ตอนที่ 109 หยดเลือดและพลังแห่งจิตใจ
เนี่ยนหนิวเอ้อร์ค่อยๆลอยเข้ามาอยู่เคียงข้างมู่อี้ช้าๆและร่างกายเล็กๆของนางก็ปีนป่ายขึ้นไปบนร่างกายของมู่อี้โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ต้าหนิวก็เดินเข้ามาหาด้วยเช่นกัน มันต้องการเข้ามาใกล้เนี่ยนหนิวเอ้อร์และจ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยสายตาที่ดูกังวลจากนั้นมันก็พยายามนั่งลงใกล้ๆ
“ต้าหนิว กลับไปที่เตียงของเจ้าซะ” เนี่ยนหนิวเอ้อร์จ้องมองมาที่ต้าหนิวพร้อมกับชี้นิ้วของนางออกไปทันที แม้ว่าต้าหนิวจะดูไม่ค่อยพอใจนักแต่มันก็ทำตามคำสั่งของนางอย่างเชื่อฟังและกลับไปที่เตียงนอนของตนเอง แต่สายตาของมันก็ยังคงจ้องมองมาที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์อยู่ตลอดเวลา เมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อร์หันไปมองหน้ามัน มันก็ปิดตาหนี เมื่อเนี่ยนหนิวเอ้อหันกลับมา มันก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดูน่าตลกจริงๆ
“มีอะไรหรอ? ทำไมเจ้าถึงดูไม่ค่อยพอใจ?” มู่อี้ถามด้วยความกังวล แต่เขาก็พอเดาได้ว่าที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านางได้พบหน้ากับท่านยายแท้ๆของตนเอง ผู้คนในความทรงจำของนางนั้นมีอยู่ไม่มากนักแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไร้ความรู้สึกใดๆต่อคนเหล่านั้น
“อื้ม” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พยักหน้าและเข้ามาคลอเคลียมู่อี้อยู่ใกล้ๆ นางไม่เคยปิดบังอารมณ์ของตนเองเลยไม่ว่าจะโศกเศร้าหรือมีความสุขนางก็จะแสดงออกมาทางสีหน้าทุกครั้ง
“ท่านหญิงชราคือยายของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะจดจำนางได้หรือไม่ก็ตามแต่เจ้าก็ถือเป็นลูกหลานคนหนึ่งของนาง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย เจ้าไม่ต้องกังวลใจจนเกินไปหรอก” ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้จะปลอบโยนนางเช่นไรเหมือนกันเพราะท่านปู่ไม่เคยปลอบโยนเขาเลยเมื่อก่อนนั้นไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาจะเก็บเงียบในใจของตนเองเท่านั้นและไม่ค่อยเปิดเผยอารมณ์ทางสีหน้า
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์ที่มาอยู่ด้วยกัน เขาคงไม่ได้เรียนรู้วิธีการปฏิบัติตัวต่อคนอื่นๆและการอยู่ร่วมกัน
“ข้าทราบดี” เนี่ยนหนิวเอ้อร์ตอบกลับมา ความจริงแล้วไม่ใช่ว่านางจำไม่ได้เหมือนที่มู่อี้คิดเอาไว้แต่เมื่อนางได้อยู่กับมู่อี้นางก็ไม่เคยสนใจคนอื่นๆอีกเลย
การพบหน้ากันในวันนี้ท่านยายพูดคุยกับนางและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆมากมายตั้งแต่สมัยมารดาของนางยังเป็นเด็ก
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตพี่ชายคนนี้จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” มู่อี้ตอบกลับมา
“อื้ม!” เนี่ยนหนิวเอ้อร์พยักหน้าและใบหน้าของนางก็เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาทันที
หลังจากหายโศกเศร้าแล้วเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ไม่ได้เข้ามารบกวนมู่อี้อีกต่อไปและกลับเข้าไปในต้นไผ่ของตนเองเพราะว่านางย่อมไม่อยากอยู่ห่างจากมู่อี้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าต้นไผ่แห่งชีวิตส่องแสงจางๆออกมา มู่อี้ก็กรีดนิ้วของตนเองและหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่โดยไม่ลังเลทันที
