ตอนที่ 124 การพูดคุยบนหลังคา
ค่ำคืนนี้มีอากาศที่เย็นเยียบ!
ในตอนที่แขกทุกๆคนภายในโรงเตี๊ยมเข้านอนหมดแล้วนั้นโม่หรูเยียนก็ออกมาจากห้องของนางเงียบๆ แต่แทนที่จะเดินลงมาข้างล่างนางกลับกระโดดขึ้นไปบนหลังคาของโรงเตี๊ยม เมื่ออยู่ข้างบนนั้นนางจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของทั่วทั้งเมืองนี้ได้ ถ้าหากมีอะไรเคลื่อนไหวนางย่อมรู้ตัวได้ทันเวลาแน่นอน
มือข้างหนึ่งของนางถือหอกเหล็กเอาไว้ จากนั้นนางก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งของตนเองกระชับเสื้อคลุมให้แน่นและหยิบน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมา
ในตอนที่นางเปิดจุกของน้ำเต้าออกมานั้น กลิ่นสุราที่หอมหวลก็โชยออกมาทันที
ในตอนนี้โม่หรูเยียนเงยหน้าขึ้นมาและยกน้ำเต้าจรดริมฝีปากของตนเอง แต่ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาคว้าน้ำเต้าในมือของนางไปทันที
โม่หรูเยียนไม่ได้หันมาหรือแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ดึงมือกลับมาเงียบๆและนั่งกอดเข่าของตนเองเอาไว้ สายตาของนางจ้องมองออกไปในระยะไกลๆและไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“เมื่อก่อนนั้นมีคนเคยบอกข้าว่า การทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันนั้นมีเพียงบุรุษเท่านั้นที่ทำได้และสตรีต้องอยู่แต่ภายในบ้านเชื่อฟังสามีและเลี้ยงบุตรหลานให้ดีเท่านั้น” หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งโม่หรูเยียนก็พูดขึ้นมาเบาๆ มีอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคาของโรงเตี๊ยมกับนางในตอนนี้
คนที่นั่งอยู่ที่นี่ย่อมเป็นมู่อี้ ด้วยการเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาของโม่หรูเยียนย่อมไม่มีใครรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของนางได้ยกเว้นแค่เพียงมู่อี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะทางการได้ยิน การมองเห็น หรือจิตใจ เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของนางได้อย่างง่ายดายแต่โม่หรูเยียนเองก็ไม่ได้พยายามปกปิดการเคลื่อนไหวของตนเองเหมือนกัน
“แต่โลกใบนี้จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ไว้ใจได้กัน? แทนที่จะคอยพึ่งพาคนอื่นๆ มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่พึ่งพาได้มากที่สุด แล้วการเกิดเป็นผู้หญิงล่ะ? หรือว่าเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วจะต้องโดนดูถูก?” โม่หรูเยียนกัดริมฝีปากของตนเองเข้าหากัน
“ข้าไม่เคยดูถูกผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ในการต่อสู้ของข้าครั้งที่แล้ว ข้าเกือบจะพ่ายแพ้ต่อหญิงสาวคนหนึ่ง” มู่อี้ตอบกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ดูเหมือนว่าการบาดเจ็บของท่านจะเกี่ยวข้องกับหญิงสาวคนนั้น?” โม่หรูเยียนถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“นั่นก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง” มู่อี้ไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านี้เพราะมันคงเป็นการสร้างปัญหาให้กับเขาเองโดยไม่จำเป็น ในเมื่อนางเข้าใจผิดแล้วก็ให้นางเข้าใจผิดต่อไป ไม่ว่ายังไงสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับคนที่บาดเจ็บอยู่จริงๆและยิ่งกว่านั้นเขายังต้องใช้เวลาอีกมากกว่าหนึ่งเดือนเพื่อจะกลับมาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้งหนึ่ง
“นางแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?” ไม่คิดเลยว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของมู่อี้จะไปกระตุ้นความสนใจของโม่หรูเยียนขึ้นมาทันที
“แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยท่านก็ยังไม่อาจรับมือกับนางได้ในตอนนี้” มู่อี้ตอบกลับไปตามตรงแม้ว่าโม่หรูเยียนจะทรงพลังมากเพียงใด แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับชิวเยวี่ยถงหลังจากที่นางยกระดับขึ้นมาแล้ว แม้ว่าโม่หรูเยียนจะยกระดับขึ้นมาได้ในอนาคตแต่ชิวเยวี่ยถงก็ต้องมีพัฒนาการด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องของอนาคตนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แน่นอนว่าโม่หรูเยียนย่อมต้องหาแนวทางของนางให้เจอ
นี่คือเรื่องที่คนอื่นๆไม่อาจช่วยเหลือนางได้ นางต้องพึ่งพาเพียงตนเองเท่านั้นถึงจะยกระดับต่อไปได้
“จริงหรือ? ได้ยินแบบนี้แล้วข้าอยากจะออกไปตามหานางให้เจอและประลองกับนางสักครั้ง” โม่หรูเยียนพูดพร้อมกับแย่งชิงน้ำเต้าในมือของมู่อี้กลับมา
“สบายจริงๆ” โม่หรูเยียนพูดพร้อมกับจิบสุราที่อยู่ในขวดน้ำเต้า ดูเหมือนว่านางจะเป็นคนที่ชื่นชอบการดื่มสุราคนหนึ่ง จากนั้นนางก็หันมาหามู่อี้และพูดขึ้นมาว่า “ท่านอยากจะลองจิบดูหน่อยหรือไม่?”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่ค่อยชอบดื่มสุราเท่าไหร่” มู่อี้ส่ายศีรษะ เขาเป็นคนที่ดื่มได้ไม่เก่งนักและปกติแล้วเขาก็ไม่เคยดื่มสุราเลย อย่างมากที่สุดก็แค่ลองจิบเป็นครั้งคราวเท่านั้น
“ไม่ดื่มสุรางั้นหรือ? ท่านใช่ผู้ชายจริงๆหรือเปล่า?” โม่หรูเยียนดูเหมือนจะปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงของนางออกมาอีกครั้งและหลังจากก้มหน้าลงอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดออกมาว่า “บางทีท่านนักพรตเต๋าอาจจะยังอายุน้อยเกินไปจนแม้แต่ขนก็ยังไม่ขึ้น”
โม่หรูเยียนต้องอยู่กับกลุ่มผู้คุ้มกันมาโดยตลอด แม้ว่านางจะแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมาอยู่ตลอดเวลาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเมินเฉยต่อคำพูดของคนอื่นจริงๆช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านี้นะมีหลายๆอย่างที่นางรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจ ในตอนนี้เมื่อนางได้พูดจาหยอกเย้ามู่อี้มันก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากนั้นนางก็ดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ราวกับว่าวิธีนี้จะทำให้นางสามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่น้องของตนเองไปได้ชั่วคราว เถ้ากระดูกของพวกเขายังคงอยู่ในรถม้าและเรื่องทั้งหมดนั้นถือเป็นความรับผิดชอบของนาง
“ท่านคงเมาแล้ว” มู่อี้พูดออกไปตามตรง
แม้ว่าโม่หรูเยียนจะดื่มสุราเข้าไปเพียงแค่ 2 อึก แต่ดูจากคำพูดของนางก่อนหน้านี้แล้ว ฤทธิ์ของสุราคงมีผลจริงๆด้วย
แต่สำหรับคนที่รู้สึกผิดหวังในใจอย่างนาง แม้ดื่มน้ำธรรมดาก็ยังสามารถเมาได้
“ลืมคำพูดก่อนหน้านี้ไปเถอะ ข้าแค่เย้าแหย่ท่านเล่นเท่านั้น” โม่หรูเยียนส่ายศีรษะ สายตาของนางจ้องมองกลับมาทันที แต่หลังจากนั้นนางก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า “แล้วท่านเข้าใจได้อย่างไรในเมื่อท่านก็ถือเป็นผู้ทรงศีลคนหนึ่ง?”
เข้าใจได้อย่างไร? เขาเข้าใจได้อย่างไร
มู่อี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดเบาๆของที่โม่หรูเยียนพูดออกมาก่อนหน้านี้ เขาเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างเช่นไรดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าโม่หรูเยียนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มู่อี้ก็ยืนขึ้นมาและพูดว่า “ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน ท่านเองก็อย่าฝืนตัวเองมากนักล่ะ”
“ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้ ท่านจะช่วยเหลือข้าหรือไม่?”
