ตอนที่ 81 ความเดือดดาลของมู่อี้
“จงหยุดมือ!”
เมื่อเสียงดังขึ้นมาก็มีคนมากมายปรากฏขึ้นในสายตาของมู่อี้ทันที คนแรกที่นำมาคือหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับหญิงสาวอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและในตอนนี้นางกำลังวิ่งลงมาจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
ชิวเยวี่ยถงตกตะลึงขึ้นมาทันทีเมื่อนางได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้นี้ ก่อนหน้านี้นางเป็นผู้มาที่นี่พร้อมกับชิวจูก่อนและชิวเหม่ยรับหน้าที่ไปนำกำลังพี่น้องคนอื่นๆในหมู่บ้านมาช่วยเหลือ
การสั่งการทุกอย่างก่อนหน้านี้ของชิวเยวี่ยถงเป็นไปตามจิตใต้สำนึกของนาง มีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นมากมายในคืนนี้ และก่อนที่ชายคนนั้นจะตายไปนั้นเขาได้เน้นย้ำเรื่องนี้อยู่หลายครั้งดังนั้นนางเชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ศัตรูที่เข้ามาในครั้งนี้จะต้องนำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านของนางอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงต้องออกไปตรวจสอบก่อนเป็นคนแรก
ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยความหยิ่งทะนงของนาง นางคงออกไปจัดการเรื่องนี้เพียงผู้เดียวตั้งแต่แรก
ในตอนนี้นางได้แต่รู้สึกขอบคุณการตัดสินใจที่ถูกต้องของตนเอง
สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา สายฟ้าที่ผ่าลงมาก่อนหน้านี้ได้ทำลายพลังในร่างกายของนางไปแต่มันไม่ได้ทำลายจุดกำเนิดพลังของนางและนางรู้สึกได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปพลังของนางก็จะฟื้นฟูกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากชิวเหม่ยยังไม่ได้มาที่นี่ นางคงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลกเพื่อใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่นางได้สร้างขึ้นมา
แต่แม้ว่านางจะสามารถเอาชนะมู่อี้ได้แต่สิ่งที่นางจะต้องจ่ายออกไปนั้นก็ไม่น้อยด้วยเช่นกัน มันคือรากฐานพลังของนางที่นางได้ฝึกฝนบ่มเพาะอย่างหนักมานานหลายปีและยังต้องอดทนต่อความเจ็บปวดมากมาย
ดังนั้นถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆนางก็ไม่อยากใช้วิธีนี้
มู่อี้จ้องมองมาที่ชิวเหม่ยที่กำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็วและเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ในตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาก็คือกำจัดชิวเยวี่ยถงที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะต้องมีปัญหาตามมาอีกมากมายแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นมู่อี้ยังรู้สึกได้ว่าพลังของนางกำลังฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากปล่อยเวลาให้ผ่านไปและพลังของนางกลับมาเป็นปกติเมื่อไหร่ เมื่อถึงตอนนั้นคงเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากสำหรับเขาอย่างแน่นอน
เมื่อมู่อี้ตัดสินใจว่าจะต้องสังหารชิวเยวี่ยถงก่อน แสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นที่หางตาของเขาทันที มู่อี้รีบหลบไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณของเขาและจากนั้นเขาก็เห็นปลายลูกธนูที่แหลมคมที่กำลังพุ่งผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เขากำลังหลบลูกธนูที่เข้ามานั้น ชิวเหม่ยก็พุ่งตัวเข้ามาใกล้ ในมือของนางถือมีดสั้นเอาไว้เล่มหนึ่ง และเมื่อเข้ามาในระยะที่ใกล้มากพอมีดสั้นในมือของนางก็แทงเข้ามาที่หน้าท้องของมู่อี้ในทันที
มู่อี้ทำได้เพียงกระโดดถอยกลับไปเท่านั้นแต่ชิวเหม่ยก็ถือว่ารวดเร็วมาก นางและมีดสั้นในมือเป็นเหมือนกับเงาที่คอยประกบติดร่างกายของมู่อี้อย่างรวดเร็ว
นี่ทำให้มู่อี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที โชคดีที่สภาพร่างกายของเขานั้นแตกต่างจากก่อนหน้านี้และประสาทสัมผัสรวมถึงการตอบสนองของเขาก็รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่กำลังหลบอยู่นั้นมู่อี้ก็เพิ่มพลังแห่งจิตใจของเขาอย่างรวดเร็วและแสงสว่างจากตะเกียงทองแดงในมือของเขาก็เพิ่มขึ้นทันที
“อะไรกัน!”
ชิวเหม่ยตะโกนออกมาพร้อมกับปิดตาของนางตามสัญชาตญาณและในตอนนี้นางยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กระทบกับร่างกายของตนเอง ทั่วร่างกายของนางรู้สึกเหมือนกับตกลงไปในทะเลแห่งเปลวเพลิงและเปลวเพลิงนั้นก็กำลังเผาไหม้นางจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่ก่อนที่นางจะรู้สึกตัวนั้นนางก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงที่บริเวณท้องน้อย
ชิวเหม่ยกระอักเลือดออกมาพร้อมกับกระเด็นลงไปนอนที่พื้นทันที
เมื่อเทียบกับชิวจูแล้ว การบาดเจ็บทางร่างกายของชิวเหม่ยไม่ได้สาหัสมากนัก ร่างกายของนางไม่มีรอยแผลใดๆเลยนอกเหนือจากรอยเท้าที่อยู่บริเวณท้องน้อยของนางเท่านั้น แต่ในตอนนี้นางหมดสติไปแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าการบาดเจ็บครั้งนี้มาจากการบาดเจ็บที่ดวงวิญญาณของนาง
แม้ว่าแสงจากตะเกียงทองแดงจะไม่อาจทำร้ายมนุษย์ได้แต่ก็สามารถใช้ทำอันตรายต่อจิตวิญญาณของคนๆนั้นได้ มู่อี้ได้ค้นพบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในตอนที่เขาต่อสู้กับฉือกุยและผลลัพธ์นั้นก็เกิดขึ้นทันตาเห็น
เมื่อเทียบกับการบาดเจ็บทางร่างกายแล้ว การบาดเจ็บทางดวงวิญญาณนั้นย่อมหนักกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยและยังรักษาได้ยากกว่าอีกด้วย
“เสี่ยวเหม่ย”
หลังจากแสงสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้นมาชิวเหม่ยก็กระเด็นไปที่พื้นและหมดสติไปทันที ชิวเยวี่ยถงรู้สึกตกตะลึงจนต้องร้องตะโกนออกมา
“ฟิ้ว!”
ในตอนนี้ลูกธนูอีกดอกหนึ่งก็ตรงเข้ามาหามู่อี้ทันที
ด้วยพลังแห่งจิตใจที่มีมู่อี้จึงสามารถรับรู้ได้ถึงการโจมตีครั้งนี้อย่างรวดเร็ว มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่ลูกธนูจะสัมผัสร่างกายของเขาได้เว้นแต่ว่าจะมีนักธนูหลายๆคนรุมยิงธนูมาที่เขา
มู่อี้เอนกายหลบลูกธนูที่พุ่งเข้ามาและในเวลาเดียวกันเขาก็ปิดแสงไฟจากตะเกียงทองแดงที่อยู่ในมือของเขา เพราะในค่ำคืนที่มืดมิดแบบนี้การถือตะเกียงที่ส่องสว่างอยู่ในมือคงทำให้เขากลายเป็นเป้ายิงธนูที่ดีที่สุด
ทันทีที่แสงจากตะเกียงดับลงไปนั้นทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ก็ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง มันทำให้ผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่ในพื้นที่นี้ต่างก็รู้สึกอึดอัดและมองอะไรไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ
มู่อี้ใช้ธงราชันย์แห่งวิญญาณมาคลุมร่างกายของเขาอีกครั้งและรีบพุ่งเข้าไปหาคนกลุ่มนี้อย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงสีขาวที่ถูกส่งออกไปจากมือของเขา
แม้ว่าเขาจะมียันต์สายฟ้าเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้นแต่เขาก็ได้เตรียมยันต์ปราบปีศาจมาเป็นจำนวนมากและยันต์ปราบปีศาจของเขานั้นก็ดูเหมือนจะได้ผลดีต่อมนุษย์ธรรมดาด้วยเช่นกัน เขาไม่กล้าพูดว่าตนเองจะสามารถกำจัดกลุ่มโจรภูเขานี้ทั้งกลุ่มได้แต่ถ้าหากเป็นการฆ่าคนเพียงแค่ไม่กี่คนนั้นถือว่าเขาทำได้อย่างสบายมาก
ได้ตอนนี้มู่อี้ได้สวมบทบาทเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยม เมื่อแสงสีขาวพุ่งออกไปจากมือของเขาก็มีเสียงกรีดร้องตามมามากมาย
ด้วยเวลาที่เร่งด่วนจนเกินไปชิวเหม่ยจึงไม่อาจรวบรวมคนมาได้มากนักและพามาที่นี่ได้เพียงแค่ 7-8 คนเท่านั้น แต่เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจคนทั้ง 7-8 คนเหล่านี้ก็ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น เห็นได้ชัดว่าการหายใจของพวกเขาเริ่มติดขัดและพวกเขาจะรอดไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตนเองแล้ว
“หยุดเถอะ!”
สายตาของชิวเยวี่ยถงจ้องมองออกไป และในตอนที่นางตะโกนออกมานั้นพลังของนางก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
นางพุ่งตัวเข้าไปหามู่อี้รวดเร็วราวกับสายลม เมื่อพุ่งตัวผ่านชิวจูไปมือขวาของนางก็คว้าไปที่ดาบของชิวจูอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันเป็นดาบของนางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อมีดาบอยู่ในมือท่าทีของชิวเยวี่ยถงก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ดาบในมือของนางชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้ว่าจะยังอยู่ห่างกันในตอนนี้แต่มู่อี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้มู่อี้ก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไป เขาจ้องมองมาที่ชิวเยวี่ยถงที่พุ่งตัวไปมาบนท้องฟ้าราวกับเทพธิดาองค์หนึ่งและทันใดนั้นก็สะบัดมือของเขาออกไปอีกครั้ง
“พรึบ!”
ผ้าคลุมที่อยู่บนหลังของมู่อี้ก่อนหน้านี้ลอยขึ้นไปทันทีและมันเป็นเหมือนปีกสีดำที่กำลังบินตรงเข้าไปหาชิวเยวี่ยถง
“ตึง!”
ดาบยาวและธงราชันย์แห่งวิญญาณปะทะเข้าหากันกลางอากาศจนส่งเสียงดังออกมาหลายครั้ง จากนั้นธงราชันย์แห่งวิญญาณก็ลอยกลับเข้ามาที่มือของมู่อี้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าชิวเยวี่ยถงจะต้องการตามมาแต่ความเร็วของนางก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด. .
ในตอนนี้สีหน้าของมู่อี้เปลี่ยนแปลงไปทันทีและเขาสะบัดธงราชันย์แห่งวิญญาณในมือของตนเองอีกครั้ง จากนั้นธงราชันย์แห่งวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นผ้าคลุมและทำให้ร่างกายของเขาหายไปในความมืดอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านชิวเยวี่ยถง วิถีแห่งดาบของท่านนั้นข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว หลังจากนี้อีก 3 วันข้าจะกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากท่านชิวเยวี่ยถงยังคงไม่ยอมมอบตัวหลีหู่มาให้ข้า เมื่อถึงวันนั้นแล้วก็อย่าโทษที่ข้าเหี้ยมโหดจนเกินไป แม้แต่สุนัขตัวเดียวก็ไม่อาจรอดไปได้แน่นอน”
หลังจากกล่าวจบมู่อี้ก็หายตัวไปทันที ในค่ำคืนที่มืดสนิทเช่นนี้ธงราชันย์แห่งวิญญาณทำให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วราวกับปลาที่ได้แหวกว่ายน้ำ
มันไม่ใช่การหายตัวไปต่อหน้าคนเป็นจำนวนมากแต่มันก็ยากมากที่จะตามหาตัวเขาพบได้ในตอนนี้
ชิวเยวี่ยถงยืนอยู่ที่ตำแหน่งที่มู่อี้ได้หายตัวไปพร้อมกับดาบในมือของนางด้วยสีหน้าที่ยังคงสงบนิ่ง นางรู้ดีว่าในตอนนี้ปัญหาของหมู่บ้านแห่งนี้ย่อมเริ่มต้นขึ้นแล้วและชายหนุ่มคนนี้ย่อมทำตามที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างแน่นอน