ตอนที่ 75 ชายที่น่าตกตะลึง
“แม่นาง ข้าขอพบผู้ที่เป็นผู้นำของท่านหน่อยได้หรือไม่?” ซูจินหลุนมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องและกล่าวขึ้นมาทันที
ซูจินหลุนนั้นย่อมเป็นคนฉลาดและตั้งแต่เขาถูกพาตัวมาที่นี่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เขารู้ว่าสถานการณ์ของเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยเขาก็ยังอยากใช้โอกาสนี้หาข้อมูลจากอีกฝ่าย
ในฐานะที่เขาเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดตระกูลซูถ้าหากซูจินหลุนไม่ทราบถึงเรื่องราวของกลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานและเรื่องหญิงสาวผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขา เขาก็คงไม่เหมาะสมที่จะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลซูอย่างแน่นอน เขาทราบเป็นอย่างดีว่าชิวเยวี่ยถงคือคนที่กักขังเขาเอาไว้ที่นี่ในตอนนี้
แม้ว่าชิวเหม่ยจะเป็นฝาแฝดคนน้องแต่ด้วยความที่นางมีความสงบนิ่งมากกว่าส่วนใหญ่แล้วชิวเยวี่ยถงจึงมอบหมายให้นางดูแลเรื่องเช่นนี้ และในตอนนี้เมื่อนางได้ยินคำพูดของซูจินหลุนนางก็ยิ้มขึ้นมาและตอบกลับมาว่า “ท่านชายแห่งตระกูลซูไม่ต้องกังวลไป ท่านหัวหน้าได้สั่งการเอาไว้ทุกอย่างแล้ว พวกเราจะไม่ทำร้ายท่านแน่นอนและพวกเราจะส่งท่านชายลงจากภูเขาในอีก 2 วันหลังจากนี้”
“ไม่ แม่นางท่านเข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้มันเร่งด่วนกว่าที่ท่านคิดเอาไว้ ปัญหานี้มันอาจจะทำให้กลุ่มโจรภูเขาของท่านและหัวหน้าของท่านต้องมีภัยไปด้วย” ซูจินหลุนกล่าวด้วยความเคร่งขรึมออกมาเพราะตั้งแต่เขาได้เห็นพลังของมู่อี้มาหลายครั้ง ในใจของเขามู่อี้ก็เป็นเหมือนเทพเจ้าบนสวรรค์ที่มีพลังอำนาจทุกๆอย่าง
แม้ว่ากลุ่มโจรภูเขาจะทรงพลังมากแค่ไหนแต่ในความคิดของเขานั้นผู้คนที่นี่ต่างก็ไม่อาจต่อกรกับมู่อี้ได้เลย
หลังจากเขาถูกจับกุมตัวอยู่ที่นี่เขาก็เป็นกังวลเรื่องของมู่อี้แต่หลังจากนั้นเมื่อเขาได้เห็นความโกรธและความไม่พอใจของหลีหู่ก็ทำให้เขารู้ว่ามู่อี้จะต้องมาที่ภูเขาแห่งนี้อย่างแน่นอน และชะตากรรมของหญิงสาวเหล่านี้เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นเลย
ซูจินหลุนทราบดีถึงแผนการของท่านปู่ของเขา และกลุ่มโจรภูเขานี้ก็เป็นส่วนสำคัญในแผนการด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะเห็นมู่อี้แสดงความโกรธออกมาและทำลายล้างกลุ่มโจรภูเขาแห่งนี้ หลีหู่จะเป็นตาอย่างไรนั้นเขาไม่เคยสนใจแต่ที่เขาสนใจก็คือพวกชิวเยวี่ยถงมากกว่า
“ท่านหัวหน้าของเราจะมีภัยไปด้วยกันหรือ? ท่านชายล้อข้าเล่นแล้ว ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของพวกเราแม้แต่กองกำลังของมณฑลหลินอานจะยกมาที่นี่ทั้งหมดก็ยากที่จะเอาชนะได้และภูเขาเสี่ยวหานยังทำให้พวกเราได้เปรียบในเรื่องชัยภูมิเป็นอย่างยิ่ง แล้วหัวหน้าของเราจะมีภัยได้อย่างไรกัน? เว้นเสียแต่ว่าทางราชสำนักจะส่งกองทัพใหญ่ขึ้นมาที่นี่ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทางราชสำนักเป็นเช่นไรมีหรือที่ท่านชายจะไม่รู้?” ชิวเหม่ยพูดด้วยความมั่นใจและความภาคภูมิใจ
แม้ว่านางจะเป็นหญิงสาวแต่นางก็มีสติปัญญาที่ชาญฉลาด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโลกทุกวันนี้มันเป็นเช่นไร แม้แต่คนโง่ก็ยังบอกได้ว่าสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ใกล้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทุกหย่อมหญ้าแล้ว
“ข้ารู้ดีว่าแม่นางคงไม่เชื่อเรื่องนี้แน่ แต่ท่านจงไปบอกหัวหน้าของท่านแล้วบอกว่าครั้งนี้ตระกูลซูของข้าได้ส่งชายคนหนึ่งมาช่วยเหลือ เขาเป็นชายที่โดดเด่นและน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง ตราบใดที่เขาต้องการแม้แต่กองทัพทหารนับพันก็ไม่อาจหยุดเขาได้” ซูจินหลุนพูดอย่างจริงจังพร้อมกับจ้องมองมาที่ชิวเหม่ย
อย่างน้อยในสายตาของเขา มู่อี้ก็เป็นแบบนั้น
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รู้อะไรเลย ในสายตาของเขานั้นมู่อี้อาจจะมีความสามารถมากมายจนสามารถตีฝ่ากองทัพทหารนับพันได้ ถ้ามู่อี้สามารถทำแบบนั้นได้จริงๆคงไม่ต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนก่อนหรอกและคงบุกเข้ามาในหมู่บ้านของกลุ่มโจรภูเขาแห่งนี้ทันทีตั้งแต่มาถึงที่นี่ ถ้าหากซูจินหลุนได้รู้ความจริงทั้งหมดคงรู้สึกผิดหวังไม่น้อยเลย
หากมู่อี้มียันต์สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในมือของเขาเขาอาจจะสามารถทำแบบที่ซูจินหลุนคิดได้ แต่น่าเสียดายที่เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ถึงแม้เขาจะสามารถเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจได้แต่ก็คงไม่สามารถเขียนยันต์สายฟ้าขึ้นมาจำนวนมหาศาลได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเขาก็ยังไม่ได้แตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆเลยและเขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวคมดาบและกระสุนปืนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนูและลูกธนู ไม่ต้องพูดถึงทหารนับพันเลยแค่นักธนูสัก 10 คนเขาก็ต้องวิ่งหนีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นในสมัยนี้ทางราชสำนักยังมีการใช้อาวุธปืนและปืนใหญ่แล้วด้วย มู่อี้คงไม่ใช่คนโง่ที่จะไปเผชิญหน้ากับอาวุธแบบนั้นอย่างแน่นอน
ชิวเหม่ยรู้สึกตกตะลึงเมื่อนางเห็นว่าซูจินหลุนพูดออกมาอย่างจริงจัง นางไม่ใช่หญิงสาวที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่วิธีการเขียนอักษร แม้ว่านางจะไม่ใช่หญิงสาวของตระกูลร่ำรวยที่สามารถเข้าไปศึกษาในสถานศึกษาได้แต่นางก็มีความรู้มากมาย นางรู้ดีว่าซูจินหลุนไม่ใช่คนโง่และเขาคงไม่ได้พูดโกหกออกมาในตอนนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นท่านหัวหน้ายังเคยบอกกับนางว่าโลกใบนี้มีบางคนที่แตกต่างจากคนอื่นๆและห้ามกลุ่มโจรภูเขาเข้าไปล่วงเกินเด็ดขาด
ดังนั้นหลังจากที่ซูจินหลุนกล่าวจบ นางก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านชาย ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ให้กับท่านหัวหน้าได้ทราบ” ชิวเหม่ยจากไปทันทีและทิ้งให้ซูจินหลุนนั่งอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวแต่ในตอนนี้เขาไม่ได้คิดเรื่องความปลอดภัยของตนเองอีกต่อไป
ภายในภูเขาเสี่ยวหานนั้นมีสวนขนาดใหญ่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่งและในตอนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดสีเหลืองกำลังเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำไปในสวนที่เงียบสงบแห่งนี้ ท่วงท่าของนางพริ้วไหวไปมาจนดูน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง นางมีใบหน้าที่งดงามแต่ความงดงามนั้นก็แฝงไว้ด้วยอันตรายเช่นกัน
และกระบี่ที่อยู่ในมือของนางก็สามารถสังหารผู้ที่เข้ามาใกล้ได้อย่างแน่นอน
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามบ่ายนั้นก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีขาวและนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางกำลังถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือข้างซ้ายและแขนขวาของนางนั้นท้าวกับแขนเก้าอี้เป็นครั้งคราว สายตาของนางจดจ่ออยู่กับหนังสือที่อยู่ในมือ ในขณะเดียวกันหญิงสาวในชุดสีเหลืองนั้นก็ยังคงร่ายรำกระบี่ต่อไป
การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนนั้นช่างเป็นสุนทรียภาพที่สอดคล้องกันราวกับบทเพลงอันไพเราะ
“ตึง!”
ประตูของสวนถูกเปิดออกและได้ทำลายสุนทรียภาพในตอนนี้ไปทันที หญิงสาวที่กำลังร่ายรำกระบี่อยู่นั้นก็กระโดดขึ้นมา จากนั้นนางก็สะบัดมือออกไปและกระบี่ยาวที่อยู่ในมือของนางก็พุ่งไปปักอยู่บนพื้นด้านหน้าประตูทันที. .
“ท่านหัวหน้าเจ้าคะ” ชิวเหม่ยเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่แล้วพูดขึ้นมาทันที หญิงสาวที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นเงยหน้าขึ้นมาและเผยให้เห็นใบหน้าที่เย็นชาของนาง
หญิงสาวคนนี้คือชิวเยวี่ยถงและหญิงสาวที่กำลังร่ายรำกระบี่อยู่ก่อนหน้านี้ย่อมเป็นชิวจู
“คุณชายแห่งตระกูลซูบอกอะไรกับเจ้าบ้าง?” ชิวเยวี่ยถงเห็นว่าชิวเหม่ยรีบเข้ามาที่นี่ก็ถามออกไปทันที
“คุณชายแห่งตระกูลซูกล่าวว่ากลุ่มโจรภูเขาของพวกเราอาจจะกำลังประสบพบเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ เพราะในครั้งนี้ตระกูลซูได้ส่งผู้ที่พวกเราไม่ควรล่วงเกินมาที่นี่” ชิวเหม่ยพูดต่อไป
“หึ ภัยพิบัติอะไรกัน? ไม่ว่าตระกูลซูจะยกย่องคนคนนั้นมากแค่ไหน ข้าก็จะแทงเขาด้วยกระบี่เดียว” ชิวจูเดินเข้ามาจากทางด้านหลังและพูดออกมาทันที
“เจ้าพูดต่อไปซิ” ชิวเยวี่ยถงพูดออกมาตรงๆโดยไม่สนใจชิวจูที่มีสีหน้าไม่พอใจในตอนนี้
“คุณชายแห่งตระกูลซูกล่าวว่าตระกูลของเขาได้ส่งชายที่แตกต่างจากทุกคนบนโลกใบนี้มาช่วยเหลือ และแม้แต่ทหารนับพันคนก็ไม่อาจหยุดชายคนนั้นได้” ชิวเหม่ยพูดออกมาอย่างจริงจัง
ชิวจูได้ยินคำพูดของน้องสาวตนเองก็อยากจะพูดอะไรออกมาด้วยเช่นกันแต่เมื่อชิวเยวี่ยถงจ้องมองมาที่นาง ก็ทำให้นางต้องปิดปากเงียบสนิทโดยไม่พูดอะไรออกมา
“คนที่ตระกูลซูส่งมางั้นหรือ” ชิวเยวี่ยถงยืนขึ้นมาจากนั้นก็ยื่นหนังสือในมือให้กับชิวจูที่ยืนอยู่ข้างๆและก้าวเดินออกจากสวนแห่งนี้ไปทันที
ชิวจูและชิวเหม่ยย่อมทราบดีถึงนิสัยของหัวหน้าตนเอง ถ้าหากว่านางมีท่าทีเช่นนี้แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
แต่ความจริงแล้วแม้แต่สิ่งที่หลีหู่ได้กระทำลงไปก่อนหน้านี้ผ่านเข้ามาในหูของชิวเยวี่ยถง นางก็เลือกที่จะไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ในครั้งนี้เมื่อได้ฟังที่ชิวเหม่ยพูดออกมานางก็มีปฏิกิริยาทันที นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้มากแค่ไหน
“ชิวเหม่ย เจ้าคิดว่าเขาจะโกหกหรือไม่?” ทันใดนั้นชิวเยวี่ยถงก็จ้องมองมาที่ชิวเหม่ยและถามขึ้นมาทันที
“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ดูจากสีหน้าของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาก็เคารพชายคนนั้นด้วยเช่นกัน” ชิวเหม่ยพูดออกมาตามตรง
“ข้าทราบดีว่าผู้อาวุโสของตระกูลซูนั้นมีความทะเยอทะยานอย่างยิ่งแต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะซ่อนเร้นผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเอาไว้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว” ชิวเยวี่ยถงพูดขึ้นมาทันที
“ท่านหัวหน้า ท่านก็เชื่อเรื่องนี้ด้วยหรือเจ้าคะ? แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับทหารนับพันคนด้วยตัวคนเดียว” ชิวจูอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาทันที และนางรู้ดีว่าถ้าหากชายคนนั้นมีพลังมากขนาดนั้นทำไมถึงต้องยอมทำตามคำสั่งของตระกูลซู?
แม้ว่าตระกูลซูจะถือว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างในมณฑลหลินอาน แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ตระกูลที่ทรงพลังอำนาจขนาดนั้นเสียหน่อย?