุณอยู่ที่นี่เถอะ หรือถ้าคุณกับเซี่ยเหล่ยมีเรื่องต้องออกไปทำจริงๆ ผมก็คงต้องตามออกไปด้วย”
ราวกับมีน้ำเย็นเฉียบราดลงมาบนศีรษะถ่างหยู่เหยี่ย เธอคอตกทันทีที่ได้ฟังคำตอบ ผลการขออนุญาตเป็นไปตามที่เซี่ยเหล่ยคิดไว้นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกมีปัญหาถ้าออกไปกับถ่างหยู่เหยี่ยไม่ได้ งั้นเขาก็ต้องหาทางออกจากสถานทูตนี่เองแล้วล่ะ…
ติดตามตอนต่อไป………