ตอนที่ 115 ความตายอันลึกลับ
เงาดำที่ปรากฏตัวออกมานั้นย่อมเป็นโม่หรูเยียน ความจริงแล้วนางออกไปตรวจสอบเรื่องนี้เร็วกว่าคนอื่นๆแต่เพียงแค่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเท่านั้น เมื่อนางแน่ใจว่าไม่ได้มีศัตรูที่บุกเข้ามาที่นี่จริงๆนางจึงปรากฏตัวออกมา
ในตอนนี้ทุกๆคนต่างก็ยืนล้อมวงกันเป็นวงกลมและถือคบเพลิงเอาไว้ในมือ พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างที่กำลังนอนอยู่บนพื้นในตอนนี้คือ พี่รองเฟิง
เขามีอายุประมาณ 20 ปีและสวมเสื้อผ้าที่มีชื่อของสำนักคุ้มกันโม่หยวนปักเอาไว้บนนั้น ในตอนนี้ร่างกายของเขานอนอยู่บนกองเลือด บนหน้าอกของเขามีรูขนาดใหญ่และหัวใจที่อยู่ภายในนั้นก็ได้หายไปแล้ว พี่รองเฟิงไร้ซึ่งลมหายใจอีกต่อไป
“บาดแผลเป็นรูขนาดใหญ่และถึงตาย เห็นได้ชัดว่ามันต้องเกิดเพราะอาวุธที่แหลมคมทะลวงเข้าไปอย่างรุนแรง ผู้ที่จะทำแบบนี้ได้ต้องมีทั้งพละกำลังและความเร็วที่สูงมาก” ชายชราคนหนึ่งนั่งยองๆลงที่ข้างศพพี่รองเฟิงเขาตรวจสอบดูอย่างระมัดระวังและจากนั้นก็หันไปพูดกับโม่หรูเยียน
“ใครที่อยู่กับเขาในคืนนี้?” โม่หรูเยียนถามขึ้นมาโดยที่นางยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
“เป็นข้าเองขอรับ” จากนั้นชายคนหนึ่งก็ก้าวออกมาหาโม่หรูเยียนพร้อมกับรีบก้มศีรษะลงทันที เขาเป็นคนเดียวกับที่ตะโกนว่าพี่รองเฟิงหายตัวไป
“ก่อนหน้านี้เจ้าได้ยินอะไรที่แปลกประหลาดหรือไม่? หรือรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ?” โม่หรูเยียนถามออกไปตรงๆ
“ไม่มีเลยขอรับ ก่อนหน้านี้พี่รองเฟิงบอกว่าเขาจะออกไปเดินเล่นหน่อย แต่ใครจะคิดกันว่าหลังจากนั้นไม่นานจะมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา” ชายคนนั้นส่ายหัวและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปก่อน ส่วนคนที่เหลือก็ให้ระมัดระวังศัตรูเอาไว้ด้วย” โม่หรูเยียนตอบกลับมา
“รับทราบขอรับ!”
ฝูงชนก็แยกย้ายกันไปทันที เพราะในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ว่าฆาตกรเป็นใครและมันอาจจะมีการโจมตีอีกครั้งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ในใจของทุกคนจึงรู้สึกตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
มีเพียงโม่หรูเยียนและชายชราคนก่อนหน้านี้เท่านั้นที่ออกไปตรวจสอบพื้นที่โดยรอบบริเวณนี้
“ท่านลุงไฉ ท่านคิดว่าฆาตกรเป็นใคร?” โม่หรูเยียนถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“แม้ว่าเสี่ยวเฟิงจะมีบาดแผลที่หน้าอกขนาดใหญ่จนทำให้เขาถึงแก่ความตาย แต่รอบๆบาดแผลของเขานั้นก็กลายเป็นสีดำแล้ว เห็นได้ชัดว่าอาวุธของศัตรูนั้นมีพิษ แต่ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคือพิษอะไร” ชายชราคนนี้มีชื่อว่าไฉชูและเขากำลังอธิบายสิ่งที่ตนเองตรวจสอบได้ก่อนหน้านี้
“พิษงั้นหรือ? แต่แค่หัวใจถูกช่วงชิงไปก็ถึงตายแล้ว ศัตรูคงไม่ได้ต้องการใช้พิษเพื่อฆ่าเขาหรอกใช่ไหม?” โม่หรูเยียนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“นั่นก็จริง แต่มันก็ทำให้ข้านึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ข้านึกถึงเรื่องราวบางอย่างที่มีความโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างยิ่งและบาดแผลที่เกิดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดวิชาฝ่ามือพิษจะสร้างขึ้นมาได้แน่นอน” ท่านลุงไฉดูลังเลในขณะที่พูดออกมา
“ท่านลุงไฉ ท่านยังมีอะไรที่ปิดบังต่อข้าอีกหรือยังไง จงพูดมาทั้งหมดเถอะ” โม่หรูเยียนจ้องมองไปที่ชายชราทันที
“นี่ …” ท่านลุงไฉดูลังเลใจมากยิ่งขึ้น
