ตอนที่ 65 ผู้พิทักษ์วิญญาณ
ไม่รู้ว่าก้อนเมฆบดบังพระจันทร์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนตอนนี้ราวกับว่าทั่วทั้งโลกมีเพียงแค่ความมืดเท่านั้น เมื่อยืนอยู่ที่นี่แม้แต่นิ้วมือของตนเองเขาก็ไม่อาจมองเห็นได้เลย
มู่อี้เอ่ยปากเตือนเนี่ยนหนิวเอ้อร์และจากนั้นตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของเขาก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
“กรี๊ด!”
ในตอนที่แสงของตะเกียงทองแดงกระทบเข้ากับภูตผีวิญญาณที่อยู่รอบตัวนั้น เสียงกรีดร้องมากมายก็ดังขึ้นมาทันที
แม้แต่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ยังต้องหวาดกลัวแสงจากตะเกียงทองแดงในมือของเขา ภูตผีวิญญาณตนอื่นๆจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร
ถ้าหากฉือกุยต้องการใช้เพียงวิญญาณพวกนี้รับมือกับมู่อี้ เช่นนั้นก็ถือว่าเขาดูถูกมู่อี้มากเกินไปแล้ว
เพราะการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ของมู่อี้กับฉือกุย ศัตรูยังไม่ได้เห็นพลังของตะเกียงทองแดงของเขาเลยด้วยซ้ำดังนั้นแม้ว่าฉือกุยจะประเมินพลังของมู่อี้เอาไว้มากแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนว่าเขายังประเมินพลังของมู่อี้น้อยเกินไปอยู่ดี
เมื่อแสงจากตะเกียงทองแดงส่องสว่างออกมามู่อี้ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ดังมาจากความมืดอย่างชัดเจนและพวกวิญญาณที่อยู่รอบตัวในตอนนี้ต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา
เมื่อเห็นแบบนี้มู่อี้ก็แสยะยิ้มออกมาในใจทันทีจากนั้นเขาก็นำธงราชันย์แห่งวิญญาณออกมาและยื่นมือของตนเองออกไปทันที ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ผืนธงราชันย์แห่งวิญญาณก็ลอยออกไปตามสายลม
การทำแบบนี้นั้นมู่อี้เคยเห็นฉือกุยทำมาก่อนแล้ว และหลังจากที่สำรวจอยู่นานในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมมันได้
เมื่อธงราชันย์แห่งวิญญาณปรากฏออกมา เหล่าภูติผีวิญญาณที่อยู่รอบๆก็ดูจะประหลาดใจและถูกดูดเข้าไปทันที
เมื่อธงราชันย์แห่งวิญญาณกลับเข้ามาในมือของเขา มู่อี้ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันมีน้ำหนักที่มากกว่าเดิมเล็กน้อย
เมื่อถึงตอนนี้ไม่ว่าจะวิญญาณต่างๆที่ฉือกุยหามา เจิ้งสือซง หรือโจรภูเขาคนอื่นๆต่างก็โดนมู่อี้กำจัดออกไปทั้งหมดแล้ว
แต่ยังไม่รู้ว่าซูจินหลุนอยู่ที่ใด ฉือกุยก็ยังไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นเลย แต่เมื่อดูจากเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นมาก่อนหน้านี้มู่อี้คิดว่าฉือกุยจะต้องอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้และอยู่ไม่ไกลจากเขาอย่างแน่นอน
“ออกมา ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่” มู่อี้ตะโกนออกไปทันที เสียงของเขากระจายไปทั่วหมู่บ้านร้างแห่งนี้
“มาสิ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าหากเจ้ากล้าก็จงเข้ามาหาข้า” ไม่นานหลังจากเสียงตะโกนของมู่อี้ก็มีเสียงที่แหบพร่าและเย็นชาตอบกลับมาทันที
แม้ว่าเสียงที่ตอบกลับมานั้นจะไม่ใช่เสียงของฉือกุยที่มู่อี้เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นก็แสดงความเกลียดชังได้อย่างชัดเจน
“เช่นนั้นเจ้าจะหลบซ่อนตัวอยู่ทำไม” มู่อี้ตะโกนตอบกลับไปทันทีเพราะว่าเสียงของอีกฝ่ายดูเหมือนจะมาจากทุกๆทิศทาง มู่อี้จึงไม่อาจรู้ได้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหนในตอนนี้
มู่อี้มองมาที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่อยู่ข้างๆตนเองแต่เขาก็เห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็มีสีหน้าที่ดูสงสัยด้วยเช่นกันและนางไม่รู้ว่าฉือกุยซ่อนตัวอยู่ที่ใด