ในตอนที่มู่อี้กำลังจะลงไปจากหลังคาของโรงเตี๊ยมนั้น น้ำเสียงของโม่หรูเยียนก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ไม่” มู่อี้ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งแต่เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จากนั้นร่างของเขาก็หายไปทันที
“เจ้าคนขี้เหนียว ไม่ใช่สิ เจ้านักพรตขี้เหนียว” โม่หรูเยียนพูดออกมาเบาๆขณะที่นั่งจ้องมองไปยังตำแหน่งที่มู่อี้หายไปก่อนหน้านี้และจากนั้นก็หันมามองน้ำเต้าที่อยู่ในมือของตนเอง แต่ในตอนนี้นางไม่ได้รู้สึกสนใจมันอีกต่อไปอีกแล้วและโยนน้ำเต้าออกไปอย่างรุนแรงจนตกลงไปที่พื้นถนนด้านล่าง จากนั้นก็มีเสียงสุนัขที่เห่าเพราะตกใจดังขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้โม่หรูเยียนก็ดูโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
มู่อี้เดินกลับไปที่ห้องของเขาและส่ายศีรษะขึ้นมาทันที
ภายในห้องนั้นเนี่ยนหนิวเอ้อร์ยังคงนั่งอยู่บนไหล่ของต้าหนิวและในตอนที่มู่อี้เดินเข้ามาในห้องนั้น สายตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“พี่ชาย ทำไมท่านออกไปนานจัง?”
“นานหรอ?” มู่อี้คิดในใจแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเดินตรงเข้าไปนั่งลงบนเตียงของตนเองและนำต้นไผ่แห่งชีวิตออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้เนี่ยนหนิวเอ้อร์ก็เบะปากทันทีและจากนั้นนางก็กลับเข้าไปในต้นไผ่ทันทีโดยไม่รอให้มู่อี้ได้พูดอะไร
เมื่อต้าหนิวเห็นว่าเนี่ยนหนิวเอ้อร์กลับเข้าไปในต้นไผ่แล้ว สีหน้าที่ดูมีความสุขของมันก็หายไปทันทีและแม้แต่มู่อี้เองก็ต้องชื่นชมความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของมัน
แต่มู่อี้ก็จ้องมองไปที่ต้าหนิวและพูดออกมาว่า “เจ้าอย่านอนหลับลึกมากนักในคืนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเจ้าต้องออกไปช่วยพวกเขา เข้าใจไหม?”
ต้าหนิวส่ายศีรษะและไม่ได้ตอบมู่อี้กลับมาเลย เขาไม่รู้ว่ามันเข้าใจหรือไม่เข้าใจคำพูดของเขา
มู่อี้ไม่สนใจต้าหนิวอีกต่อไปและใช้มีดกรีดนิ้วของตนเองพร้อมกับหยดเลือดลงไปบนต้นไผ่ทันที หลังจากต้นไผ่เริ่มดูดซับเลือดของเขาเข้าไป เขาก็ส่งพลังแห่งจิตใจของตนเองเข้าไปห่อหุ้มต้นไผ่เอาไว้และยังคงหยดเลือดต่อไปเรื่อยๆ
ในตอนนี้มู่อี้เริ่มรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระหว่างตัวเขากับต้นไผ่แห่งชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งบางอย่างเกิดขึ้นแล้วและแม้ว่าจะอยู่ห่างกันหลายสิบเมตรแต่เขาก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าต้นไผ่แห่งชีวิตอยู่ที่ไหน
และแม้ว่าต้นไผ่แห่งชีวิตจะไม่ได้ใช้เพื่อเป็นอาวุธในการเข่นฆ่าศัตรู แต่มู่อี้ก็เชื่อว่าต้นไผ่แห่งชีวิตจะทรงพลังยิ่งกว่าธงราชันย์แห่งวิญญาณมาก
อย่าดูถูกแก่นแท้แห่งชีวิตที่อยู่ภายในต้นไผ่แห่งชีวิตแม้ว่ามันจะยังอยู่ในกระบวนการสร้างอาวุธวิญญาณขั้นแรกเริ่มแต่ความแข็งของมันก็มากกว่าเหล็กกล้าถึง 100 เท่าและเมื่อมันกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่เสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่ พลังของมันจะมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้อย่างแน่นอน