“หรือว่ามีอะไรที่ท่านบอกต่อข้าไม่ได้?” โม่หรูเยียนพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ความจริงแล้วสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้ข้านึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งขึ้นมา” ท้ายที่สุดท่านลุงไฉก็พูดออกมา
“ตำนานอะไรกัน?” โม่หรูเยียนถามต่อ
“ถ้าให้พูดอย่างชัดเจนมันก็ไม่ใช่ตำนานหรอก แต่พี่ชายของข้าเห็นมันด้วยตาของเขาเอง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็คล้ายคลึงกับตอนนี้มาก หน้าอกของพวกเขาทุกคนถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่และบาดแผลก็มีสีดำ” ไฉชูพูดขึ้นมา
“หรือว่าฆาตกรจะเป็นคนเดียวกัน?” โม่หรูเยียนถามกลับมาทันที
“ไม่ใช่ มันซับซ้อนยิ่งกว่านั้น ฆาตกรผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์” หลังจากท่านลุงไฉกล่าวเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมาทันที
“ไม่ใช่มนุษย์หรือ?” โม่หรูเยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่ พี่ชายของข้าบอกว่าในตอนนั้นเขาโชคดีหนีออกมาได้และได้คนที่ผ่านมาช่วยเหลือจนรอดชีวิต ส่วนพี่น้องคนอื่นๆที่เดินทางมาพร้อมกับเขานั้นต่างก็ตายไปทั้งหมด ส่วนฆาตกรเขาบอกว่ามันคือผีดิบ” ท่านลุงไฉพูดต่อ
“ผีดิบงั้นหรือ?” เสียงของโม่หรูเยียนดังขึ้นมาเล็กน้อยและมากพอที่จะแสดงให้ทราบถึงความรู้สึกของนางในตอนนี้
“ใช่มันคือผีดิบ หลังจากนั้นพี่ชายของข้าก็ออกจากอาชีพผู้คุ้มกันทันทีเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เขาไม่ออกเดินทางไปไหนอีกเลย ยิ่งเขาอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ความกล้าหาญของเขาก็เหลือน้อยลงไปเท่านั้น” ท่านลุงไฉพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เพราะเมื่อเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วความหวาดกลัวย่อมไม่อาจลบล้างออกไปจากจิตใจได้ ยิ่งต้องอยู่กับความหวาดกลัวมากเท่าไหร่ความกล้าหาญในจิตใจก็จะลดน้อยลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดี ไม่ว่าฆาตกรในครั้งนี้จะเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อมันกล้าปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่พวกเราก็ไม่มีทางปล่อยมันไปแน่นอน คนของสำนักคุ้มกันโม่หยวนของข้าย่อมไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ง่ายๆ” โม่หรูเยียนดูเหมือนจะรู้สึกโกรธมากยิ่งขึ้นเมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้ แต่ท่านลุงไฉที่ยืนอยู่ข้างๆนางในตอนนี้กลับมองมาที่นางด้วยสีหน้าที่ดูกังวลใจ เขาอยากจะห้ามนางแต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
ด้วยช่วงอายุของโม่หรูเยียนย่อมไม่มีสิ่งใดที่นางหวาดกลัวอยู่แล้ว พูดได้เลยว่านางในตอนนี้ถือว่ามีความกล้าหาญมากที่สุดในชีวิตและโม่หรูเยียนก็เป็นคนที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออะไรง่ายๆนับตั้งแต่นางเข้ามาในสายอาชีพนี้ นอกจากนี้วิทยายุทธของนางก็ถือว่าสูงพอสมควรจนทำให้นางมั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น นางจะหวาดกลัวพวกผีดิบไปทำไมกันเพราะแม้แต่หน้าตาของพวกมันนางก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดท่านลุงไฉก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพราะในตอนนี้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากวัดลัทธิเต๋าร้างอีกครั้งหนึ่ง โม่หรูเยียนรีบพุ่งตัวออกไปทันทีร่างกายของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและตรงไปที่วัดลัทธิเต๋าร้าง ท่านลุงไฉมีสีหน้าที่ดูกังวลอยู่ตลอดเวลาและเขาก็รีบตามนางไปโดยเร็วที่สุด
แม้ว่ามู่อี้จะอยู่ในรถม้าแต่เขาก็สามารถรับรู้เรื่องทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นภายนอกได้ รวมถึงการสนทนาของโม่หรูเยียนกับชายชราด้วยเช่นกัน
ความจริงแล้วในตอนที่เฟิงยี่กรีดร้องออกมานั้น มู่อี้ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันคลุมเครือและเย็นเยียบที่เข้าปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้ แต่เป็นเพราะว่าศัตรูนั้นรวดเร็วจนเกินไปจนทำให้พลังแห่งจิตใจของมู่อี้ตามไม่ทัน หลังจากนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านลุงไฉเขาก็ทราบได้ทันทีว่าในตอนนี้เกิดอะไรขึ้น
ถ้าหากเป็นเพียงผีดิบธรรมดาตนหนึ่งอย่างนั้นมู่อี้ก็เชื่อว่าโม่หรูเยียนสามารถกำจัดมันไปได้แน่นอนโดยที่เขาไม่ต้องปรากฏตัวออกไปช่วยเหลือและมันยังทำให้การหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่แห่งชีวิตของเขาต้องเสียเวลามากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้ต้นไผ่ดูพิเศษยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก แม้ว่าเขาจะไม่ได้หยดเลือดลงไปแต่ต้นไผ่ก็ส่องแสงออกมาอยู่ตลอดเวลา ลำต้นของมันคล้ายคลึงกับผลึกแก้วที่สว่างใสและแข็งแรงยิ่งกว่าหยกเสียอีก ทั่วทั้งลำต้นนั้นดูงดงามมากยิ่งขึ้นไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหลงรักอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกันมู่อี้ก็สังเกตเห็นได้ว่าลมหายใจของเนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็ดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงหลับอยู่ตลอดเวลาในช่วงนี้ มันเป็นเพราะว่าเมื่อนอนหลับไปนางจะคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองได้มากขึ้น
และมู่อี้ก็รู้สึกได้ว่าบางทีหลังจากที่เขาสามารถทำให้ต้นไผ่แห่งชีวิตกลายเป็นอาวุธวิญญาณได้สำเร็จเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะสามารถยกระดับไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้ายได้ และระดับวิญญาณชั่วร้ายนั้นเทียบได้กับความยากขั้นที่ 2 ของการฝึกฝนจิตใจ นางจะสามารถเป็นคู่หูที่ดีที่สุดของมู่อี้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นมู่อี้จึงเฝ้ารอวันที่เนี่ยนหนิวเอ้อร์จะยกระดับไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้าย
แต่มันก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่งถึงเนี่ยนหนิวเอ้อร์จะยกระดับไปสู่ระดับวิญญาณชั่วร้าย เพราะในตอนนี้มู่อี้ได้หยดเลือดลงไปบนต้นไผ่เพียงแค่ประมาณ 20 กว่าวันเท่านั้นและยังอีกนานกว่าจะครบ 49 วัน
ยิ่งจำนวนวันเพิ่มขึ้นก็ยิ่งต้องใช้เลือดมากขึ้นเท่านั้น
โม่หรูเยียนเข้ามาในวัดลัทธิเต๋าร้างและสิ่งที่มาเห็นในตอนนี้ก็คือศพของชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนพื้น ความตายของเขานั้นเหมือนกับพี่รองเฟิงทุกประการ หน้าอกถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่ หัวใจหายไป และบาดแผลมีสีดำ
“ก่อนหน้านี้ใครอยู่กับเขา?” โม่หรูเยียนถามขึ้นมาทันที
“เป็นข้าเองขอรับ” หลังจากที่นางถามขึ้นมาก็มีชายคนหนึ่งรีบตอบกลับมาทันที แต่สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูซีดเซียวและสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ในตอนนั้นเจ้าเห็นอะไรบ้าง?” โม่หรูเยียนถามต่อไป
“ข้า ข้า …” ชายคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพราะความหวาดกลัวที่มากเกินไป
“เจ้าไม่ต้องกลัว พูดออกมาช้าๆ” ท่านลุงไฉเดินเข้าไปหาชายคนนั้นและพูดปลอบโยนเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านลุงไฉท่าทีของชายคนนั้นก็ค่อยๆสงบลงหลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากพูดออกมา