ตอนที่ 54 ความหวังดีจากตระกูลซู
ในตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำและภายนอกก็มีแสงสว่างเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่เมื่อมองไปที่ซูจงซานดูเหมือนว่าเขาจะยืนอยู่ที่นี่มานานแล้ว
แม้ว่าเขาจะจับมือของมู่อี้อย่างแน่นหนาแต่มู่อี้ก็ยังสามารถเห็นความเหนื่อยล้าในสายตาของเขาได้
ด้านหลังของเขานั้นเป็นซูจุนและซูจินหลุนที่ยืนอยู่ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีคนรับใช้อีกสองคน ทั้งสองคนนั้นต่างก็เป็นคนที่มู่อี้เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ในตอนนี้ที่เท้าของคนรับใช้ทั้งสองคนนั้นมีกล่องไม้ขนาดใหญ่วางอยู่
แม้ว่าข้างนอกจะหนาวมากแต่ทั้ง 5 คนก็ไม่มีใครบ่นอะไรเลย ไม่แม้แต่ทำเสียงที่ดูไม่พอใจออกมา
ตระกูลซูอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 20 ลี้ แม้ว่าจะสามารถนั่งรถม้าขึ้นมาได้แต่การเดินทางบนภูเขาที่มีหิมะตกหนักในเวลากลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยและมันยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงในการขึ้นมาที่นี่
“ท่านผู้อาวุโสซู? ท่านขึ้นมาที่นี่ทำไมกันขอรับ” กล่าวตามตรงเมื่อได้เห็นซูจงซาน มู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ข้างนอกวัดร้าง เขาคิดว่าซูจงซานคงส่งคนขึ้นมาที่นี่แน่นอน เพราะเขาทำเรื่องใหญ่ไปเมื่อคืนและกลับมาที่นี่โดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา ถ้าหากซูจงซานไม่ส่งคนขึ้นมาที่นี่สิถึงจะแปลก
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้บอกลาอีกฝ่ายเมื่อคืนนี้ มู่อี้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนที่รออยู่ข้างนอกจะเป็นซูจงซาน ไม่ใช่แค่ซูจงซานเท่านั้นที่ขึ้นมาที่นี่แม้แต่ซูจุนและซูจินหลุนก็มาที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน นี่เท่ากับว่าคนทั้ง 3 รุ่นตั้งแต่แก่ยันหนุ่มของตระกูลซูต่างก็ขึ้นมาบนวัดร้างแห่งนี้ทั้งหมด ท่าทีของทุกๆคนนั้นดูสุภาพและเต็มไปด้วยความจริงใจนี่ทำให้มู่อี้รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
มู่อี้เชิญซูจงซานเข้ามาข้างในก่อน แม้ว่าในตอนนี้เขาจะถือว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลซูแล้วแต่ถ้าพูดตามตรงมันก็ถือเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย ตระกูลซูให้ความเคารพต่อเขา เขาให้ความช่วยเหลือตระกูลซู นี่ถือเป็นการพึ่งพาอาศัยกันทั้งสองฝ่าย
แต่ซูจงซานก็แก่ชรามากแล้วแต่เขายังเลือกที่จะขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ด้วยตนเอง แค่การกระทำของเขาเพียงอย่างเดียวก็มากพอที่จะทำให้มู่อี้รู้สึกซาบซึ้งใจได้แล้ว
“ท่านนักพรตเต๋าสบายดีหรือไม่?” ซูจงซานยิ้มและพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าเขาจะพูดออกมาเสียงเบาแต่ร่างกายของเขาก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าสบายดีขอรับ คงทำให้ท่านผู้อาวุโสซูต้องเป็นห่วงเรื่องนี้แล้ว” มู่อี้พูดพร้อมกับนำยันต์สะกดวิญญาณออกมาจากนั้นแสงสีขาวก็ลอยเข้าไปในร่างกายของซูจงซานทันที
ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าสีหน้าของซูจงซานดูดีขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าที่โดนความหนาวเย็นจนกลายเป็นสีม่วงคล้ำก่อนหน้านี้ค่อยๆกลับมาเป็นปกติแล้วและแม้แต่ร่างกายที่อ่อนล้าของเขาก็ดูมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น
พูดได้เลยว่านี่เป็นการใช้ยันต์สะกดวิญญาณไปอย่างเปล่าประโยชน์แต่มู่อี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ตราบใดที่เขาต้องการเขาสามารถสร้างมันขึ้นมาเท่าไหร่ก็ได้ แต่สำหรับซูจงซานยันต์แผ่นนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลย
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าซูจงซานคอยดูแลเขาเพื่อประโยชน์ของตนเองและตระกูลซูแต่ชายชราคนนี้ก็หวังดีกับเขาเสมอ การกระทำของซูจงซานทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อท่านดูแลข้าด้วยความจริงใจ ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน
แม้ว่าซูจงซานจะไม่ใช่ขุนนางหรือบัณฑิต แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีพลังอำนาจคนหนึ่ง
มู่อี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น เมื่อมีคนมาทำดีกับเขาเขาก็ย่อมทำดีตอบกลับไปแน่นอน
เมื่อเทียบกับการยืนรอคอยท่ามกลางลมหนาวของซูจงซาน ยันต์แผ่นหนึ่งของเขาก็เป็นเพียงกระดาษที่ไร้ค่าเท่านั้น
“หากท่านบอกว่าท่านคือเทพเจ้า ข้าก็เชื่อนะ” ซูจงซานรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขาและจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้น ในตอนนี้เขาก็พูดความรู้สึกของตนเองออกมาอย่างชัดเจน
มู่อี้ยิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่ยันต์สะกดวิญญาณจะให้ผลแบบนี้ ยันต์สะกดวิญญาณนั้นไม่ได้มีผลต่อวิญญาณเท่านั้นแต่มันยังมีผลต่อโรคภัยและอาการเจ็บป่วยอีกด้วย
จริงๆแล้วยันต์สะกดวิญญาณระดับสูงนั้นสามารถใช้เป็นยารักษาครอบจักรวาลได้เลยทีเดียว มีผู้คนมากมายที่เดินทางไปตามภูเขาและวัดมากมายเพื่อตามหายันต์แบบนี้แต่ส่วนใหญ่ก็พบเพียงแค่ความล้มเหลวเท่านั้น
เมื่อมันสามารถใช้รักษาโรคได้ก็ไม่ต้องพูดถึงอาการหนาวเย็นและอ่อนล้าของซูจงซานเลย เดิมทีถ้าหากไม่ทำอะไรเขาก็คงกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่นาน
มู่อี้มองไปที่ซูจุนและซูจินหลุนซึ่งแสดงสายตาที่อิจฉาออกมา แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้ยันต์สะกดวิญญาณให้กับทั้งสองคนทันที ไม่ว่ายังไงเขาก็มียันต์สะกดวิญญาณเก็บเอาไว้เป็นจำนวนมากอยู่แล้วยิ่งเมื่อวานนี้เขาเขียนยันต์สะกดวิญญาณสะสมเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก
ซูจุนและซูจินหลุนไม่คิดว่าเรื่องดีๆแบบนี้จะตกมาถึงพวกเขาด้วย เพราะในสายตาของพวกเขานั้นยันต์สะกดวิญญาณถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เมื่อเทียบกับซูจงซานแล้วพวกเขาถือว่ายังอายุน้อยและความหนาวเย็นคงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้มากนัก แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่อี้ใช้ยันต์สะกดวิญญาณให้กับซูจงซาน พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจทันที
ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะยอมเสียสละยันต์สะกดวิญญาณให้กับพวกเขาอย่างง่ายดาย ในตอนที่รู้สึกดีใจอยู่นั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดบางอย่างในร่างกายแม้ว่ายันต์สะกดวิญญาณจะไม่อาจรักษาให้หายได้แต่มันก็รู้สึกดีกว่าก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่ายังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของพวกเขาเท่านั้นเพราะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาจะไม่เจ็บป่วยหรือไม่ประสบอุบัติเหตุใดๆอีก