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องหาข้าให้เจอแล้วล่ะ” ฉือกุยดูเหมือนจะพยายามปั่นประสาทมู่อี้ แต่มู่อี้ก็รู้ว่าศัตรูต้องการฆ่าเขาอย่างแน่นอนและมันยังเป็นการฆ่าแบบที่ทรมานมากที่สุดอีกด้วย
“หลบซ่อนตัวอยู่เหมือนกับภูตผี เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเผาหมู่บ้านนี้ให้วอดวายหรือยังไง?” มู่อี้ตอบกลับไปทันที
“ถ้าเจ้าไม่กลัวตระกูลซูก็ลงมือได้เลย” น้ำเสียงของฉือกุยไม่ได้มีความหวาดกลัวใดๆ ซูจินหลุนคือสิ่งมีค่ามากที่สุดที่เขาจะใช้เจรจาต่อรองได้และมันยังทำให้เขายืนยันความปลอดภัยของตนเองได้ ตราบใดที่ซูจินหลุนยังคงอยู่ในมือของเขา มู่อี้ย่อมไม่กล้าจุดไฟเผาหมู่บ้านแห่งนี้อย่างแน่นอน
ความจริงแล้วที่เขาคาดเดานั้นก็ถูกต้อง ถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าซูจินหลุนปลอดภัยมู่อี้ย่อมไม่กล้าทำอะไรที่จะทำให้ซูจินหลุนต้องมีอันตรายไปด้วย
แม้ว่าซูจงซานจะไม่ได้กดดันอะไรเขาในตอนนี้ แต่มู่อี้ก็รู้ว่าซูจินหลุนสำคัญกับตระกูลซูมากแค่ไหน
ทุกสิ่งทุกอย่างของซูจงซานย่อมต้องถูกส่งต่อให้ซูจินหลุน ถ้าหากซูจินหลุนตายไปย่อมหมายถึงการดับสิ้นของตระกูลซูด้วยเช่นกัน
มู่อี้ยังคงเงียบอยู่ในตอนนี้และไม่ได้รีบร้อนตอบอะไรกลับไป เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไรในตอนนี้ซูจินหลุนก็ยังอยู่ในมือของฉือกุย
และด้วยเงื่อนไขที่ยากลำบากข้อนี้ทำให้มู่อี้จำเป็นต้องค้นหาว่าฉือกุยซ่อนตัวอยู่ที่ไหนเท่านั้น
แต่ถ้าพูดตามตรงตอนนี้มู่อี้ไม่มีทางรู้เลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ต้องทำตัวให้สงบนิ่งมากที่สุดและไม่ตื่นตระหนกให้ศัตรูได้เห็น
มู่อี้มองไปที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ข้างกายของเขาและบอกให้นางถอยไปซ่อนตัวก่อน จากนั้นมู่อี้ก็เดินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งพร้อมกับถือตะเกียงทองแดงเอาไว้ในมือ
เพราะว่าถูกทิ้งร้างมานานภายในบ้านจึงเต็มไปด้วยใยแมงมุมและฝุ่นเป็นจำนวนมาก บริเวณพื้นของบ้านก็เต็มไปด้วยฝุ่นที่หนาเป็นชั้น แต่บนพื้นฝุ่นนั้นก็มีรอยเท้าจางๆที่สามารถมองเห็นได้และรอยเท้านี้ก็เดินตรงเข้าไปในความมืดภายในบ้านหลังนี้
มู่อี้รู้สึกลังเลเล็กน้อยในขณะที่เขาเห็นรอยเท้า เพราะไม่ว่าจะมองยังไงแล้วรอยเท้าที่อยู่ตรงหน้านี้ก็มีไว้เพื่อล่อลวงเขาให้เข้าไปข้างในอย่างแน่นอน
เขาเดาว่าต้องมีกับดักที่รอคอยอยู่แน่ๆ
แต่มู่อี้จะปฏิเสธได้หรือ? คำตอบนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่
ดังนั้นมู่อี้จึงเดินไปตามรอยเท้าด้วยความระมัดระวัง แสงของตะเกียงทองแดงไม่ได้ส่องเพียงแค่รอบๆมือของเขาเท่านั้นแต่เขายังเพิ่มพลังแห่งจิตใจเข้าไปเพื่อให้แสงของตะเกียงทองแดงนั้นห่อหุ้มรอบกายของตนเองและเป็นเหมือนเกราะป้องกันรอบตัว
แม้ว่าการทำแบบนี้จะสูญเสียพลังจิตใจของเขาไปอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว แต่มู่อี้ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วเขารู้ดีว่าฉือกุยนั้นโหดเหี้ยมมากเพียงใด
ยังโชคดีที่การลอบสังหารครั้งที่แล้วนั้นไม่สำเร็จไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้
รอยเท้าเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป 2 แห่งและสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือห้องโถงที่อยู่ภายในบ้านหลังนี้
เมื่อมู่อี้ก้าวเท้าเข้าไปนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้นด้านหลังของเขาอย่างกะทันหันและประตูทั้ง 2 บานนั้นก็ถูกปิดตายทันที
มู่อี้ไม่ได้รู้สึกกังวลเพราะประตูที่ถูกปิดไป เขายกตะเกียงทองแดงในมือให้สูงขึ้นและในตอนนี้เขาสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องโถงแห่งนี้ได้ด้วยตาของตนเอง
“วิญญาณหรอ?”
เมื่อมู่อี้มองไปรอบๆห้องเขาก็เห็นวิญญาณนับร้อยที่วนเวียนอยู่ภายในห้องนี้ ในใจของเขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
วิญญาณแต่ละตนที่อยู่ที่นี่นั้นต่างก็ถูกเขียนชื่อเอาไว้ด้วยสีแดงราวกับว่าตัวอักษรพวกนั้นถูกเขียนด้วยเลือดมนุษย์
ผ้าไหมสีขาวทั้ง 2 ผืนที่แขวนอยู่บนผนังก็หลุดลงมาทันทีแม้ว่าจะไม่มีลมพัดใดๆ แต่มันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังดึงผ้าไหมลงมา
ห้องโถงแห่งนี้แตกต่างจากที่อื่นๆอย่างเห็นได้ชัด พื้นห้องที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นดูสะอาดขึ้นมาเล็กน้อยและปราศจากคราบฝุ่นใดๆ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเพราะการทำความสะอาดหลายๆครั้ง
“นี่มันอะไรกัน?” ทันใดนั้นมู่อี้ก็เกิดคำถามในใจของเขาทันที
ด้านล่างวิญญาณที่เวียนว่ายไปมาภายในห้องนี้ มีฟูกอันหนึ่งตั้งอยู่บนพื่นซึ่งบนฟูกนั้นมีรอยยุบลงไปสองรอยเหมือนกับว่ามีใครกำลังคุกเข่าอยู่เพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่แต่ภายในห้องโถงแห่งนี้ไม่มีธูปเทียนหรือวัตถุบูชาใดๆเลย
จากรอยที่ได้เห็นนี้มู่อี้ก็คิดได้ทันทีว่าจะต้องมีผู้พิทักษ์วิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ (ผู้พิทักษ์วิญญาณ เป็นประเพณีของชาวฮั่นเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ตายไปวิญญาณจะกลับมาที่บ้านอีก 3 วันหลังจากนั้น ผู้พิทักษ์วิญญาณจึงมีหน้าที่ดูแลดวงวิญญาณให้สามารถกลับไปที่ปรโลกได้ถูกต้อง งานศพของชาวจีนส่วนใหญ่จึงมีการนอนเป็นเพื่อนศพหลายๆวันเพื่อให้วิญญาณสามารถจดจำญาติมิตรได้ บางครั้งก็จะมีการจุดตะเกียงเอาไว้ข้างๆโลงศพเพื่อให้วิญญาณไม่หลงทางและสามารถเดินทางกลับปรโลกได้) แต่ไม่ใช่ฉือกุยเพราะวิญญาณส่วนใหญ่ที่นี่ต่างก็มีชื่อที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า เจ้า
ดูเหมือนว่าในตอนนี้นอกจากฉือกุยแล้วยังมีศัตรูลึกลับอีกคนนึงด้วย? แล้วอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับฉือกุย? เป็นศัตรู? หรือว่าเป็นมิตร?
มู่อี้ยังคงมีความหวังในตอนนี้ แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วดูเหมือนจะเป็นศัตรูมากกว่า
ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีเหตุผลที่ฉือกุยเลือกที่นี่เป็นสนามประลองของเขา
นอกจากกลุ่มโจรภูเขาที่มาช่วยเหลือแล้ว ในตอนนี้เขายังมีผู้พิทักษ์วิญญาณด้วยเช่นกันแม้ว่าผู้พิทักษ์วิญญาณตนนี้จะอยู่ในขั้นแรกเริ่มเท่านั้น
วิญญาณที่มู่อี้ได้พบเจอก่อนหน้านี้ก็อาจจะมาจากผู้พิทักษ์วิญญาณตนนี้
เมื่อคิดแบบนี้แล้วหัวใจของมู่อี้ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อยและในตอนนี้สมาธิของเขาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น
“กรุ๊งกริ๊ง!”
ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งที่แปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาอีกครั้งและภายในห้องโถงแห่งนี้ก็เริ่มมีลมที่รุนแรงพัดเข้ามาจนเกิดเป็นเสียงโหยหวนคล้ายกับเสียงสุนัขหอน
เมื่อเสียงที่แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าพลังแห่งจิตใจของเขาถูกสะกดเอาไว้และแสงไฟจากตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของเขาก็เริ่มมีการกระพริบไม่ได้สงบนิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้