ตอนที่ 112 รถม้าลึกลับ
ในเช้าตรู่ของวันถัดมามู่อี้และต้าหนิวก็มาถึงหน้าประตูของสำนักคุ้มกันแห่งนี้ เมื่อมู่อี้มาถึงที่นี่โม่หรูเยียนก็ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้วและดูเหมือนว่านางจะรออยู่ที่นี่มานานแล้ว
นอกจากนี้ยังมีรถม้าอีกประมาณ 20 ถึง 30 คันที่เต็มไปด้วยสินค้ามากมายอยู่ภายในนั้นและต่างก็จอดเรียงรายอยู่ที่หน้าประตู รถม้าทุกๆคันนั้นมีธงของสำนักคุ้มกันโม่หยวนระดับเอาไว้และจะมีคนคุ้มกันคนหนึ่งคนประจำอยู่ พวกเขาต่างก็แข็งแรงกำยำและสะพายดาบเอาไว้บนหลังของตนเอง
นอกจากนี้ยังมีรถม้าอีก 3 คันที่ไม่ได้บรรทุกสินค้าอยู่ภายในนั้น
“เข้าไปในรถม้าเถอะ”
นอกจากการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำแล้วโม่หรูเยียนในวันนี้ยังมีชุดคลุมสีดำด้วยเช่นกัน พูดได้เลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าของนางต่างก็มีเพียงเสื้อผ้าสีดำเท่านั้นแต่มันก็ทำให้ผิวของนางดูขาวสว่างและงดงามมากยิ่งขึ้น
เมื่อเห็นว่ามู่อี้มาถึงแล้วนางก็ชี้ไปที่รถม้าที่อยู่ตรงกลางทันที
มู่อี้ไม่ลังเลที่จะขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับต้าหนิวอย่างรวดเร็ว ส่วนรถม้าของตระกูลซูนั้นเขาส่งมันกลับไปที่ตระกูลซู แม้ว่ารถม้าคันนั้นจะมีขนาดใหญ่และมีการประดับตกแต่งอย่างหรูหราแต่มันก็ไม่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไกล คนขับรถม้าของตระกูลซูก็เป็นชายที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วด้วยเช่นกัน การเดินทางไกลอย่างยาวนานของมู่อี้ในครั้งนี้ย่อมไม่เหมาะสมที่คนขับรถม้าผู้นี้จะตามไปด้วย
หลังจากขึ้นไปบนรถม้าที่โม่หรูเยียนได้เตรียมเอาไว้ให้ มู่อี้รู้สึกได้ว่าเงิน 1,000 ตำลึงทองที่เขาจ่ายไปนั้นถือว่าไม่ได้เสียเปล่า แม้ว่าภายนอกของรถม้าจะดูธรรมดาแต่ข้างในนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พื้นห้องโดยสารของรถม้าคันนี้ปูเอาไว้ด้วยพรมหนาและมันยังรู้สึกสบายเท้าอย่างยิ่งเมื่อก้าวเดินขึ้นไปบนนั้น ดูจากข้างนอกอาจจะเห็นว่ามันไม่ค่อยใหญ่โตเท่าไหร่แต่พื้นที่ภายในนั้นก็ถือว่ากว้างขวางกว่าที่คิดเอาไว้ แม้แต่ต้าหนิวก็ยังสามารถนั่งได้สบายถ้าหากมันไม่ยืนก็ไม่มีปัญหาอะไร
นอกจากพรมที่ปูอยู่บนพื้นแล้วภายในห้องโดยสารของรถม้าคันนี้ยังมีม้านั่งขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าหากวางเบาะนอนลงไปมันก็สามารถกลายเป็นเตียงนอนได้เลยและมู่อี้ยังเห็นว่ามีเบาะนอนที่ซ้อนกันหลายชั้นอยู่บริเวณมุมของห้องโดยสาร
ใกล้ๆกับหน้าต่างของรถม้าคันนี้มีโต๊ะเล็กๆตั้งอยู่และมีกาน้ำชาวางอยู่บนนั้น
หน้าต่างทั้งสองฝั่งของรถม้ามีกระจกใสติดเอาไว้ อย่างน้อยมู่อี้ก็รู้ว่าแก้วใสๆที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้เรียกว่ากระจก มันมีราคาแพงมาก ยังมีผ้าม่านที่สามารถดึงขึ้นลงได้อีกชั้นหนึ่ง
แม้ว่าจะปิดผ้าม่านลงมาแล้วพื้นที่ห้องโดยสารของรถม้าคันนี้ก็ไม่ได้มืดและรู้สึกคับแคบจนเกินไป เพราะว่าเหนือศีรษะนั้นยังมีช่องที่แสงสามารถลอดผ่านเข้ามาได้แต่อากาศไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ อย่างน้อยที่สุดคนที่ออกแบบรถม้าคันนี้ขึ้นมาก็ต้องเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อย่างแน่นอน แค่รถม้าคันนี้เพียงคันเดียวก็ถือว่ามีมูลค่ามหาศาลแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปมู่อี้ก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันเพราะแม้ว่ามันจะเคลื่อนตัวผ่านถนนที่ไม่ได้เรียบสนิทดีนัก แต่การนั่งอยู่บนรถม้าคันนี้ก็ไม่ได้รู้สึกถึงแรงกระแทกเลย ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ได้เลยว่ารถม้าคันนี้ต้องดีกว่ารถม้าของตระกูลซูอย่างแน่นอน
หลังจากต้าหนิวเข้ามาบนรถมาแล้วมันก็วางกระเป๋าใบใหญ่ของมันเอาไว้ที่มุมห้องโดยสารและนั่งเอนหลังพิงกระเป๋า ต้นไผ่ที่มันดูแลเป็นอย่างดีมาโดยตลอดวางอยู่ตรงกลางรถม้าคันนี้ สายตาของมันจ้องมองมาที่เท้าของมู่อี้ที่กำลังยืดออกมาใกล้ต้นไผ่
จนกระทั่งเห็นว่ามู่อี้ดึงขาของตนเองกลับไปต้าหนิวถึงเลิกมอง เห็นได้ชัดว่ามันก็พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง
นอกจากนี้เมื่อมู่อี้เข้ามาในรถม้าแล้ว โม่หรูเยียนก็ไปยืนอยู่ที่ตำแหน่งหน้าสุดของรถม้าทุกคันและนางขี่อยู่บนม้าตัวหนึ่ง แม้แต่ม้าที่นางขี่อยู่ในตอนนี้ก็เป็นสีดำด้วยเช่นกันร่างกายของมันไม่มีสีอื่นปะปนอยู่เลย แค่แรกเห็นก็บอกได้ทันทีว่านี่คือม้าที่ดี
“สำนักคุ้มกันโม่หยวนออกเดินทางได้!” โม่หรูเยียนโบกมือขวาของนางและตะโกนออกมาทันที!
“ย่าห์!”
เหล่าคนคุ้มกันที่อยู่ด้านหลังก็ร้องตะโกนออกมาทันที จากนั้นขบวนรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆและการเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
โม่หรูเยียนขี่ม้านำออกไปอย่างรวดเร็วและจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงล้อของรถม้าและเสียงกีบเท้าของม้ามากมาย ทุกๆครั้งที่ธงที่ประดับอยู่บนรถม้าสะบัดไปตามแรงลมนั้นมันก็ดูงดงามอย่างยิ่ง
ทุกๆคนย่อมทราบดีว่าเมื่อโม่หรูเยียนมาเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ด้วยมันหมายความว่ายังไง
ขบวนรถม้าที่กำลังเดินทางออกไปในตอนนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายในชิงเจียง แม้ว่าการจะเป็นผู้คุ้มกันได้นั้นจะต้องออกไปเผชิญกับอันตรายต่างๆภายในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ แต่อย่างน้อยก็มีหลายๆคนยินดีที่จะทำหน้าที่นี้เพื่อทำให้พวกเขาจะไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักคุ้มกันโม่หยวนที่จ่ายเงินให้กับผู้คุ้มกันทุกๆคนอย่างเท่าเทียม การทำงานให้กับสำนักคุ้มกันโม่หยวนไม่กี่ครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้ครอบครัวของพวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปได้ครึ่งปีแล้ว จึงทำให้มีคนมากมายที่อยากเข้ามาทำหน้าที่นี้
โม่หรูเยียนเดินทางออกจากชิงเจียงด้วยสีหน้าที่ดูเฉยเมยปราศจากอารมณ์ใดๆ นางย่อมรู้สึกคุ้นเคยกับสายตาของผู้คนที่จ้องมองมาอยู่แล้ว ตั้งแต่นางยังเด็กทุกๆครั้งที่พ่อของนางออกเดินทางไปนางก็จะรอคอยช่วงเวลาที่จะได้เห็นสายตาของผู้คนเช่นนี้ บางทีตอนนั้นเองที่ทำให้นางเริ่มรู้สึกสนใจในอาชีพนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง
มู่อี้นั่งอยู่ภายในรถม้าอย่างสะดวกสบายและมองออกไปนอกหน้าต่าง ในตอนแรกเขายังรู้สึกสดชื่นอยู่บ้างแต่หลังจากเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินทางออกมาจากเมืองแล้วทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งถนนที่เขาได้เห็นมีเพียงพื้นที่อันรกร้างว่างเปล่าเท่านั้น มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
เขาดึงผ้าม่านขึ้นเพื่อไม่ให้รถม้ามืดจนเกินไป มู่อี้มองไปที่ต้าหนิวที่ยังคงนั่งอยู่ตรงมุมห้องโดยสารในตอนนี้และสายตาของเขาปิดลงมาราวกับว่าเขากำลังหลับไป จิตใจของเขายังคงสงบนิ่งและรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้น
มู่อี้นึกถึงสิ่งที่เขาได้อ่านจากบันทึกของเจี่ยเหริน โลกใบนี้กว้างใหญ่อย่างยิ่งและร่างกายของเขาก็เป็นเหมือนโลกใบเล็กๆใบหนึ่งด้วยเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือร่างกายของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้
มู่อี้ได้ยกระดับเข้าสู่ความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว แม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่ของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจนั้นช่างกว้างใหญ่อย่างยิ่งโดยเฉพาะจักระทั้ง 7 ที่เปิดเผยถึงความลับในร่างกายของมนุษย์ เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะทำลายประตูของจุดจักระและยกระดับขึ้นไป
