Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 80

ตอนที่ 80

ตอนที่ 80 ทางเลือกระหว่างชีวิตและความตาย

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้านั้นไม่ได้อยากจะเป็นศัตรูกับท่านนักพรตเต๋าแม้แต่น้อย แต่การที่จะให้ข้าส่งมอบตัวหัวหน้าคนที่ 2 ของหมู่บ้านแห่งนี้ให้นั้นก็เป็นเรื่องที่ข้าไม่อาจทำได้เช่นกัน” น้ำเสียงของชิวเยวี่ยถงหนักแน่นอย่างยิ่งในตอนนี้ ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจของนาง

เมื่อชิวเยวี่ยถงพูดออกมาเช่นนี้ บิดาของนางซึ่งกลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็หันมาจ้องมองที่มู่อี้ทันที พลังของเขาเพิ่มขึ้นมาและจิตวิญญาณของภูเขาเสี่ยวหานก็กำลังตรงเข้ามาหามู่อี้พร้อมๆกัน

มู่อี้หันมาเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณที่กำลังเข้ามา เขายกตะเกียงทองแดงในมือซ้ายของตนเองขึ้นมาทันทีและในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เพิ่มพลังแห่งจิตใจของตัวเองเข้าไป ตะเกียงทองแดงส่องแสงเจิดจ้าอย่างรุนแรง

“ตึง!”

บริเวณปลายขอบที่แสงจากตะเกียงทองแดงส่องออกไปนั้น มีการปะทะที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นจนเกิดเสียงดังขึ้นมาอยู่หลายครั้ง

“ตึง ตึง ตึง!”

ด้วยแรงปะทะที่พุ่งเข้ามานี้ทำให้มู่อี้ต้องก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว นี่คือจิตวิญญาณของภูเขาเสี่ยวหานและยังมีพลังวิญญาณของหัวหน้าคนเก่าของหมู่บ้านแห่งนี้ แม้ว่ามู่อี้จะมีตะเกียงทองแดงอยู่ในมือแต่ก็ทำได้เพียงหลบเลี่ยงและถอยกลับมาเท่านั้น

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้ยืนอยู่นิ่งๆเพื่อให้โจมตี และในตอนนี้เขาก็เข้าใจดีในเรื่องของการต่อสู้ เมื่อเข้าสู่การต่อสู้แล้วไม่มีคำว่าเมตตาอีกต่อไป

“ยันต์สายฟ้า ย่าห์!”

มู่อี้สะบัดมือขวาของเขาออกไปทันที ยันต์สายฟ้าซึ่งมีพลังแห่งจิตใจของเขาอยู่ภายในนั้นได้สัมผัสเข้ากับพลังแห่งสวรรค์และโลกทันที มู่อี้รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนที่ระหว่างนิ้วของเขาจากนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว

“ตู้ม!”

ด้วยเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นนี้สายฟ้าเส้นใหญ่พุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและเป้าหมายของมันอยู่ที่วิญญาณของชายผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าหมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้

มู่อี้เชื่อว่าตราบใดที่เขาใช้ยันต์สายฟ้าของตนเองออกไป วิญญาณที่อยู่ต่อหน้าเขาย่อมไม่อาจรับการโจมตีครั้งนี้ได้แน่นอน สายฟ้าและแสงสว่างนั้นเป็นเหมือนศัตรูตามธรรมชาติของดวงวิญญาณอยู่แล้ว

ตราบใดที่ดวงวิญญาณหายไปแล้วแรงกดดันที่เขาได้รับก็จะลดน้อยลงไปมาก มู่อี้เชื่อว่าแม้ว่าจะไม่มียันต์สายฟ้าในมือของเขา แต่เขาก็สามารถเอาชนะชิวเยวี่ยถงได้

“ไม่!”

ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้น เสียงของดาบและประกายสีเงินก็ปรากฏในสายตาของมู่อี้อีกครั้งหนึ่ง

ความเร็วและความงดงามของดาบที่กำลังตรงเข้ามานั้นทำให้มู่อี้รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที และมู่อี้ก็เห็นทุกอย่างตรงเข้ามาหาตนเองอย่างเชื่องช้าในตอนนี้

แต่แสงสว่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเจิดจ้ามากเกินไป ภาพที่มู่อี้ได้เห็นนั้นราวกับว่าเป็นภาพลวงตา

แต่มู่อี้ก็รู้ดีว่าทุกๆอย่างที่เขาเห็นนั้นเป็นความจริง ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนั้นชิวเยวี่ยถงกำลังแทงดาบในมือของนางเข้ามาเพื่อปะทะกับสายฟ้าที่กำลังพุ่งลงมาเหนือศีรษะของเขา

เพียงแต่ว่าความเร็วของสายฟ้าและความเร็วของชิวเยวี่ยถงนั้นรวดเร็วจนเกินไป จนทำให้มู่อี้รู้สึกราวกับว่าได้เห็นภาพลวงตา

“ท่านหัวหน้าเจ้าคะ!”

ในตอนที่เกิดแสงสว่างเจิดจ้าจนต้องปิดตานั้น เสียงแรกที่มู่อี้ได้ยินก็คือเสียงที่เหมือนกับอะไรบางอย่างกำลังฉีกขาดและจากนั้นเขาก็เห็นร่างหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมากลางอากาศ นั่นคือร่างของชิวเยวี่ยถง ดาบในมือของนางหักไปแล้วและร่างกายของนางก็แทบจะเปลือยเปล่า

จากการรับรู้ของมู่อี้นั้น ลมหายใจของชิวเยวี่ยถงยังไม่หายไปแต่ก็แผ่วเบามากแล้วและลมหายใจของนางยังมีความผันผวนอีกด้วย เห็นได้ชัดว่านางฝืนร่างกายเข้าไปปะทะกับสายฟ้าโดยตรง

หลังจากที่ร่วงหล่นลงมานั้นเท้าของชิวเยวี่ยถงก็สัมผัสกับพื้นดินอย่างแผ่วเบา โชคดีที่ชิวจูที่อยู่ใกล้ๆเข้ามารับตัวนางได้ทันเวลา

แม้ว่าชิวเยวี่ยถงจะสามารถป้องกันพลังส่วนใหญ่ของสายฟ้าเอาไว้ได้แต่เพียงแค่ส่วนเล็กๆของสายฟ้าก็มีผลต่อวิญญาณของชายคนนั้นแล้ว เมื่อเทียบกับชิวเยวี่ยถงสถานการณ์ของเขายังดูย่ำแย่ยิ่งกว่า

ไม่ว่าเขาจะใช้จิตวิญญาณของภูเขาได้มากแค่ไหนแต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาก็คือวิญญาณไปได้ ด้วยยันต์สายฟ้าที่มู่อี้วาดขึ้นมาด้วยตนเอง เขากล้าพูดได้เลยว่ามันสามารถทำให้ดวงวิญญาณต้องสลายตัวไปได้แน่นอน

แม้แต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์เองถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือของธงราชันย์แห่งวิญญาณ นางก็สามารถรับพลังของยันต์สายฟ้าได้เพียง 3 ใน 10 เท่านั้น นี่เป็นเพราะว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์มีสติปัญญามาตั้งแต่กำเนิดจึงทำให้นางต้านทานต่อสายฟ้าและแสงสว่างได้ดีกว่าดวงวิญญาณอื่นๆ

บางทีอาจเป็นเพราะว่าพลังของยันต์สายฟ้าที่รุนแรงมากเกินไป มู่อี้จึงไม่อาจควบคุมพลังของมันได้แม้แต่น้อย รวมไปถึงยันต์ที่วาดขึ้นมาก็สำเร็จได้ยากด้วยเช่นกัน

เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้พลังแห่งสวรรค์และโลก

ชิวเยวี่ยถงเอนกายพิงแขนของชิวจูเอาไว้ แต่ในตอนนี้นางไม่ได้สนใจตัวเองและรีบหันไปมองที่ดวงวิญญาณของชายผู้นั้นทันที

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมนางถึงทำแบบนี้ลงไปโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเลยด้วยซ้ำ หรือมันเป็นเพราะว่าชายคนนั้นคือพ่อของนาง? นางยังคงไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไรและทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น

แต่เมื่อนางได้เห็นดวงวิญญาณของชายคนนั้น หัวใจของนางก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาทันที

เพราะว่าในตอนนี้แม้ว่าดวงวิญญาณของเขาจะยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แต่ร่างกายของเขาเริ่มจางหายไปราวกับว่าเป็นภาพลวงตาและใบหน้าของเขาก็เริ่มเลือนลางไปแล้ว

แม้ว่าชิวเยวี่ยถงจะไม่อาจเข้าใจได้ แต่นางก็รู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

และหลังจากที่นางรับการโจมตีของสายฟ้าเข้าไปนั้น พลังในร่างกายของนางก็เริ่มผันผวนทันทีและในตอนนี้นางยังยืนด้วยตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

พูดได้เลยว่าชิวเยวี่ยถงในตอนนี้อ่อนแอจนไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของมู่อี้ได้เลย

เมื่อต้องต่อสู้แล้วย่อมไม่มีคำว่าเมตตาอีกต่อไป แม้ว่ามู่อี้จะไม่รู้สึกเกลียดชังชิวเยวี่ยถงแม้แต่น้อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยนางไปง่ายๆ

และชิวเยวี่ยถงเองก็เป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขาแห่งนี้ หลีหู่ก็อยู่ภายใต้คำสั่งของนางด้วยเช่นกัน

หลีหู่คือคนที่มู่อี้ต้องสังหาร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความถูกผิดใดๆแต่มันเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีเท่านั้น

เพียงแค่มองดูในตอนนี้มู่อี้ก็รับรู้ถึงสถานการณ์ของชิวเยวี่ยถงและดวงวิญญาณของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและใช้ยันต์ปราบปีศาจทั้ง 2 แผ่นที่อยู่ในมือออกไปทันทีและตัวเขาเองก็พุ่งออกไปพร้อมๆกัน

แสงสว่างที่เกิดขึ้นทั้งสองพุ่งตรงเข้าไปหาชิวเยวี่ยถงและดวงวิญญาณของชายคนนั้น

“ท่านหัวหน้าระวังตัวด้วย” แม้ว่าชิวจูจะกังวลเกี่ยวกับการบาดเจ็บของชิวเยวี่ยถงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะลืมว่ามู่อี้ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน กลับกันนางกลับเพ่งสมาธิไปที่มู่อี้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าในตอนนี้มู่อี้คือศัตรูที่แท้จริงของพวกนาง

ในตอนนี้เมื่อนางเห็นว่ามู่อี้โจมตีเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง นางก็รีบใช้ร่างกายของตนเองบังชิวเยวี่ยถงเอาไว้ด้านหลังทันที

ชิวเยวี่ยถงอยากยื่นมือออกไปเพื่อหยุดการโจมตีที่กำลังเข้ามา แต่เมื่อไม่มีชิวจูคอยประคองอยู่ร่างกายของนางก็เริ่มสั่นและล้มลงไปที่พื้น นางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหยุดชิวจูได้เลย

“ตู้ม!”

ชิวจูใช้ดาบของนางป้องกันเอาไว้ได้อีกครั้ง แต่แม้ว่าจะเป็นยันต์ปราบปีศาจเหมือนกันแต่พลังกับแตกต่างกันเพราะมันขึ้นอยู่กับพลังแห่งจิตใจของมู่อี้ที่ใส่ลงไป

ดังนั้นมันจึงแตกต่างจากที่ชิวจูคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้และแรงกระแทกที่นางรู้สึกได้นั้นก็รุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้

“อะไรกัน!”

ดาบยาวในมือของนางรับแสงสีขาวที่พุ่งเข้ามาได้แต่ทันใดนั้นดาบของนางก็หลุดมือออกไปทันทีและจากนั้นแสงสีขาวก็ตรงเข้ามาที่หน้าอกของนางพร้อมกับกระแทกจนนางกระเด็นไปทันที ชิวจูที่กำลังกระเด็นออกไปนั้นก็กระอักเลือดออกมา

การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นว่ามู่อี้ไม่ได้มีความเมตตาอีกต่อไป และเขาก็พร้อมที่จะเด็ดดอกไม้ทำลายบุปผา

ในเวลาเดียวกันแสงสีขาวอีกเส้นหนึ่งก็พุ่งไปยังร่างวิญญาณของชายคนนั้น ร่างกายที่ดูเลือนลางของเขาก็ย่ำแย่ยิ่งขึ้นไปอีกในตอนนี้

ชิวเยวี่ยถงมีสีหน้าที่ดูกังวลอย่างยิ่งและในใจของนางก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะในตอนนี้นางยอมมอบตัวหลีหู่ให้กับอีกฝ่ายดีกว่าต้องเสียชิวจูและวิญญาณของชายคนนั้นไปแทน

แต่ตอนนี้มันสายเกินไปที่จะรู้สึกเสียใจแล้ว ชิวจูเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งของนางและความจริงที่ว่าชายคนนั้นเป็นบิดาของนางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงเสี่ยงชีวิตรับการโจมตีแทนเขาก่อนหน้านี้

และในตอนนั้นเองสายตาที่หนักแน่นและแววตาที่มุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นมาทันที

“จงหยุดมือ”

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Status: Ongoing

โลกใบนี้ที่แสนโกลาหลวุ่นวายแต่ก็ถือว่ามีความสุขได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น

หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ชีวิตของข้าคงจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องเข้าสู่ลัทธิเต๋า แม้ว่าข้าจะต้องอดมื้อกินมื้อ

แม้ว่าข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับท่านปู่ข้าก็รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง ข้าเคยได้ฟังเรื่องราวของกองทัพวิญญาณ

ผีดิบที่น่าสะพรึงกลัว และความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ แต่สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เคยเมตตาข้าเลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท