ตอนที่ 69 หนทางที่ชัดเจน
ฉือกุยไม่ปล่อยให้มู่อี้ต้องรอนานเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเขาก็สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
“ฮ่าฮ่า เจ้ายังมีอะไรที่แรงกว่านี้อีกหรือไม่?” ฉือกุยจ้องมองไปที่มู่อี้และพูดด้วยสีหน้าที่หยิ่งผยอง
แน่นอนว่าสถานการณ์ในตอนนี้มู่อี้นั้นถือว่าเสียเปรียบมาก
มู่อี้ยังคงเงียบและไม่ได้พูดอะไรเพราะในตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะยังคงสงบนิ่งแต่ในใจของมู่อี้นั้นรู้สึกกังวลมาก เพราะยิ่งเขาเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปนานมากเท่าไหร่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็จะเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
แต่นอกจากยันต์สายฟ้าและตะเกียงทองแดงแล้ว เขายังมีอาวุธอะไรอีก?
มู่อี้ในตอนนี้เพิ่งจะเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกฝนและได้เรียนรู้อะไรไม่มากนัก ช่วงเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมาเขาต้องเสียเวลาไปกับการฝึกฝนเรื่องพื้นฐานต่างๆและถ้านับจริงๆแล้วเขาเพิ่งจะเข้าสู่หนทางการฝึกฝนได้ไม่ถึงครึ่งปีเลย
และที่ความรู้ในด้านการเขียนยันต์ของมู่อี้ที่ถือว่าก้าวหน้าไปกว่าวิชาอื่นๆนั้น ต้องขอบคุณการพร่ำสอนของนักพรตเฒ่าที่คอยสั่งให้เขาฝึกฝนการเขียนยันต์ตลอดหลายปีที่เดินทางไปด้วยกัน
แต่การเรียนรู้ก็ย่อมมีขีดจำกัดด้วยเช่นกัน มู่อี้สามารถเขียนยันต์ออกมาได้ไม่กี่ประเภทเท่านั้น ก่อนหน้านี้ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณหรือสถานการณ์ทั่วๆไปเขาก็สามารถรับมือกับมันได้
ยันต์ที่ทรงพลังของมู่อี้ก็มีเพียงแค่ยันต์สายฟ้าเท่านั้น
แม้ว่ายันต์สายฟ้าของเขานี้ดูเหมือนจะสามารถใช้ได้ในทุกๆสถานการณ์และเป็นยันต์ที่เขาพกติดตัวเอาไว้อยู่ตลอดไม่ว่าจะไปที่ใดก็ตาม แต่ความจริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่วิกฤตให้กับเขาได้ทุกครั้งหรอก
ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้นเพราะเขาไม่มีอาวุธที่ทรงพลังไปมากกว่านี้แล้ว
สำหรับตะเกียงทองแดงมันถือเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง แม้ว่าเขาจะใช้มันในการต่อสู้กับเจี่ยเหรินได้แต่ตะเกียงทองแดงนั้นก็ต้องมีพลังมากพอถึงจะใช้ความสามารถของมันได้
แม้ว่ามู่อี้จะสามารถใช้แสงของตะเกียงทองแดงขับไล่วิญญาณออกไปได้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันยังมีความสามารถอื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน และตะเกียงทองแดงนี้กำลังรอคอยให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นเพื่อเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ของมัน
นอกจากตะเกียงทองแดงแล้ว มู่อี้ก็มีเพียงแค่ธงราชันย์แห่งวิญญาณที่ชำรุดอยู่เท่านั้น ในตอนแรกธงราชันย์แห่งวิญญาณผืนนี้เป็นอาวุธวิญญาณของฉือกุยแต่หลังจากนั้นมันรับการโจมตีของยันต์สายฟ้าและหักไปทันที การได้ครอบครองมันช่วงเวลาสั้นๆก็เพียงพอที่จะทำให้มู่อี้สามารถควบคุมมันได้
แม้ว่ามู่อี้จะสามารถควบคุมธงราชันย์แห่งวิญญาณได้แต่ภายในธงนั้นก็ไม่มีวิญญาณหลงเหลืออยู่เลย พลังของมันก็ลดน้อยลงไปมาก และเขาไม่อาจใช้มันในการต่อสู้กับฉือกุยได้
เพราะฉือกุยคือเจ้าของที่แท้จริงของธงราชันย์แห่งวิญญาณ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของธงผืนนี้ในตอนนี้แต่มู่อี้ก็เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องรู้เรื่องธงราชันย์แห่งวิญญาณมากกว่าเขาอย่างแน่นอน
