ตอนที่ 108 ต้นไผ่
นับตั้งแต่มู่อี้ขึ้นมาอาศัยอยู่บนภูเขาฟุเนียวแห่งนี้เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้ว มู่อี้ย่อมรู้สึกผูกพันกับภูเขาฟุเนียวอยู่ไม่น้อยแต่ก็ต้องฝืนใจออกจากที่นี่ไป
แต่ความฝืนใจที่เกิดขึ้นนั้นก็อยู่เพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นและเขาก็เดินลงจากภูเขาไปอย่างเด็ดเดี่ยว ส่วนวัดที่อยู่บนภูเขานั้นตระกูลซูคงดูแลอย่างเหมาะสมแน่นอน ตอนที่เขากลับมาที่นี่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่มู่อี้ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งเมื่อไหร่
มู่อี้เดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับแบกกระเป๋าที่สะพายอยู่บนไหล่ของเขา ภายในนั้นเต็มไปด้วยของจำเป็นสำหรับเขามากมาย เขาสวมชุดคลุมเต๋าและเดินลงจากภูเขาไปช้าๆ
ด้านหลังของเขานั้นเป็นต้าหนิวที่กำลังแบกกระเป๋าใบใหญ่สูงประมาณครึ่งตัวของมันอยู่ ภายในกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยอาหารและเสื้อผ้าและภายในมือของต้าหนิวนั้นก็มีสิ่งของบางอย่างที่มีลักษณะยาวและถูกห่อเอาไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา ทุกๆครั้งที่ก้าวเดินออกไปต้าหนิวอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ในมือของมัน
ไม้เท้าที่เขายึดมาจากผู้พิทักษ์วิญญาณก็ใส่อยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ด้วยเช่นกันและบนไม้เท้าก็มีกระดิ่งติดเอาไว้ ทุกๆครั้งที่ต้าหนิวก้าวเดินออกไปนั้นมันจะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างก็รู้สึกสงสัย
ในตอนที่เขาลงมาถึงบริเวณตีนเขานั้นก็มีรถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่งที่จอดรออยู่แล้ว รถม้าคันนี้ซูจงซานเตรียมไว้สำหรับมู่อี้และยังขยายห้องโดยสารให้ใหญ่เป็นพิเศษเพื่อรองรับต้าหนิวพี่เดินทางไปด้วยกัน
ความจริงแล้วซูจงซานก็ทราบดีเรื่องที่มู่อี้กำลังจะเดินทางออกไปจากที่นี่และมู่อี้ก็ไม่ได้ปิดบังชายชราเลย เขาได้อธิบายเรื่องทุกอย่างให้ซูจงซานฟังตั้งแต่การสนทนากันในตอนนั้น จนกระทั่งวันนี้มันถึงเวลาที่เขาต้องออกเดินทางแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่อี้จะออกจากที่นี่ไปแล้ว แต่ชื่อเสียงที่เขาสร้างเอาไว้ก็ยังสามารถช่วยเหลือตระกูลซูไปได้อีกยาวนาน
กูเหยาเซินนั้นหลังจากจบปัญหาเรื่องของลัทธิเทพธิดาพันบุตรไปแล้วเขาคิดว่ามณฑลหลินอานน่าจะสงบสุขไปได้อีกหลายปี มู่อี้ได้ช่วยเหลือครอบครัวของเขาเอาไว้ แค่เหตุผลข้อนี้เพียงข้อเดียวก็เพียงพอที่เขาจะช่วยดูแลตระกูลซูตามที่มู่อี้ร้องขอแล้ว
หลังจากได้ยกระดับขึ้นมาความสามารถด้านต่างๆของเขาก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าเขาจะสามารถวาดยันต์ขึ้นมาได้หลายชนิดแต่เพียงแค่ยันต์ปกป้องที่อยู่อาศัยและยันต์โชคลาภก็มากพอที่จะทำให้ตระกูลซูเจริญรุ่งเรืองได้ในอนาคตแล้ว
มู่อี้ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลซู ดังนั้นเขาจึงพยายามช่วยเหลือตระกูลซูให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะไปจากที่นี่
ในตอนที่เขาลงจากภูเขามานั้นทั้งตระกูลซูไม่ว่าจะเป็น ซูจงซาน ซูจุน ซูจินหลุน และซูหยิงหยิง ต่างก็มารอพบเขาอยู่ที่นี่ ในตอนที่ลัทธิเทพธิดาพันบุตรต้องล่าถอยออกไปจากภูเขาฟุเนียวนั้นตัวตนของมู่อี้ในตระกูลซูก็ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในตอนนี้มู่อี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไปแล้วเพราะเขารู้ดีว่าตนเองต้องเดินทางออกจากภูเขาฟุเนียวแห่งนี้แล้ว
ในวันนี้เขาต้องอธิบายให้ตระกูลซูเข้าใจมากขึ้น
“ท่านนักพรตเต๋าได้โปรดเถอะ!” รถม้าหยุดลงและเป็นซูจงซานที่เดินตรงเข้ามาหารถม้าพร้อมกับเปิดม่านขึ้นมา เขาพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“โปรดอย่าทำเช่นนี้เลยขอรับ” มู่อี้ปฏิเสธอีกครั้งจากนั้นก็เดินลงมาจากรถมา
เมื่อต้าหนิวเห็นว่ามู่อี้เดินลงมาจากรถม้า มันก็กระโดดลงมาจากรถม้าด้วยเช่นกัน
“ตึง!”
เมื่อต้าหนิวกระโดดลงมาที่พื้น เศษฝุ่นก็กระจายไปทั่วทันทีและแม้แต่ม้าที่อยู่ด้านหน้ารถม้าก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ในตระกูลซูนั้นมีเพียงซูจินหลุนเท่านั้นที่เคยเห็นต้าหนิวมาก่อนแต่พวกเขาก็พอได้ยินมาบ้างว่ามียักษ์อาศัยอยู่บนภูเขาแห่งนี้ ในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เห็นยักษ์ตัวใหญ่กำลังยืนแบกกระเป๋าอยู่บนหลังของมัน
แต่ต้าหนิวก็ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นๆจะคิดยังไงกับมัน หลังจากมันกระโดดออกมาจากรถม้าแล้ว สิ่งแรกที่มันทำก็คือมองไปรอบๆตัวและยิ้มขึ้นมา
มู่อี้เดินเข้าไปในบ้านของตระกูลซูพร้อมกับซูจงซานและคนที่เหลือก็เดินตามหลังเขามา แต่ถึงอย่างนั้นทุกๆคนก็รักษาระยะห่างกับเขาอยู่หน่อย นั่นก็เพราะว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กำลังตามหลังมู่อี้มาติดๆและไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้เขาเลยในตอนนี้
ส่วนต้าหนิวนั้น ทั้งตระกูลซูต่างก็รู้สึกหวาดกลัวมันอยู่เล็กน้อยและพยายามอยู่ห่างจากมันให้มากที่สุด
หลังจากมู่อี้เข้ามาในบ้าน ก็เป็นหญิงชราของตระกูลซูที่มาต้อนรับเขา แต่ความจริงแล้วหญิงชราคนนี้ก็มีจุดประสงค์อื่นด้วยเช่นกัน นางอยากเห็นหน้าเนี่ยนหนิวเอ้อร์
ชายชราเข้าใจความรู้สึกของหญิงชราเป็นอย่างดีดังนั้นเขาจึงไม่ได้ห้ามนาง แต่มู่อี้ก็บอกกับหญิงชราว่าจะให้นางได้พบเจอกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ในคืนนี้
ในระหว่างวันนั้นมู่อี้เดินไปรอบๆบ้านตระกูลซูอยู่หลายครั้งและจากนั้นเขาก็มอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับซูจงซาน เมื่อชายชราได้เห็นก็รีบเก็บรักษาเป็นอย่างดีและจากนั้นเขาก็ขอบคุณมู่อี้อยู่หลายครั้ง
ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็ได้มอบยันต์อีกประมาณ 10 แผ่นให้กับซูจงซาน ส่วนวิธีการใช้งานนั้นเขาเขียนเอาไว้ในกระดาษที่ให้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ท้ายที่สุดนั้นมู่อี้ก็ได้ทิ้งประโยคหนึ่งให้กับซูจงซาน “เมื่อน้ำเต็มแก้วแล้วมันก็จะล้นออกมา หากจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้วความเสื่อมโทรมก็จะเริ่มต้นขึ้น”
ในตอนบ่ายภายในห้องของมู่อี้นั้น เขาถือสิ่งของแท่งยาวที่ต้าหนิวเป็นคนแบกมาก่อนหน้านี้และเมื่อเปิดห่อผ้าออกมาภายในนั้นก็มีต้นไผ่สีเขียวปรากฏออกมาให้เห็น
ต้นไผ่ต้นนี้คือต้นไผ่ที่เป็นเสมือนเพื่อนของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ ในตอนที่มู่อี้เห็นมันครั้งแรกเขาจำได้ว่ามันมีอยู่ 13 ปล้องต่อแต่ในตอนนี้มันได้เติบโตขึ้นจนมี 14 ปล้องแล้ว ความจริงแล้วไผ่ต้นนี้ก็มีชื่อเรียกด้วยเช่นกันเนี่ยนหนิวเอ้อร์เรียกมันว่าเสี่ยวจู
ความจริงแล้วในตอนที่มู่อี้ตัดสินใจว่าจะออกเดินทาง เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็นึกถึงปัญหาเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะนางไม่เคยอยู่ห่างจากต้นไผ่ของนางเป็นเวลานานเลยหรืออาจเป็นเพราะว่านางเติบโตขึ้นมาพร้อมกับต้นไผ่นี้ ต้นไผ่ต้นนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากนางได้