ในตอนนี้นอกจากช่วยรักษาความหนาวเย็นให้กับพวกเขาแล้ว ยันต์ทั้ง 2 แผ่นถือว่าเป็นการใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองมาก
แต่ไม่ว่ายังไงความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นในร่างกายของพวกเขา ก็ทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว
ในตอนนี้มู่อี้มองไปที่คนรับใช้ทั้ง 2 คน
เมื่อคนรับใช้ทั้ง 2 คนเห็นสายตาที่มองมาก็รีบตอบกลับไปเสียงดังทันที “ท่านนักพรตเต๋า ไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้าขอรับ ตอนนี้พวกข้ายังรู้สึกสบายมาก ความหนาวเย็นแค่นี้ไม่อาจทำอะไรข้าหรือผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นได้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ใช่แล้ว ไม่ต้องสิ้นเปลืองหรอก ทั้งสองคนเป็นคนที่ข้าดูแลมามากกว่า 10 ปี ข้าจะจัดการเรื่องนี้เองเมื่อกลับไป” ซูจงซานก็พูดออกมาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้คิดอะไรมากในเรื่องนี้เพราะรู้ดีว่าสิ่งดีๆควรใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา เมื่ออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้เขาก็ยอมทำตามเพื่อความเหมาะสม
มู่อี้พยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนแต่เขาก็ไม่เต็มใจเสียสละยันต์สะกดวิญญาณของตนเองมากขนาดนั้นเพราะไม่อย่างนั้นแล้วอีกฝ่ายคงคิดว่ายันต์ของเขาไร้ค่าเหมือนกับผักกาดขาวอย่างแน่นอน เมื่อมันกลายเป็นเพียงผักกาดขาวอีกฝ่ายย่อมไม่เห็นว่ายันต์ของเขามีคุณค่าอีกต่อไป
เมื่อมู่อี้เชิญซูจงซานทุกๆคนเข้ามาในวัดแห่งนี้ จากการซ่อมแซมครั้งสุดท้ายนั้นนอกจากห้องนอนของมู่อี้ ก็ยังมีห้องอื่นๆที่จัดไว้ให้สำหรับซูจินหลุนเมื่อเขาขึ้นมาที่นี่
คนรับใช้ทั้งสองคนเดินตามซูจุนและซูจินหลุนเข้าไปรออยู่ที่ห้องโถง มีเพียงซูจงซานเท่านั้นที่ได้เข้าไปในห้องของมู่อี้
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ในห้องเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซูจงซานจะกลับออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เมื่อเห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาพึงพอใจมู่อี้เป็นอย่างมากแน่นอน
ซูจุนหรือซูจินหลุนไม่มีการถามอะไรทั้งสิ้นและพวกเขาก็สวมชุดคลุมทันที จากนั้นซูจงซานและคนอื่นๆก็เดินลงไปจากภูเขา ไม่มีใครรู้ว่าบนภูเขาฟุเนียวในห้องของมู่อี้ ซูจงซานได้พูดคุยเรื่องอะไรไปบ้าง? บางทีผลลัพธ์ของเรื่องนี้อาจจะไม่มีใครทราบได้จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี
มู่อี้ยืนอยู่หน้าประตูและเฝ้ามองซูจงซานและคนอื่นเดินทางลงไปจากภูเขา ในตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาแล้วและแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาก็ช่วยปัดเป่าหมอกควันที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้
จากนั้นมู่อี้ก็มองไปที่กล่องไม้ขนาดใหญ่ 2 กล่องที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง เขาไม่ได้เปิดกล่องไม้ออกทันทีแต่กลับเดินเข้าไปที่ป่าไผ่ที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อเทียบกันแล้วเนี่ยนหนิวเอ้อร์มีความสำคัญสำหรับเขามากกว่าคนอื่นๆและเขายังเป็นเหมือนคนในครอบครัวเพียงคนเดียวของนางอีกด้วย