แต่นอกจากยันต์ต่างๆ ตะเกียงทองแดง และธงราชันย์แห่งวิญญาณแล้ว พละกำลังของมู่อี้ก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาเลย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เขาขาดไปนั่นก็คือการฝึกฝนร่างกายของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาอาวุธต่างๆมาเป็นพลังให้กับเขา มีเพียงพลังในร่างกายของเขาเองเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์
หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้มู่อี้ก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อเขารู้สึกได้ว่าส่วนลึกในร่างกายของเขาเริ่มมีการผันผวนขึ้นมาอีกครั้งและครั้งนี้ยังรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วอีกด้วย
ความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ร่างกายของมู่อี้สั่นขึ้นมาทันที พลังในร่างกายของเขาถูกดูดซึมเข้าไปอย่างบ้าคลั่งและเขารู้สึกได้ว่าพลังแห่งจิตใจของตนเองเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“การคิดถึงตัวเอง นี่หรือคือหนทางของการก้าวเข้าสู่ความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 ?” มู่อี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ความจริงแล้วมู่อี้ก็รู้อยู่แล้วว่าความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 นั่นคือการพัฒนาศักยภาพในร่างกายตนเอง
แต่แม้ว่าเขาจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะในความคิดเขานี่มันก็เรื่องธรรมดา ความยากแห่งการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 1 นั้นคือพัฒนาในด้านของจิตใจส่วนขั้นที่ 2 นั่นคือการพัฒนาศักยภาพร่างกายของตนเอง เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นการฝึกฝนหรือการออกกำลังอะไรแบบนั้น
ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้สิ่งที่เรียกว่าการฝึกฝนจิตใจนั้นก็ยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือในความคิดของเขา
เพราะท่านปู่ต้องมาจากกันเร็วเกินไปและเขาก็ขาดคนที่จะสามารถชี้นำเรื่องนี้ให้กับตนเองได้ ส่วนคำพูดที่ท่านปู่ได้บอกกล่าวต่อเขาก่อนที่ท่านจะตายไปนั้น เขารู้สึกได้ว่าในตอนนั้นท่านปู่พูดเอาไว้มากมายแต่เขาจับใจความได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
หากเปรียบเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าการฝึกฝนจิตใจสิ่งที่เขาจับใจความได้นั้นคงเทียบได้แค่คำนำเท่านั้น
หลังจากได้ลองฝึกฝนจริงแล้วมู่อี้ก็พบว่านอกจากคำนำแล้วหน้ากระดาษที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ต่างก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น มู่อี้ต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง
แม้ว่าในเส้นทางนี้มู่อี้จะสามารถเริ่มต้นได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีอะไรติดขัด แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็เหมือนว่าเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้เดินตามรอยเท้าของท่านปู่ไปอย่างน่าเสียดาย
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอะไร ทุ่งหญ้า ทะเลโคลน หรือหน้าผา มู่อี้ก็ต้องเดินไปด้วยตัวเองเท่านั้นและมีเพียงประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาที่จะสามารถช่วยเขาได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมู่อี้รู้สึกยินดีเมื่อได้เห็นสมุดบันทึกและเอกสารต่างๆของเจี่ยเหริน
นับตั้งแต่มู่อี้ได้มาถึงก้าวที่ 3 ของความยากขั้นที่ 1 เขาก็รู้สึกได้ว่าความยากขั้นที่ 2 นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือเท่านั้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านไปได้อย่างไร
ในตอนที่เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองต้องการพลังงานจำนวนมากเขาก็หมั่นใช้สมุนไพรมาปรุงยาเพื่อเพิ่มพลังให้กับร่างกายให้ได้มากที่สุด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องทำยังไงกับพลังที่เข้าไปสะสมอยู่ภายในร่างกายของตนเองและจะก้าวเข้าไปสู่ความยากขั้นที่ 2 ได้อย่างไร
จนกระทั่งตอนนี้ในที่สุดมู่อี้ก็ได้เข้าใจถึงความยากของการฝึกฝนจิตใจขั้นที่ 2 ได้อย่างชัดเจน
เพราะท้ายที่สุดแล้วพลังภายนอกที่ได้มาจากอาวุธต่างๆนั้นก็เป็นแค่พลังชั่วคราวมีแต่พลังภายในร่างกายของเขาเท่านั้นที่จะอยู่กับเขาไปตลอดกาล
แล้วทำไมท่านปู่ถึงไม่สอนเรื่องแบบนี้ให้กับเขาเลยในตอนที่เขาเริ่มฝึกฝนจิตใจ? ท้ายที่สุดแล้วการมีเรื่องให้สนใจมากมายคงทำให้จิตใจของเขานั้นสับสนไปได้ง่าย
มู่อี้ไม่แน่ใจและไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ เว้นแต่ว่าท่านปู่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเขาถึงจะได้คำตอบที่ชัดเจน ในตอนนี้เขาทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น
แต่ไม่ว่ายังไงเมื่อหมอกหนาที่บดบังเส้นทางของการฝึกฝนจิตใจได้หายไปนั้นมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองกลับมาสงบสุขได้อีกครั้ง มันไม่มีความหงุดหงิดหรือความไม่พอใจหลงเหลืออยู่อีกต่อไปและเขาก็รู้สึกมั่นใจในร่างกายของตนเองมากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของมู่อี้นั้นไม่อาจปิดบังต่อฉือกุยได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนเกิดขึ้นในจิตใจของมู่อี้เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถในการอ่านใจเท่านั้นเขาถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่อี้ในตอนนี้
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฉือกุยก็รู้สึกได้ว่ามู่อี้ในตอนนี้ดูมั่นใจและสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม
แม้ว่าจะใช้สมองคิดมากแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่อี้ในตอนนี้ เขาเชื่อว่ามู่อี้น่าจะเหลือยันต์สายฟ้าอยู่ไม่มากนักและอย่างมากก็แค่หนึ่งหรือสองแผ่นเท่านั้นแต่ไม่น่าเกินสามแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้วก่อนหน้านี้มู่อี้คงไม่ได้มีสีหน้าที่ดูตึงเครียด
เขารู้สึกมั่นใจในตนเองมากตราบใดที่เขายังอยู่ในห้องโถเห็นนี้เขาเชื่อว่าตนเองจะสามารถทนรับการโจมตีของยันต์สายฟ้าทั้ง 2 แผ่นนั้นได้ แต่ถ้าหากยังมียันต์สายฟ้าแผ่นที่ 3 น่ากลัวว่ามันจะเกินขีดจำกัดของร่างกายเขาแล้ว ในตอนนี้ไม่ว่ามู่อี้จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะอะไรแต่ก็คงไม่อาจหลีกหนีความตายไปได้อย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากว่ามู่อี้ไม่เหลือยันต์สายฟ้าอยู่อีกแล้วในตอนนี้นั่นก็เท่ากับว่ามันจะลดปัญหาให้กับเขาไปได้อีกมาก
สำหรับตะเกียงทองแดงของมู่อี้นั้นฉือกุยยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ เพราะวิญญาณอาฆาตนั้นถูกพลังของตะเกียงทองแดงเผาไหม้และสลายไปในทันที แม้ว่าฉือกุยจะมั่นใจในร่างกายของตนเองแต่เขาก็ไม่กล้ารับการโจมตีของตะเกียงทองแดงโดยตรง
แต่เขาก็ยังคงเชื่อว่าในตอนนี้มู่อี้เหลือพลังแห่งจิตใจอยู่อีกเพียงน้อยนิดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยืนนิ่งอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดแบบนี้แล้วฉือกุยก็เลิกกังวลและเลิกสงสัยในทันที