เมื่อหยดเลือดสัมผัสกับลำต้นของต้นไผ่มันก็ซึมเข้าไปทันที เขามองเห็นได้ว่าลำต้นสีเขียวของต้นไผ่นั้นเริ่มมีสีแดงจางๆให้เห็นและสีแดงที่ปรากฏขึ้นมานั้นก็เหมือนเส้นเลือดที่แทรกซึมอยู่ภายในลำต้นของต้นไผ่
จากนั้นมู่อี้ก็ส่งพลังแห่งจิตใจของเขาเข้าไปในต้นไผ่ทันที แสงที่ต้นไผ่ส่งออกมานั้นสว่างมากขึ้นเรื่อยๆและแสงที่ส่องออกมาก็ทำให้ทั่วทั้งห้องนี้กลายเป็นสีเขียวขึ้นมาทันที
หลังจากมู่อี้ค่อยๆหยดเลือดของเขาลงไปบนต้นไผ่ ดวงตาของต้าหนิวที่แกล้งปิดอยู่ก่อนหน้านี้ก็เปิดขึ้นมาทันทีและจากนั้นมันก็ลุกขึ้นมาจากเตียงนอนพร้อมกับเดินเข้ามาหามู่อี้ช้าๆ
เมื่อได้เห็นท่าทางการเดินและสีหน้าที่ดูจริงจังของต้าหนิวในตอนนี้เขาก็รู้สึกตลกขึ้นมาเล็กน้อยแต่โชคดีที่ภายในห้องนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
หลังจากที่มู่อี้ทำการหยดเลือดลงไปเสร็จสิ้นแล้วนั้นเขาก็ส่งพลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไปในต้นไผ่ทันที ในตอนนี้เขารับรู้ได้ว่าต้าหนิวกำลังเดินเข้ามาใกล้แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนักเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและทุกๆครั้งที่เขาส่งพลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไปในต้นไผ่ เมื่อลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาจะได้เห็นนั่นก็คือต้าหนิว
พลังแห่งจิตใจของมู่อี้นั้นได้เข้าปกคลุมต้นไผ่เอาไว้ในตอนนี้และเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในต้นไผ่ได้อย่างชัดเจน ภายในนั้นมีพื้นที่โล่งที่คล้ายกับพื้นที่ภายในธงราชันย์แห่งวิญญาณและมีเพียงดวงวิญญาณเท่านั้นที่จะเข้าไปอาศัยอยู่ภายในนั้นได้
ในตอนนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์กำลังนอนคุดคู้และหลับอยู่ภายในนั้น
มู่อี้ส่งพลังแห่งจิตใจของเขาเข้าไปในต้นไผ่ตลอดทั้งคืนและหลับไป
เวลากลางคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่มู่อี้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดมานั้นเขาก็เห็นต้าหนิวที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆ ศีรษะของมันหันมาทางเขาและดูเหมือนว่ามันจะหลับลึกมากจนบนเตียงที่มันนอนอยู่ในตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำลายของมัน
มู่อี้ไม่ได้รบกวนมัน เขาวางต้นไผ่แห่งชีวิตในมือของตนเองเอาไว้บนเตียงจากนั้นก็เปิดประตูห้องและเดินออกไปทันที
ในตอนนี้ใบหน้าของมู่อี้ซีดลงเล็กน้อย นอกจากต้องเสียเลือดแล้วเขายังต้องเสียพลังแห่งจิตใจไปตลอดทั้งคืนด้วย แต่ไม่ว่ายังไงพลังแห่งจิตใจของเขาจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
แต่การสูญเสียเลือดนั้นคือสิ่งที่ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาในช่วงเวลาสั้นๆได้ มู่อี้เพียงฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดในตอนเช้าและทานยาเพิ่มเติมเท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทดแทนการเสียเลือดไปได้แล้ว
มู่อี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดของเขาอยู่ที่ลานหน้าบ้านหลังนี้ ท่วงท่าที่เขาแสดงออกมานั้นไม่ได้รวดเร็วและทรงพลังแต่มันกลับเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและดูไร้ซึ่งพลังใดๆมีเพียงมู่อี้ที่รู้สึกได้ว่าเคล็ดวิชาหมัดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายของเขามากเพียงใด ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าพลังอันบริสุทธิ์จากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ
จากนั้นมันก็เข้าไปทดแทนเลือดที่เขาสูญเสียไปก่อนหน้านี้
สีหน้าของมู่อี้ดูดีขึ้นมาทันทีเมื่อเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดในตอนเช้าเสร็จสิ้นแต่ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายของเขาจะกลับไปอยู่ในสภาพปกติเลย อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะสามารถทำให้ต้นไผ่กลายเป็นอาวุธวิญญาณได้สำเร็จ
เมื่อวานนี้มู่อี้ได้อธิบายเรื่องทุกๆอย่างให้กับตระกูลซูได้ฟังไปหมดแล้ว ในวันนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องบอกลาซูจงซานแล้ว
ซูจงซานก็ทราบดีเรื่องการตัดสินใจของมู่อี้ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พยายามเหนี่ยวรั้งอีกต่อไปแต่ภายในกระเป๋าที่ต้าหนิวกำลังแบกอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย ความปรารถนาดีของซูจงซานนั้นมู่อี้ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่ที่ภูเขาฟุเนียวย่อมไม่ต้องการสิ่งของอะไรมากมายแต่เมื่อออกเดินทางไปยังที่ต่างๆนั้นเขาย่อมต้องการสิ่งของที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
หลังจากมู่อี้บอกลาซูจงซานและคนอื่นๆในตระกูลแล้ว เขาก็เดินขึ้นไปบนรถม้าขนาดใหญ่และรถม้าก็เดินทางออกไปทันที
ตั้งแต่ตัดสินใจรับต้าหนิวเข้ามาอยู่ด้วย มู่อี้ก็เลิกคิดที่จะเดินเท้าไปที่ชวี่ยี่จวงทันทีเพราะแค่ระยะทางก็ถือว่าไกลมากอยู่แล้วการที่เขาเดินเท้าไปพร้อมกับต้าหนิวคงต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้มู่อี้เสียเวลาเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเดินเท้าไปยังที่ต่างๆพร้อมกับท่านปู่นั้นเวลาย่อมไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ในครั้งนี้ยิ่งรวดเร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ในยุคสมัยนี้ยิ่งเดินทางได้เร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลดปัญหาลงไปได้มากเท่านั้น การจ้างคนคุ้มกันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่อี้เคยได้ยินเรื่องราวของกลุ่มคนคุ้มกันฝีมือดีที่สามารถจ้างงานได้ในชิงเจียง ดังนั้นเป้าหมายของเขาในตอนนี้คือชิงเจียง
ชวี่ยี่จวงนั้นอยู่ใกล้กับเมืองลั่วหยาง ในตอนที่มู่อี้เดินทางไปยังที่ต่างๆพร้อมกับท่านปู่เขาเดินทางผ่านเมืองลั่วหยางไปและไม่ได้หยุดพักที่นั่น ดังนั้นเมืองลั่วหยางจึงเป็นสถานที่ที่มู่อี้ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย
จากมณฑลหลินอานไปยังเมืองลั่วหยางก็ถือว่ามีระยะทางค่อนข้างไกล โชคดีที่มันอยู่ในเส้นทางเดียวกับเมืองฉางโจวทำให้มู่อี้สามารถประหยัดเวลาไปได้มาก
หลังจากมู่อี้ขึ้นรถม้าไปแล้ว ผู้คนของตระกูลซูก็ยังยืนอยู่ที่หน้าบ้านของตนเอง
“ท่านปู่ ท่านบอกว่าท่านนักพรตเต๋าจะกลับมาที่นี่อีกงั้นหรอ?” ซูจินหลุนอดไม่ได้ที่จะถามท่านปู่ของเขาทันที
“เขาไม่ใช่ปลาทองที่จะอาศัยอยู่ในสระน้ำเพียงอย่างเดียว แต่คือมังกรที่พร้อมจะออกเดินทางไปทุกแห่งหน” ซูจงซานจ้องมองรถม้าที่กำลังเดินทางออกไปและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“ถ้าหากว่าเขาเป็นมังกรจริงๆ แล้วเขาจะยอมกลับมาอยู่ในสระน้ำของเราหรอขอรับ?”