Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 82

ตอนที่ 82

ตอนที่ 82 ความรู้สึกของแต่ละคน

“สร้างปัญหาให้ท่านนักพรตเต๋าต้องคอยมาช่วยเหลืออยู่แบบนี้ ข้า ซูจินหลุน รู้สึกละอายใจจริงๆ”

เมื่อลงมาจากภูเขาแล้วซูจินหลุนก็จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยความรู้สึกผิดและพูดเหมือนกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเจิ้งสือซงจะกระทำเรื่องแบบนี้จริงๆ

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นด้วยสายตาของตนเองแต่ซูจินหลุนก็เชื่อว่ามู่อี้ต้องพยายามอย่างมากเพื่อช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน

“ตราบใดที่ท่านไม่เป็นอะไรก็ถือว่าดีมากแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วข้าคงไม่มีหน้าไปพบกับท่านผู้อาวุโสซูได้อย่างแน่นอน” มู่อี้มองมาที่ซูจินหลุน แม้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายจะดูละอายใจอยู่เล็กน้อยแต่สภาพร่างกายและสภาพจิตใจของเขาถือว่าปกติดี

“ท่านนักพรตเต๋าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้าและข้าก็เป็นคนทำให้ท่านนักพรตเต๋าต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้” ซูจินหลุนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

ความจริงแล้วแม้ว่าซูจินหลุนจะไม่ได้เข้ามาในเมืองแห่งนี้และทำให้ไม่มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น แต่เจิ้งสือซงและฉือกุยจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อทำให้มู่อี้ต้องออกมาหาพวกเขาอย่างแน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้และมู่อี้ก็คือเป้าหมายแรกของพวกเขาอยู่แล้ว หลังจากกำจัดมู่อี้ได้สำเร็จเป้าหมายต่อไปก็คือตระกูลซูอย่างแน่นอน

โชคดีที่มู่อี้ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง ด้วยเหตุนี้ฉือกุยและเจิ้งสือซงจึงต้องเสียชีวิตไปทั้งสองคน แม้แต่กลุ่มโจรภูเขาที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถหยุดมู่อี้ได้เลย จนสามารถช่วยเหลือซูจินหลุนออกมาได้อย่างปลอดภัย

ในตอนนี้ซูจินหลุนรู้สึกชื่นชมท่านปู่ของเขามากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าเขารู้สึกชื่นชมมู่อี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

“ข้าจะส่งท่านกลับไปอยู่ในเมืองก่อน จากนั้นค่อยกลับมาจัดการกับโจรภูเขากลุ่มนี้ขอรับ” มู่อี้พูดออกมาตามตรง

“ท่านนักพรตเต๋า ข้าไม่รู้ว่าข้าควรพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่” ซูจินหลุนรู้สึกลังเลใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาได้ยินว่ามู่อี้จะกลับมาที่ภูเขาแห่งนี้อีกครั้ง

ความจริงแล้วมู่อี้ไม่ได้มีความโกรธแค้นต่อชิวเยวี่ยถงเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าหลังจากที่ขึ้นไปบนภูเขาแล้วเขาได้ทราบว่าหลีหู่ยังคงมีชีวิตอยู่และยังไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลยก็ตาม

และเขาก็รู้ดีว่าโจรภูเขากลุ่มนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลซูและปู่ของซูจินหลุนอย่างแน่นอน

“พูดมาเถอะขอรับ” มู่อี้จ้องมองมาที่ซูจินหลุน

“ความจริงแล้ว เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชิวเยวี่ยถงเลย เป็นหลีหู่ที่กระทำเรื่องทุกๆอย่าง ท่านนักพรตเต๋าอย่าทำร้ายชิวเยวี่ยถงได้หรือไม่?” ซูจินหลุนพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ดูอายเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นห่วงคนอื่นมากขนาดนั้นเลยสินะขอรับ?” มู่อี้หยอกล้อซูจินหลุน เขาทำให้ซูจินหลุนต้องหน้าแดงขึ้นมาเพียงแค่ประโยคเดียว

“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าไม่เคยพบเจอนางมาก่อนจะคิดเช่นนั้นกับนางได้อย่างไรกัน?” ซูจินหลุนรีบอธิบายด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของเขา “ข้าเพียงแค่เคยได้ยินจากท่านปู่ว่าโจรภูเขากลุ่มนี้อาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกเราในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิวเยวี่ยถงที่ทำให้ท่านปู่ต้องรู้สึกสนใจ ไม่ว่าความสามารถของนางหรือว่ากลยุทธ์ต่างๆนางก็ถือว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ”