ดังนั้นถ้าหากมู่อี้ต้องการจะเดินทางไปพร้อมกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์เขาก็ต้องพาต้นไผ่ไปด้วยเหมือนกันแต่ปัญหาก็คือต้นไผ่อาจจะเหี่ยวเฉาและตายขึ้นมาได้ถ้าหากรากของมันไม่ได้อยู่ในดิน
แต่ถ้าหากจะทิ้งเนี่ยนหนิวเอ้อร์เอาไว้ที่นี่ นางก็คงไม่ยอมแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้วเนี่ยนหนิวเอ้อร์จึงเสนอวิธีการออกมา ซึ่งนั่นก็คือให้มู่อี้ลองใช้ต้นไผ่ต้นนี้สร้างเป็นอาวุธวิญญาณดู
แม้ว่าต้นไผ่ต้นนี้จะเกี่ยวข้องกับเนี่ยนหนิวเอ้อร์ตั้งแต่นางเกิดมา แต่มันก็มีจิตวิญญาณในตัวเองด้วยเช่นกัน ในเมื่อมันมีจิตวิญญาณต้นไผ่ต้นนี้ก็สามารถสร้างขึ้นเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่งได้ มันจะกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริงและทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธวิญญาณปกติเสียอีก
เมื่อต้นไผ่ได้กลายเป็นอาวุธวิญญาณของมู่อี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามันจะเหี่ยวเฉาตายอีกต่อไปและปัญหาของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ถือว่าจบลงได้ด้วยดี
แต่ถ้าหากว่าต้นไผ่ต้นนี้กลายมาเป็นอาวุธวิญญาณของมู่อี้นั่นหมายความว่าจิตวิญญาณของเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะผูกพันกับอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ด้วยเช่นกันและชีวิตของนางก็ขึ้นอยู่กับมู่อี้แล้ว
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ย่อมทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีแต่นางก็เชื่อมั่นในตัวมู่อี้โดยไม่ลังเลและนางก็ยินดีที่มันจะเป็นแบบนั้นเพราะนางไม่มีทางแยกห่างจากมู่อี้แน่นอน
มู่อี้ใช้เวลาไปแล้ว 7 วันในการทำให้ต้นไผ่กลายเป็นอาวุธวิญญาณชิ้นหนึ่ง ทุกๆคืนเขาจะกรีดนิ้วของตนเองและหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่ ต้นไผ่จะดูดซับเลือดของเขาเข้าไปและจากนั้นมู่อี้ก็จะใช้พลังแห่งจิตใจของเขาค่อยๆเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของต้นไผ่ต้นนี้และค่อยๆควบคุมมัน
วิธีการนี้จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 49 วันและตลอด 49 วันนั้นห้ามหยุดแม้แต่วันเดียว
การส่งพลังแห่งจิตใจเข้าไปนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่สิ่งสำคัญก็คือต้องหยดเลือดลงไปทุกๆวัน ภาระหน้าที่นี้ถือว่าหนักหนาอย่างยิ่งโชคดีที่มู่อี้ยกระดับขึ้นมาแล้วและเสมือนว่าเขาได้เกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นแล้วการสร้างอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ของเขาคงยากที่จะสำเร็จ
แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงใดมู่อี้ก็พร้อมที่จะทำ
ในตอนที่มู่อี้กำลังจ้องมองไปที่ต้นไผ่นั้น เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ลอยเข้ามาหาเขาจากทางหน้าต่างที่เปิดอยู่และต้าหนิวที่นั่งอยู่ตรงมุมนั้นก็รีบยืนขึ้นมาทันที