ตอนที่ 70 จุดอ่อน
แม้ว่ามู่อี้จะได้พบกับความรู้สึกนั้นแล้วและพลังในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่สามารถข้ามผ่านไปยังระดับความยากขั้นที่ 2 ได้
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คืออันตรายของมู่อี้ยังไม่หมดไปในตอนนี้ เขาเพิ่งจะหาหนทางไปต่อเจอได้ด้วยตนเองและมันทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นมาก แม้ว่าในตอนนี้เขาจะยังอยู่ในอันตรายแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ในสายตาของฉือกุยนั้นมู่อี้ดูมั่นใจในตัวเองขึ้นมากและมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เขารู้สึกราวกับว่ามู่อี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนเลย จากนั้นเขาก็มองไปที่มู่อี้และพูดต่อไปว่า “ถ้าข้าสามารถจับเจ้าได้ บางทีข้าอาจจะมอบความสุขให้กับเจ้าหรือไม่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาในโลกใบนี้”
คำขู่ของฉือกุยนั้น มู่อี้ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจและสายตาของเขาก็ยังคงสงบนิ่งมากไม่มีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่อีกต่อไป มู่อี้กำลังคิดหาวิธีตอบโต้อย่างรวดเร็ว
ร่างกายของฉือกุยนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด และการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติจะสามารถทำได้เลยแม้แต่พลังจากยันต์สายฟ้าก็ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้
ดังนั้นการจะฆ่าฉือกุยได้นั้น เขาต้องรู้ก่อนว่าร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของฉือกุยนั้นคืออะไร
ร่างกายของเขามีสีดำเหมือนกับน้ำหมึกและมีรูปร่างที่คล้ายกับรากของต้นไม้แก่ๆ มันแข็งแกร่งมากจนพลังของยันต์สายฟ้าและยันต์ปราบปีศาจไม่อาจผ่านการป้องกันของเขาไปได้เลย
มู่อี้เริ่มคิดถึงร่างกายของฉือกุยขึ้นมาในใจและหวังว่าเขาจะได้เจอเบาะแสอะไรบางอย่างแต่ก็พบเพียงความผิดหวังเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะคำบอกเล่าของท่านปู่หรือในสมุดบันทึกของเจี่ยเหรินก็ไม่มีอะไรที่เหมือนกับร่างกายของฉือกุยในตอนนี้บันทึกเอาไว้เลย
แต่มู่อี้ก็พบว่าฉือกุยในร่างนี้นั้นมีความเร็วที่ลดลงไปมาก
และอีกอย่างหนึ่งก็คือรูปลักษณ์ของเขาค่อยๆกลับมาเป็นปกติช้าๆดูเหมือนว่าเขาจะคงสภาพร่างกายนี้ได้ไม่นานนัก นี่น่าจะเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของร่างกายที่เหมือนกับรากไม้นี้อย่างแน่นอน
ตราบใดที่มู่อี้สามารถหาจุดอ่อนของศัตรูได้ เขาย่อมได้รับชัยชนะในการต่อสู้แน่นอนและยันต์สายฟ้าใบสุดท้ายของเขาจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาเอาชนะศัตรูได้
“เจ้าอยากจะจับข้างั้นหรือ ก็มาสิ? อย่าเข้าใจผิดไป แม้ว่าข้าจะต้องตาย แต่ข้าก็ไม่ยอมกลายเป็นอมนุษย์ ผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิงเหมือนกับเจ้าอย่างแน่นอน” มู่อี้จ้องมองไปที่ฉือกุยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
แม้ว่าเขาจะเป็นกังวลเรื่องของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่ยังคงอยู่ข้างนอกแต่เขาก็ทำได้เพียงเชื่อใจนางเท่านั้นในตอนนี้และเขาจะสามารถออกไปช่วยเหลือนางได้ก็ต่อเมื่อเขาเอาชนะฉือกุยที่อยู่ตรงหน้าได้เท่านั้น
“อมนุษย์ ผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง งั้นหรือ?” ฉือกุยดูเหมือนจะโกรธขึ้นมาจริงๆเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของมู่อี้ เพราะก่อนหน้านี้รูปร่างหน้าตาของเขาก็ถือว่าไม่ได้แย่เลยและเขายังเป็นคนที่สนใจในรูปร่างหน้าตาของตนเองอีกด้วย จนกระทั่งเมื่อรูปลักษณ์ของเขาได้กลายมาเป็นเช่นนี้แม้ว่ามันจะเป็นเพราะความเต็มใจของเขาเองก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดชังที่ตนเองต้องกลายมาเป็นแบบนี้เลย
ในทางกลับกันความจริงแล้วเมื่อเขากลายมาเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งสนใจสายตาของผู้คนที่มองมามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่อี้ที่เป็นศัตรูของเขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่เย้ยหยันและดูถูก มันทำให้ความอดกลั้นต่อความโกรธในจิตใจของเขาหายไปทันที
“ทั้งหมดมันก็เพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าข้าจะต้องเป็นแบบนี้หรือ? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนที่ต้องอดทนอยู่ในสภาพแบบนี้? ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็แทบทนรอไม่ไหวที่จะได้ฉีกเนื้อของเจ้าออกเป็นชิ้นๆและข้าขอสาบานไว้เลยว่าข้าจะกินเนื้อของเจ้าให้หมดทั้งร่างกาย ข้าจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าข้าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า” ฉือกุยจ้องมองไปที่มู่อี้ด้วยใบหน้าที่มีเพียงความบ้าคลั่ง น้ำเสียงของเขาดูตื่นเต้นในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เช่นนั้นเจ้าจึงร่วมมือกับโจรภูเขาและยังมีผู้พิทักษ์วิญญาณที่อยู่ที่นี่เพื่อกำจัดข้าอย่างนั้นหรือ?” มู่อี้พูดต่อไป