‘ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสซูจะวางแผนเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว ชิวเยวี่ยถงถือว่าเป็นบุคคลที่หาตัวได้ยากมากจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาด แต่หญิงสาวแบบนางยอมไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของผู้อื่นอย่างแน่นอน เรื่องนี้ยากมาก’ มู่อี้ส่ายศีรษะ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มองซูจงซานในแง่ดีอยู่แล้ว

“หลังจากนี้ 3 วันข้าจะกลับไปที่ภูเขาเสี่ยวหานอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากนางยอมมอบตัวหลีหู่มาเช่นนั้นเรื่องทุกอย่างก็จะจบลงอย่างง่ายดาย แต่ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว …” มู่อี้ไม่ได้พูดต่อแต่ซูจินหลุนก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าคำพูดของมู่อี้นั่นหมายความว่ายังไง?

แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการที่มู่อี้พูดเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการรักษาชื่อเสียงของตระกูลเขามากแล้ว จะยอมถอยให้มากกว่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้

และซูจินหลุนย่อมไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดว่ามู่อี้มีความโกรธแค้นกับหญิงสาวที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย

เมื่อมู่อี้และซูจินหลุนเดินทางกลับไปที่มณฑลหลินอาน บรรยากาศภายในหมู่บ้านของกลุ่มโจรภูเขาตอนนี้ก็ตกอยู่ในความอึมครึม

แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแต่ในห้องโถงแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

เก้าอี้ที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้นว่างเปล่าแต่มีชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 30 ปีนั่งอยู่ที่ด้านซ้ายของเก้าอี้ใหญ่ตัวนั้น เขาเป็นชายร่างสูงที่ดูสง่างามแต่คิ้วของเขากลับต้องขมวดเอาไว้ในตอนนี้

ยังมีผู้คนมากมายที่ทั้งยืนและนั่งอยู่ภายในห้องนี้และสีหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความไม่พอใจ

หลีหู่เหลือบมองไปยังทุกๆคนที่อยู่ภายในห้องนี้ คำพูดต่างๆที่ลอยเข้ามาในหัวของเขาจากทุกๆคนที่อยู่รอบห้องทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เพราะเขาเป็นถึงหัวหน้าคนหนึ่งของกลุ่มโจรภูเขาคงไม่ใช่คนขี้ขลาดหรอกใช่ไหม? และถ้าหากเขาเป็นคนขี้ขลาดตาขาวจริงๆเขาคงไม่กล้าปล้นตระกูลที่ร่ำรวยทั้ง 7 ตระกูลพร้อมกับฉือกุยอย่างแน่นอน และยังมีเรื่องของมู่อี้กับฉือกุยอีกด้วย

แต่ในตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ

ในคืนนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้ปรากฏตัวออกไปแต่เขาก็สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แม้ว่าในหมู่บ้านร้างตอนนั้นเขาจะส่งลูกน้องฝีมือดีที่สุดของตนเองออกไปแต่เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากที่การต่อสู้จบลงลูกน้องที่เขาส่งไปทุกๆคนต่างก็ตายไปทั้งหมด แม้แต่ฉือกุยที่ถือเป็นปีศาจในสายตาของเขาก็ยังตายไปแล้วด้วย มันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอดทั้งคืน

ในตอนแรกเขาคิดจะส่งตัวซูจินหลุนกลับไป แต่ความโลภเพียงเล็กน้อยในใจของเขาบวกกับความมั่นใจในกลุ่มโจรภูเขาของตนเองทำให้เขาเลือกที่จะทำแบบนี้

ตอนที่ชิวเยวี่ยถงมารับตัวซูจินหลุนจากเขาไปนั้น เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลยกลับกันเขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นอีกด้วย เพราะอย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าชิวเยวี่ยถงได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้แล้วและเขาเองก็ทราบดีถึงพลังของชิวเยวี่ยถงได้อย่างชัดเจน

แต่เขาไม่คิดเลยว่าในคืนนั้นมู่อี้จะสามารถกลับลงไปจากภูเขาได้อย่างปลอดภัยและแม้แต่ชิวเยวี่ยถงก็ยังไม่ใช่ศัตรูของเขา พี่น้องมากมายในหมู่บ้านต้องตายไปเป็นจำนวนมาก

ทุกๆคนต่างก็ตายไปอย่างเงียบๆโดยไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและความตายของพวกเขาก็น่าสะพรึงกลัวมาก แม้แต่ซูจินหลุนที่ถูกจับเป็นตัวประกันเอาไว้ก็ถูกช่วยเหลือออกไปอย่างเงียบๆด้วยเช่นกัน

หลังจากผ่านวันนั้นมาหลีหู่ก็ได้รับรู้แล้วว่าเขาได้ไปล่วงเกินบุคคลที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้าให้แล้วและนี่คือบทเรียนครั้งใหญ่ของเขา เงินทองมากมายที่ปล้นมาได้ยังคงถูกเก็บเอาไว้ในเมืองและเขาเริ่มรู้สึกหมดหวังกับเรื่องนี้แล้ว

ก่อนที่มู่อี้จะจากไป เขาได้ทิ้งข้อความเอาไว้ว่าจะกลับมาที่นี่อีก 3 วันหลังจากนี้และให้ชิวเยวี่ยถงมอบตัวหลีหู่ออกมาไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่ไก่ที่เลี้ยงเอาไว้ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะไม่มีทางรอดไปได้

ในตอนนี้หลีหู่รู้สึกหวาดกลัวแล้วจริงๆ

เมื่อเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆในหมู่บ้านที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เขาเข้าใจความน่ากลัวของมู่อี้ได้เป็นอย่างดี แม้แต่ชิวเยวี่ยถงก็ยังไม่อาจรับมือกับชายคนนี้ได้ แล้วทั่วทั้งหมู่บ้านแห่งนี้ใครจะหยุดเขาได้กัน?

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคืออีกฝ่ายยังไม่ใช่คนธรรมดา

ไม่ใช่ว่าเขาได้รับรู้ถึงวิญญาณและผีดิบต่างๆในตอนที่ร่วมมือกับฉือกุยหรือ? แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าไม่ใช่แค่เรื่องดีๆจะไม่เกิดขึ้นเท่านั้นแต่มันยังนำพาเรื่องเลวร้ายมาด้วยเช่นกัน

ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชิวเยวี่ยถงแล้ว แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าตนเองสามารถปลุกปั่นให้พี่น้องคนอื่นๆในหมู่บ้านออกไปตายแทนตนเองได้แต่เขาก็รู้ดีว่ามู่อี้ไม่ใช่คนที่พี่น้องคนอื่นในหมู่บ้านจะสามารถเอาชนะได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับชิวเยวี่ยถงแต่เขาก็รู้ดีว่านางเป็นคนยังไง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงไม่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้

อย่างน้อยในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดนั้นชิวเยวี่ยถงก็ยังไม่มอบตัวเขาให้กับอีกฝ่าย

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องตายเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากเขาจะต้องตายจริงๆเขาคงไม่โง่พอที่จะตายไปพร้อมกับทุกๆคนในหมู่บ้านแห่งนี้หรอก

ท้องฟ้าและทะเลอันกว้างใหญ่ จะไม่มีที่ไหนให้เขาอาศัยอยู่ได้เลยหรือไง? เขาแยกตัวออกไปพร้อมคนอีกกลุ่มหนึ่งและหาที่หลบซ่อนตัวรอให้เรื่องนี้สงบลงก่อนแล้วค่อยหาทางกลับมาที่นี่อีกครั้ง แบบนี้ดีหรือไม่?

ในตอนที่หลีหู่กำลังวางแผนอยู่ในใจนั้น ชิวเยวี่ยถงก็เดินเข้าไปในห้องหนึ่งช้าๆ

บนเตียงมีร่างของชิวเหม่ยที่ยังคงหมดสติอยู่

ชิวจูยืนหน้าซีดอยู่ข้างเตียง สายตาของนางจ้องมองไปที่หมอที่กำลังตรวจชีพจรของชิวเหม่ย

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป

Status: Ongoing

โลกใบนี้ที่แสนโกลาหลวุ่นวายแต่ก็ถือว่ามีความสุขได้ถูกทำลายลงไปแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น

หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ชีวิตของข้าคงจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าข้าจะต้องเข้าสู่ลัทธิเต๋า แม้ว่าข้าจะต้องอดมื้อกินมื้อ

แม้ว่าข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ต่างๆอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่กับท่านปู่ข้าก็รู้สึกมีความสุขอย่างแท้จริง ข้าเคยได้ฟังเรื่องราวของกองทัพวิญญาณ

ผีดิบที่น่าสะพรึงกลัว และความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ แต่สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ชีวิตที่สงบสุขเท่านั้น เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เคยเมตตาข้าเลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท