ตอนที่ 99 ปัญหามาแล้ว
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบสงบและไม่มีใครมารบกวนบนภูเขาแห่งนี้อีก ไม่มีข่าวคราวใดๆที่ส่งมาถึงภูเขาแห่งนี้ ทุกๆอย่างดูเหมือนว่ากูเหยาเซินจะกังวลไปเองเท่านั้น
หลังจากผ่านมาหลายวันมู่อี้ก็ค่อยๆปรับตัวได้ แม้ว่าภรรยาของกูเหยาเซินจะมาจากตระกูลที่มั่งคั่งและร่ำรวย แต่นางก็ไม่ใช่คนที่หยิ่งยโสหรือทำอะไรไม่เป็น หลังจากที่นางเข้ามาอยู่ที่นี่นางก็ช่วยมู่อี้ในเรื่องการทำอาหาร ปกติแล้วเรื่องการทำอาหารของมู่อี้นั้นถือว่าแย่มาก
แต่การมาอยู่ที่นี่ของหญิงสาวทั้งสองคนนั้นก็ทำให้มู่อี้รู้สึกไม่สะดวกใจอยู่หลายครั้ง อย่างเช่น เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาให้เห็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ แม้แต่ตอนที่เขาฝึกฝนจิตใจในตอนกลางคืนนั้นเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจจนเสียสมาธิไปในบางครั้ง
แต่หลังจากนั้นมู่อี้ก็ค่อยๆปรับตัวได้สำเร็จและเขาก็สามารถทำจิตใจของตนเองให้สงบนิ่งไม่สนใจหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ที่นี่ได้
แต่เมื่อมู่อี้คิดว่าถ้าหากไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจริงๆหญิงสาวทั้งสองคนนี้ก็ควรจะกลับไปได้แล้ว ทันใดนั้นก็มีคนที่ขึ้นมายังภูเขาแห่งนี้ทันที
เหตุผลที่เขาทราบเรื่องนี้ก็เพราะว่ากูเหยาเซินได้จัดให้มีคนคุ้มกันบริเวณตีนเขาแห่งนี้ ถ้าหากไม่ใช่คนที่มู่อี้อนุญาตหรือคนของตระกูลซูห้ามให้ผู้ใดขึ้นไปบนภูเขาแห่งนี้เป็นอันขาด
แต่อีกฝ่ายกลับบุกขึ้นมาที่นี่และท่าทีของคนเหล่านั้นก็ดูหยิ่งผยองอย่างมาก
“เจ้าคือมู่อี้ใช่หรือไม่?” ผู้มาเยือนจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูถูกและพวกเขาไม่ได้ปิดบังความรู้สึกของตนเองเลย
สีหน้าของมู่อี้ยังคงสงบนิ่งปราศจากอารมณ์ใดๆ ความจริงแล้วเขากลับรู้สึกว่าไม่อยากให้ชายที่อยู่ต่อหน้าเขาได้มีลมหายใจอีกต่อไป อีกฝ่ายเป็นชายที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี เขาสวมชุดคลุมและแต่งกายเหมือนบัณฑิตทำให้มีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ
ลมปราณบนร่างกายของเขานั้นก็มากกว่าคนธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด เขาต้องฝึกฝนมาอย่างหนักแน่นอนแต่ถ้าหากเทียบกับชิวเยวี่ยถงแล้ว แม้แต่หญิงสาวทั้งสองคนที่เป็นลูกน้องของนางก็สามารถเอาชนะชายคนนี้ได้
ดูจากท่าทีที่เขามีต่อมู่อี้ในตอนนี้ เขาคงเตรียมตัวมาดีและทราบแน่นอนว่ามู่อี้เป็นใครแต่ก็ยังกล้ามาถึงที่นี่ เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจในตนเองและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ใช่” มู่อี้ตอบกลับมาเบาๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็ส่งตัวหญิงสาวทั้งสองคนมาซะ หญิงสาวที่เข้าร่วมลัทธิของเราแล้วย่อมต้องอยู่ในตำหนักของพวกเรา” ผู้ที่มาเยือนพูดอย่างดุดันและน้ำเสียงของเขาก็ดังขึ้นมาเล็กน้อย เขาพูดออกมาอย่างชัดเจนว่ามาที่นี่เพราะต้องการตัวหญิงสาวทั้งสองคนนั้น
น้ำเสียงของเขาทำให้มู่อี้รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที ความหยิ่งผยองในน้ำเสียงของอีกฝ่ายและความมั่นใจของเขาแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้คงไม่อาจจบลงง่ายๆเสียแล้ว ผลที่ตามมาคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็เข้าใจเรื่องราวของลัทธิเทพธิดาพันบุตรเป็นอย่างดี
มู่อี้ขี้เกียจเกินกว่าจะมาพูดจาไร้สาระกับชายคนนี้และนำยันต์ปราบปีศาจของเขาออกมาทันที แสงสีขาวพุ่งไปยังศีรษะของชายคนนั้นแต่มันก็ตกลงมาที่พื้นเสียก่อนและระเบิดออกอย่างรุนแรง
“เจ้า … เจ้า …” ดวงตาของจ้าวเฟิงเบิกกว้างขึ้นในขณะที่เขาจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ร่างกายของเขากำลังสั่นอยู่ในตอนนี้
เขาคิดว่าตนเองจะตายไปแล้วซะอีก เขาไม่ได้คิดว่าตนเองจะเหนือกว่ามู่อี้ แต่เพราะว่าเขามั่นใจในตนเองและมั่นใจในลัทธิเทพธิดาพันบุตรอย่างยิ่งจึงกล้าพูดแบบนั้นออกไป ไม่คิดเลยว่ามู่อี้จะกล้าลงมือกับเขาจริงๆหรือว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวในลัทธิเทพธิดาพันบุตรเลย?
“จงกลับไปเถอะและบอกผู้พิทักษ์ลัทธิของเจ้าด้วย ถ้าหากเขาอยากจะพาคนกลับไปก็ต้องมาเชิญที่นี่ด้วยตนเอง” มู่อี้พูดออกมาอย่างเย็นชา บางทีอาจเป็นเพราะจิตสังหารที่เขาแสดงออกมาจ้าวเฟิงจึงรู้สึกตกตะลึงจนเดินถอยหลังและล้มลงไปที่พื้นทันที
มู่อี้ไม่สนใจชายคนนี้และกลับเข้าไปภายในวัดทันที
เมื่อจ้าวเฟิงเห็นว่ามู่อี้จากไปแล้ว เขาก็รีบยืนขึ้นมาทันทีและสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
หลังจากจ้าวเฟิงลงไปจากภูเขาลูกนี้ หญิงสาวทั้งสองคนก็รีบมาพบมู่อี้ทันที โดยเฉพาะภรรยาของกูเหยาเซินนางรีบมาขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้เขา ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้วแต่สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นว่านางไม่อาจหนีจากปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้. .
คนของลัทธิเทพธิดาพันบุตรได้ขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้แล้ว ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังจับตามองภูเขาแห่งนี้เอาไว้ตลอดเวลาและท่าทีที่พวกเขาแสดงออกมาก็ไม่มีความยำเกรงต่อมู่อี้แม้แต่น้อย
ภรรยาของกูเหยาเซินกล่าวขอโทษอยู่หลายครั้ง เพราะในความคิดของนางนั้นปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะนาง
มู่อี้ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้ ความจริงแล้วตั้งแต่เขารับปากกูเหยาเซิน เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่ามันต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสักวันหนึ่ง ดังนั้นการที่คนของลัทธิเทพธิดาพันบุตรขึ้นมายังภูเขาแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องประหลาดใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่หยิ่งผยองของอีกฝ่ายนั้นก็ทำให้มู่อี้รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน
มู่อี้รู้สึกได้เลยว่ามีน้อยครั้งนักที่เขาจะรู้สึกโกรธขึ้นมา แต่ลัทธิเทพธิดาพันบุตรกลับทำให้เขาต้องรู้สึกโกรธได้สำเร็จ การที่ลัทธิเทพธิดาพันบุตรยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้จะต้องมีหญิงสาวสูงศักดิ์สักกี่คนที่ถูกบีบบังคับให้เข้าร่วม?
ถ้าหากมีการตรวจสอบขึ้นมาจริงๆมู่อี้เชื่อว่าทุกๆคนคงต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเขา เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่เพราะว่าโลกนี้มีคนที่สมควรตายอยู่มากมายและมู่อี้ก็ไม่ใช่นักบุญอะไรนัก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะอดทนต่อความโกรธของตนเองในตอนนี้ได้
ในตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้ที่แข็งแกร่งมากมายต่างก็ปรากฏตัวออกมาจากเงามืดจนทำให้มู่อี้รู้สึกได้ถึงความกดดัน
มู่อี้ได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่เขาประเมินความเร็วในการเดินทางของอีกฝ่ายต่ำเกินไป
ในวันถัดมาก็มีกลุ่มคนที่ถูกสังหารบนภูเขาแห่งนี้
กลุ่มคนเหล่านี้มองแค่แว๊บแรกก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอนและเมื่อพวกเขาขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ทุกๆคนต่างก็ตรงเข้ามาสังหารมู่อี้ในทันที
ในครั้งนี้มู่อี้ไม่ได้มีความเมตตาอีกต่อไปและยันต์ปราบปีศาจของเขาก็ทำให้คนเหล่านี้ต้องล้มลงไปนอนตายที่พื้นทันที
การสังหารผู้ที่สมควรตายไปมากมาย มู่อี้ไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขากลับรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นในใจและคิดว่าคนพวกนี้มันสมควรตายอยู่แล้ว!
ในตอนนี้มู่อี้อยากรู้สึกได้ว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขาก่อนหน้านี้เริ่มคลี่คลายออกมาแล้ว
แต่เขาก็รู้ดีว่านี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แม้ว่ากลุ่มคนที่ขึ้นมาในวันนี้จะตายไปทั้งหมด แต่ศัตรูคงไม่หยุดเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
“ลัทธิเทพธิดาพันบุตร ข้าขอใช้เลือดของพวกเจ้าแทนบันไดในการก้าวเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ของข้า” มู่อี้ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่และลมเย็นก็พัดผ่านใบหน้าของเขาไปในตอนนี้ เสื้อคลุมและเส้นผมของเขาพริ้วไหวไปตามสายลมแต่แม้ว่าลมจะเย็นมากเพียงใดก็ไม่อาจบรรเทาความเร่าร้อนในหัวใจของเขาได้
ในตอนนี้มู่อี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาจึงไม่อาจเข้าสู่ระดับความยากขั้นที่ 2 ได้ เดิมทีเขาคิดว่าจะปล่อยมันไปเรื่อยๆแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไปก็ตาม แต่ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่ขาดหายไปนั้นมันคืออะไร. .
ในตอนที่กลุ่มคนเหล่านั้นบุกขึ้นมาที่นี่เขาก็เข้าใจได้ทันที สิ่งที่เขาขาดไปนั่นก็คือความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า
ลัทธิเทพธิดาพันบุตรเป็นเหมือนบันไดที่ทำให้เขาก้าวเดินต่อไปได้สำเร็จ มู่อี้เชื่อว่าเมื่อความโกรธในใจของเขาสะสมจนถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถยกระดับขึ้นไปได้สำเร็จและเขาก็แทบจะรอเวลานั้นให้เกิดขึ้นไม่ไหวแล้ว
เขาต้องการการต่อสู้ ต้องการเลือดมากกว่านี้ เพื่อปลดปล่อยปีศาจร้ายที่อยู่ในใจของเขาออกมา