แม้ว่าจะยกระดับขึ้นมาได้แต่เขาก็รู้สึกว่ามันยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเสียเลือดในร่างกายเป็นจำนวนมากแต่เขาก็รู้สึกด้วยเช่นกันว่ามันไม่เหมาะสมที่จะรีบยกระดับขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด
แม้ว่าพลังของมู่อี้จะถือว่ามากพอแล้วในตอนนี้ แต่ถ้าหากว่าเขารีบทำลายประตูในตอนนี้พลังก็จะเพิ่มขึ้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แทนที่ทำเหมือนกับเจี่ยเหรินเขาสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างถ่องแท้
หลังจากออกเดินทางมาตั้งแต่เช้าตรู่และพักระหว่างทาง 2 ครั้ง ในตอนบ่ายพวกเขาก็เดินทางออกมาจากชิงเจียงได้เป็นระยะทางกว่า 100 ลี้แล้ว แต่นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นหลังจากวันนี้ความเร็วในการเดินทางก็จะลดลงไปอีก
ในยุคสมัยนี้สำนักคุ้มกันแต่ละสำนักนั้นต่างก็มีคำพูดที่ว่าต้องเดินทางให้ได้อย่างน้อย 120 ลี้ในแต่ละวันและผู้คุ้มกันก็จะต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใด นั่นแสดงให้เห็นว่าความเร็วในตอนนี้ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เพราะรถม้าทุกๆคันต่างก็บรรทุกสินค้ามาจนเต็ม ม้าแต่ละตัวที่ต้องลากรถม้านั้นถือว่าต้องออกแรงไม่น้อยเลย จึงต้องมีการให้พวกมันพักผ่อนและใช้เวลานี้ตรวจสอบล้อรถม้าให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
ระหว่างการเดินทางมู่อี้ได้กลิ่นสมุนไพรที่รุนแรงและจากที่คนคุ้มกันพูดคุยกันดูเหมือนว่าสินค้าที่พวกเขากำลังขนส่งในครั้งนี้เหมือนจะเป็นสมุนไพรจำนวนมหาศาล แต่ถ้าหากมีแค่สมุนไพรเพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าจะหนักขนาดนี้
แม้ว่ามู่อี้จะรู้สึกสงสัยแต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา ตลอดการเดินทางเขาไม่ได้ออกมาจากรถม้าของตนเองเลย
ก่อนจะเดินทางออกมานั้นโม่หรูเยียนได้เตรียมรถม้าสำหรับอยู่อาศัยเอาไว้ 3 คัน คันแรกเป็นของเขากับต้าหนิวและอีกคันหนึ่งดูเหมือนจะเป็นของพ่อค้าสมุนไพรรายใหญ่ที่เป็นเจ้าของสมุนไพรที่กำลังขนส่งออกไปในครั้งนี้ เขาเป็นชายที่มีอายุประมาณ 40 ปีและตลอดการเดินทางที่ผ่านมาเขาออกมาจากรถมาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แต่ในตอนที่รถม้าของเขาและรถม้าของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้กันนั้น มู่อี้ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีพ่อบ้านวัยกลางคนคนหนึ่งที่อยู่ในรถม้าคันนั้นและยังมีอีก 1 คนในรถม้าคันนั้นที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
ส่วนรถม้าคันสุดท้ายนั้นมันดูลึกลับอยู่นิดหน่อย ภายนอกรถม้าถูกปกคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่มู่อี้ก็ไม่อาจสัมผัสได้ว่าใครที่อยู่ภายในรถม้าคันนั้น แต่รอบๆรถม้าคันนั้นก็มีชายที่ขี่ม้าตามประกบอยู่ถึง 4 คน ดูจากลมหายใจแล้วพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้คุ้มกันคนอื่นๆมาก. .
แค่ช่วงเวลาสั้นๆของการเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้มู่อี้ก็สัมผัสได้ถึงเรื่องที่เขาสงสัยมากมาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมู่อี้เลยและเขาเพียงแค่ต้องการไปถึงเมืองลั่วหยางอย่างปลอดภัยที่สุดและรวดเร็วที่สุดเท่านั้น
เมื่อถึงช่วงเวลาพักทานอาหารในตอนบ่าย ความหิวโหยของต้าหนิวก็ทำให้ผู้คุ้มกันมากมายต้องหันมามองมันและมู่อี้ก็คิดอย่างจริงจังแล้วว่าต้าหนิวจะต้องได้กินอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นมันก็คงไม่คุ้มกับเงิน 1,000 ตำลึงทองที่เขาต้องจ่ายออกไปหรอกใช่ไหม? ?
และในตอนนี้มู่อี้เพียงแค่เปิดเผยบุคลิกบางอย่างที่สอดคล้องกับช่วงอายุของเขาออกมาเท่านั้น