“ใช่แล้ว ตราบใดที่สามารถฆ่าเจ้าได้มันก็ย่อมคุ้มค่าเสมอ ไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้นตระกูลซูด้วยเช่นกัน ข้าจะทำให้ตระกูลซูกลายเป็นสุนัขรับใช้ของข้าไปตลอดกาลและข้าจะกักขังดวงวิญญาณของตระกูลซูทุกๆดวงเอาไว้ไม่ให้พวกมันได้ไปผุดไปเกิด” ฉือกุยพูดพร้อมกับกัดฟันด้วยความแค้น
ดูจากท่าทีของฉือกุยในตอนนี้ มู่อี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ความเกลียดชังทำให้คนตาบอดเขาได้เห็นกับตัวเองอีกครั้งแล้วในวันนี้
มู่อี้จ้องมองไปที่ฉือกุย เมื่ออีกฝ่ายเริ่มไม่ระมัดระวังตัวขึ้นมาก็ย่อมเปิดเผยจุดอ่อนหรือสิ่งที่ผิดปกติบางอย่างออกมาด้วยเช่นกัน
ไม่นานหลังจากนั้นมู่อี้ก็พบว่าแม้ว่าฉือกุยจะรู้สึกโกรธมากแค่ไหนแต่ในตอนที่เขาพูดคุยอยู่นั้น เขาจะหันร่างกายเพียงด้านเดียวเท่านั้นเข้าหาและไม่เคยใช้ร่างกายด้านที่ไร้แขนของเขาเผชิญหน้ากับมู่อี้เลย
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการกระทำตามจิตใต้สำนึกเท่านั้นแต่ก็ถือว่ามีความสำคัญมากในตอนนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าจิตใต้สำนึกของฉือกุยพยายามปกป้องร่างกายอีกฝั่งนึงเอาไว้
“นั่นคือจุดอ่อนหรือ? แต่จุดอ่อนอยู่ที่ไหนกัน?” แม้ว่ามู่อี้จะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อย อาจเป็นเพราะว่าแขนซ้ายที่ขาดไปของฉือกุยจึงทำให้จิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายพยายามปกป้องร่างกายด้านนี้ มันอาจจะไม่ใช่จุดอ่อนก็เป็นได้
มู่อี้จ้องมองสีหน้าของฉือกุยในตอนนี้และรู้สึกว่าเขาต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง
“แม้ว่าเจ้าจะล้างแค้นได้สำเร็จแล้วยังไงต่อ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยร่างกายแบบนี้งั้นหรือ? ข้าคิดว่าตราบใดที่ผู้คนเห็นเจ้าคงต้องรีบหนีไปด้วยความรังเกียจใช่ไหม? แม้ว่าเจ้าจะพบเจอใครที่ยอมรับร่างกายของเจ้าได้ก็คงเป็นตอนที่เจ้าแก่ชราไปแล้ว เจ้าจะต้องไม่มีบุตร ไม่มีผู้สืบทอดสกุล และสายเลือดของตระกูลฉือจะต้องถูกตัดขาดที่เจ้า” มู่อี้พูดขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำพูดของมู่อี้ ฉือกุยก็ดูบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วแต่รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขามันทำให้เขาดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิมมาก
คำพูดของมู่อี้ได้เสียบแทงหัวใจของฉือกุยเข้าเต็มๆและคำพูดที่มู่อี้บอกว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิงนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย
ในตอนนี้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นแสดงความบ้าคลั่งออกมาจนถึงขีดสุด ฉือกุยไม่อาจจะทนต่อความโกรธในใจของตนเองได้อีกต่อไปและสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไปอย่างสมบูรณ์แล้วในตอนนี้
“ตายซะ เจ้าต้องตายไปซะ” ฉือกุยร้องตะโกนออกมาและพุ่งเข้าหามู่อี้ทันที
สายตาของมู่อี้ยังคงจับจ้องอยู่ที่ฉือกุย ในตอนที่เขาเห็นว่าฉือกุยพุ่งเข้ามาหานั้นเขาก็โยนยันต์ปราบปีศาจออกไปทันที
เมื่อแสงสีขาวพุ่งลงไปบนร่างกายของฉือกุยที่ตอนนี้กลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งและในตอนนี้มู่อี้ยังเลือกเล็งไปที่ไหล่ซ้ายที่แขนขาดของศัตรู
พร้อมกันนั้นมู่อี้ก็ใช้ยันต์สายฟ้าแผ่นสุดท้ายของเขาออกไปโดยไม่ลังเลทันที
ความจริงแล้วฉือกุยก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อมู่อี้โจมตีเข้ามาแต่แม้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองอีกครั้งในตอนนี้มันก็ยังต้องใช้เวลา และในตอนนี้มู่อี้ยังโจมตีมาในตำแหน่งแขนที่ขาดไปของเขา
“ตู้ม!”
ยันต์สายฟ้าโจมตีลงมาบนไหล่ของเขาอย่างรุนแรงหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือตรงปากแผลของเขาพอดี
ในตอนนี้ฉือกุยเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“อ๊ากกก!”
ความเจ็บปวดทำให้ฉือกุยต้องกรีดร้องออกมา เมื่อแสงสีขาวที่สว่างจ้าหายไปนั้นมู่อี้ก็ได้เห็นสภาพของฉือกุยในตอนนี้
เขาเห็นว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายของฉือกุยนั้นถูกโจมตีจนกลายเป็นตอตะโก รอยไหม้นั้นแตกต่างจากร่างกายอีกครึ่งหนึ่งที่ดำเหมือนกับน้ำหมึกของเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่มีสัญญาณชีพจรอีกต่อไปในร่างกายบริเวณนั้น ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองได้สมบูรณ์แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน